เล่ม 1 ตอนที่ 307-1 ซาลาเปาน้อย ไปเยี่ยมเจาหมิง (1)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 307-1 ซาลาเปาน้อย ไปเยี่ยมเจาหมิง (1)

“ฝ่าบาท” จีหมิงซิวเห็นสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ดูจะแปลกไปอยู่สักหน่อย แต่แปลกที่ตรงใดก็ไม่ทราบจะบอกได้

“อ้อ” ฮ่องเต้ขานรับ อยู่ๆ คล้ายนึกอะไรออกจึงตรัสกับจีหมิงซิวว่า “เทศกาลชิงหมิงใกล้เข้ามาแล้ว เจ้าจะไปปัดกวาดสุสานให้ท่านแม่ของเจ้ากระมัง”

จีหมิงซิวพยักหน้า “กระหม่อมคิดจะไป ท่านแม่ยังไม่เคยได้พบเสี่ยวเวยกับลูกๆ เลย กระหม่อมคิดจะพาเสี่ยวเวย หมิงเยี่ยกับลูกสองคนไปด้วย

ฮ่องเต้ทรงลูบแผ่นป้ายคำสั่งในมือแล้วพึมพำว่า “ควรให้ท่านแม่เจ้าได้พบสักหน่อย ตอนนางมีชีวิตอยู่ไม่ทันได้เห็น เวลานี้หากรู้ว่าทั้งครอบครัวสบายดี นางที่อยู่ในปรโลกคงจะสบายใจ”

“ปีนี้พระองค์จะเสร็จหรือไม่” จีหมิงซิวถาม

ฮ่องเต้หลุบพระเนตรพลางแย้มสรวล “ข้าคงไม่ไปล่ะ ช่วงนี้ข้าออกจะไม่ค่อยใส่ใจราชกิจเลยมีงานกองสุมรออยู่ไม่น้อย เจ้าช่วยข้า…จุดธูปให้ท่านแม่เจ้าดอกหนึ่งก็แล้วกัน”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ดันแขนเสื้อขึ้น “ให้ตายสิ หมากนี้ยังไม่ได้เดินเลยข้าก็รู้สึกเหนื่อยเสียแล้ว วันหน้าค่อยให้เจ้ามาเดินหมากกันใหม่ก็แล้วกัน ข้ากลับไปพักก่อนล่ะ”

ตรัสจบก็เอาตราคำสั่งส่งคืนให้จีหมิงซิว

ฝูกงกงเดินเข้ามาอย่างรู้งาน ประคองแขนฝ่าบาทพลางเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ระวังหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”

จีหมิงซิวลุกขึ้นประสานมือทำความเคารพ “น้อมส่งเสด็จฝ่าบาท”

ฝ่าบาทโบกพระหัตถ์ “เจ้า…เจ้าก็กลับไปเถิด”

พูดจบก็จับแขนฝูกงกงเดินลงบันไดไป แต่ไม่รู้เดินอย่างไร สองขั้นสุดท้ายเกิดก้าวพลาด นางกำนัลโดยรอบพากันตกใจแทบสิ้นสติ โชคดีที่เป็นสองขั้นสุดท้าย เอาขาเหยียบลงพื้นได้ทันเลยไม่ถึงกับล้ม

จีหมิงซิวมองแผ่นหลังที่ค่อยๆ เดินไกลออกไปของฮ่องเต้ สีหน้าดูครุ่นคิด

ตอนออกมาจากอุทยานหลวงก็บ่ายคล้อยแล้ว จีหมิงซิวไปจัดการงานที่ตำหนักอัครเสนาบดีอยู่ครึ่งชั่วยาม หลังจากนั้นก็นั่งรถม้ากลับจวน

ชั่วพริบตาเทศกาลชิงหมิงก็มาถึง สำนักศึกษาหนานซานหยุดเรียนสามวัน จีหมิงซิวจึงตัดสินใจพาภรรยากับบุตรและน้องชายไปปัดกวาดสุสานให้มารดา สุสานของตระกูลจีอยู่ไกลถึงชิวโจว มีเรือนสามคอยดูแล ทางนี้จึงไม่ได้ส่งใครไปอีก ส่วนทางด้านเฉียวเจิงนั้นส่งจดหมายมาบอกให้พวกเฉียวเวยไปปัดกวาดสุสานให้ท่านปู่ท่านย่าเฉียวเวยที่สุสานตระกูลเฉียวด้วย สุสานตระกูลเฉียวกับสุสานขององค์หญิงไปทางเดียวกัน ออกไปทางประตูเมืองตะวันออกด้วยกันทั้งคู่ จึงไปกลับทันในหนึ่งวัน

เมื่อชาติก่อนเฉียวเวยไม่มีญาติพี่น้องและไม่มีเพื่อนพ้องที่เสียชีวิตไปแล้ว บางครั้งที่ไปปัดกวาดสุสานให้ก็จะเป็นสุสานของทหารกล้าที่พลีชีพเพื่อประเทศ ผู้พลีชีพเหล่านั้นไม่รู้จักนาง อันที่จริงนางเองก็ไม่รู้จักพวกเขาเช่นกัน คุณแม่อธิการให้พวกนางไปทำความสะอาด พวกนางก็ไป ทุกครั้งนางจะทำความสะอาดเสียหมดจดเพราะคนที่ทำได้สะอาดที่สุดจะได้รางวัลเป็นชอคโกแลตหนึ่งชิ้น

นี่เป็นครั้งแรกที่นางทำความสะอาดสุสานให้กับญาติ ความรู้สึก…ออกจะต่างไปอยู่สักหน่อย

วันแรกของเทศกาลชิงหมิงเป็นเทศกาลอาหารเย็น ทั่วทั้งแคว้นห้ามมีการจุดฟืนไฟ กินได้เพียงอาหารเย็นๆ เท่านั้น ทุกคนเลยกินกันง่ายๆ หมั่นโถวค้างคืนกับขนมค้างคืนนับเป็นอาหารชั้นเลิศของพวกเขา

ใต้เท้าเจ้าสำนักกับเด็กทั้งสองล้วนเคยผ่านความลำบากกันมาก่อน จึงไม่มีปัญหากับการกินอาหารเย็น แต่หลิวเกอร์กระเพาะอ่อนแอ แค่หมั่นโถวเย็นลงท้องไปครึ่งลูก ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็เริ่มมีอาการเสาะท้อง จีเหล่าฮูหยินสงสารหลานชาย จึงแอบให้ห้องครัวต้มข้าวต้มให้เขากิน

วันเทศกาลชิงหมิงนี้แสงแดดเจิดจ้า ลมพัดโชยอ่อน เฉียวเวยถูกปลุกด้วยนาฬิกาชีวิตในตัวตั้งแต่เช้า จีหมิงซิวก็ตื่นแล้วเช่นกัน กำลังวุ่นทำอะไรอยู่ในห้องหนังสือ เฉียวเวยยืดเอวบิดขี้เกียจ เปิดหน้าต่างมองท้องฟ้าที่เริ่มมีสีสันจับตาให้เห็น แสงอาทิตย์สีเหลืองทองส่องลงมาในลาน กระทบกับสีเขียวใสของสนามหญ้าและดอกไม้ที่เตรียมพร้อมจะเบ่งบาน แค่เพียงได้มองก็คล้ายได้กลิ่นหอมอ่อนลอยเข้ามาเตะจมูก

กิ่งไม้ที่อยู่ไกลออกไปหน่อยมีเสียงนกร้องจิ๊บๆ ดังลอยมา แต่เพราะอยู่ไกลเกินไปหากไม่เปิดหน้าต่างก็จะไม่ได้ยินเสียง อันที่จริงบ้านชิงเหลียนรวมถึงละแวกใกล้เคียงปลูกต้นไม้ใหญ่เอาไว้ไม่น้อย บนต้นไม้เองมีนกบินมาเกาะอยู่ แต่ก็จนใจที่ถูกเจ้าไป๋ทั้งสองจับไปกิน

เฉียวเวยล้างหน้าล้างตา แต่งกายเรียบร้อยแล้วก็ไปที่ห้องของจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู

จิ่งอวิ๋นตื่นแล้ว กำลังนั่งฝึกเขียนอักษรอยู่ข้างหน้าต่าง ตัวน้อยๆ ของเขายืดตรง ใบหน้าเยือกเย็น เครื่องหน้าประหนึ่งภาพวาด มือน้อยจับพู่กันตั้งเป็นเส้นตรง ดูตั้งใจยิ่งนัก

เฉียวเวยเดินเข้าไป โน้มตัวลงเพ่งมองบุตรชาย

ใบหน้าน้อยๆ ของจิ่งอวิ๋นดูแดงระเรื่อขึ้นทันตา อันที่จริงเขารู้ตัวตั้งแต่ตอนท่านแม่เข้าประตูมาแล้ว แต่ที่ไม่ขยับเพราะท่านพ่อบอกว่า สตรีนั้นชอบท่าทางเวลาบุรุษทำอะไรจริงจัง ดังนั้นเขาถึงได้ตั้งใจฝึกเขียนอักษร ท่านแม่จะต้องหลงเขาหัวปักหัวปำแน่นอน

“จิ่งอวิ๋น”

ดูเถิด ท่านแม่จะชื่นชมเขาแล้ว!

“เจ้ามีขี้ตาแหนะ”

จิ่งอวิ๋น “…”

จิ่งอวิ๋นโยนพู่กันทิ้ง!

ขายหน้าเหลือเกินๆๆ…

เฉียวเวยควักตัววั่งซูออกมาจากที่นอน วั่งซูกำลังหลับสบาย ไม่รู้สักนิดว่าตนถูกจับเปลื้องผ้าล่อนจ้อนหมดแล้ว นางขยับพลิกตัว นอนก้นโด่งราวกับหมูตัวน้อยพลางกรนคร่อกๆ ออกมา

เฉียวเวยหัวเราะด้วยความหมั่นไส้ ตบก้นเนื้อแน่นเด้งของนางแล้วจับตัวอุ้มขึ้นมาใส่เสื้อผ้า

กระทั่งใส่เสื้อผ้าให้เสร็จแล้วนางก็ยังไม่ตื่น ขี้เซาขนาดนี้ เฉียวเวยยังต้องยอมคารวะ

เฉียวเวยจะเรียกนางตื่น ในตอนนั้นจีหมิงซิวจัดการงานเสร็จแล้วจึงเดินมาจากห้องหนังสือ พอเห็นว่าเฉียวเวยกำลังหยิกแก้มบุตรสาว หยิกเสียจนเห็นรอยแดง เขาก็อดรู้สึกสงสารขึ้นมาไม่ได้ “มีอะไรหรือ”

“ปลุกไม่ยอมตื่นน่ะสิ” เฉียวเวยผลักศีรษะบุตรสาว ศีรษะนางโยกเอนไปมา ยังคงหลับสนิทต่อไป เฉียวเวยหมดอารมณ์แล้วจึงส่งตัวนางให้บิดาของนางอุ้มแทน “ท่านช่วยที ปลุกนางตื่น ให้นางไปล้างหน้าล้างตาแล้วไปกินข้าว”

จีหมิงซิวอุ้มบุตรสาวไว้พลางตอบรับ

พอเฉียวเวยออกจากห้องไป ใต้เท้าอัครเสนาบดีก็เดินไปมองที่หน้าประตูอย่างรอบคอบ เมื่อมั่นใจว่าฮูหยินของตนเดินไปไกลแล้ว ถึงได้รีบอุ้มบุตรสาวไปที่ห้องด้านข้าง เอาแปรงสีฟันเล็กๆ ที่เฉียวเวยทำขึ้นเองมาแปรงฟันให้บุตรสาว

พอแปรงฟันล้างหน้าเสร็จ เฉียวเวยก็เดินเข้ามา

ใต้เท้าเจ้าสำนักเอาแปรงเล็กๆ ยัดใส่มือบุตรสาวอย่างร้ายกาจ

เฉียวเวยพอเห็นเจ้าเด็กอ้วนที่หลับจนน้ำลายไหลในอ้อมแขนจีหมิงซิว สีหน้าก็พลันบึ้งตึง

จีหมิงซิวเอ่ยหน้าตาเฉยว่า “นางเป็นคนแปรงเอง” เขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนหันมองเด็กน้อยที่อุ้มอยู่ สีหน้าดูตกใจยิ่งนัก “เหตุใดแปรงเสร็จแล้วหลับไปอีกแล้วเล่า”

สายตาเฉียวเวยพลันเป็นประกายวาววับ!