เล่ม-1 ตอนที่ 311-1 ชาติกำเนิด ราชโองการเดินทางลงใต้ (1)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน

ตอนที่ 311-1 ชาติกำเนิด ราชโองการเดินทางลงใต้ (1)

ดวงจันทร์มืดมิดสายลมพัดแรง นอกวังหลวงเงียบกริบ มีองครักษ์ถือหอกยาวเดินผ่านมาลาดตระเวนเป็นพักๆ เสียงชุดเกราะกระทบกันดังขึ้นท่ามกลางรัตติกาลฟังดูวังเวงยิ่งนัก

องครักษ์อีกชุดลาดตระเวนผ่านไป เงาเล็กจ้อยสามร่างกับเงาใหญ่หนึ่งร่างกระโดดลงมาจากบนต้นไม้ใหญ่ฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบเชียบ จากนั้นขยับตัวเข้าไปชิดกำแพงวังอย่างเงียบๆ

เงาสี่ร่างนี้มิใช่ใครอื่น พวกเขาก็คือเฉียวเวยกับเจ้าตัวน้อยทั้งสาม

ต้าไป๋ในฐานะทหารสอดแนม ใช้ความเร็วสูงสุดสำรวจภูมิประเทศใกล้ๆ จนทั่ว สุดท้ายก็เลือกจุดที่จะกระโดดข้ามกำแพงได้ดีที่สุดออกมา

กำแพงวังหลวงของต้าเหลียงดูรวมๆ แล้วสูงสู้ปราสาทเฮ่อหลันมิได้ แม้แต่ปราสาทไซน่าก็สู้มิได้ แต่ต่อให้สูงไม่เท่าปราสาทเหล่านั้น ความสูงสิบกว่าเมตรนั่นก็ยังทำให้หัวหน้าพรรคเฉียวมองนิ่งงัน

หัวหน้าพรรคเฉียวทุบกำปั้นข้างหนึ่งบนหัวของต้าไป๋ “ไม่รู้หรือว่าข้าไม่เป็นวิชาตัวเบา เจ้าหาที่ตรงนี้มาทำอะไร คิดว่าอาศัยสองมือสองเท้าของข้าจะปีนข้ามกำแพงสูงเท่านี้ได้หรือ”

ต้าไป๋ถูกทุบจนตาเหลือก

เสี่ยวไป๋วิ่งเข้าไปอย่างเงียบๆ มันใช้กรงเล็บน้อยขุดพุ่มไม้พุ่มหนึ่งด้านล่างของกำแพงจนมองเห็นช่องสุนัขลอดขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กช่องหนึ่ง คำว่าไม่ใหญ่ไม่เล็กที่ว่านี้หมายถึงว่าเจ้าตัวน้อยทั้งสามเดินอาดๆ เข้าไปได้ แต่เฉียวเวยทำได้เพียง…

ต้าไป๋ลุกขึ้นมายืน

เฉียวเวยฟาดกำปั้นลงมาอีกหน ต้าไป๋หล่นตุ้บลงไปหมอบกระแต เฉียวเวยกัดฟัน “เห็นหัวหน้าพรรคคนนี้เป็นอะไร หัวหน้าพรรคอย่างข้ามุดช่องสุนัขลอดได้หรือ”

หลังจากนั้นหนึ่งเค่อ หัวหน้าพรรคเฉียวก็รื้ออิฐตรงช่องสุนัขลอดออกมาทีละก้อน แล้วเดินอาดๆ เข้าไป

นางรู้สึกว่าอิฐเหล่านั้นหมือนเคยถูกคนรื้อออกมาแล้ววางกลับเข้าไป ดังนั้นนางจึงรื้อออกมาง่ายดายยิ่งนัก

หากใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีบางคนได้ยินคงตอบว่า ‘ไม่ต้องขอบคุณ’

เฉียวเวยเคยมาวังหลวงสองหน หนแรกคืองานฉลองวันพระราชสมภพขององค์รัชทายาท นางเป็นแม่ครัวของหรงจี้ ตลอดระยะเวลาที่มาเยือนล้วนอยู่ในครัวเกือบตลอด ไม่มีโอกาสเดินเที่ยวรอบๆ หนที่สองคืองานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตหนานฉู่ นางโชคดีได้ไปสนามล่าสัตว์ ได้เดินเที่ยวชมวังหลวงครึ่งหนึ่ง แต่ครึ่งนั้นไม่รวมตำหนักบรรทมของรัชทายาท

เจ้าตัวน้อยทั้งสามไม่คุ้นกับกลิ่นของรัชทายาทจึงตามหาไม่ง่ายนัก

เฉียวเวยเตร็ดเตร่อยู่ในวังหลวงสักพักก็เผชิญหน้ากับนางกำนัลที่เดินถือกล่องอาหารมาคนหนึ่ง นางกำนัลผู้นั้นเห็นเฉียวเวยก็คิดจะถามว่าเฉียวเวยเป็นนางกำนัลของตำหนักไหน แต่ไม่ทันไรก็ถูกเฉียวเวยลากเข้ามาหลังภูเขาจำลอง

นางกำนัลตกใจจนดวงหน้างามซีดเผือด

เฉียวเวยปิดปากของนางไว้ “อย่าร้อง หากร้องข้าจะสังหารเจ้า! ตำหนักบรรทมขององค์รัชทายาทอยู่ที่ใด”

นางกำนัลตกใจจนเป็นลม

เฉียวเวย “…”

เจ้าตัวน้อยทั้งสาม “…”

ดีเลวก็เป็นนางกำนัลในวังหลวง เหตุไฉนจึงขี้กลัวถึงเพียงนี้ เฉียวเวยถอดเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออกอย่างเบามือ (รุนแรง) แล้วสวมลงบนร่างของตนเอง นางเกล้าผมตามอย่างเรือนผมของนางกำนัลอย่างมั่วซั่ว

พอเดินออกมาจากภูเขาจำลองก็บังเอิญพบกับองครักษ์ที่เฝ้าเวรกลางคืนคนหนึ่งพอดี

องครักษ์มองเฉียวเวยอย่างแปลกใจ “เมื่อครู่เจ้าไปทำอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่ด้านใน”

เฉียวเวยคลำเรือนผมแล้วตอบว่า “ปิ่นของข้าหล่นหาย ข้าจึงเข้าไปลองหาดู”

“เจ้ามาจากตำหนักใด” องครักษ์ถาม

เฉียวเวยทำหน้าหวาดกลัวตอบว่า “ไม่ปิดบังท่าน ข้า…ข้าเพิ่งมาใหม่ ข้าถูกจัดสรรไปที่ตำหนักบรรทมของรัชทยาท แต่ข้าหลงทาง…”

องครักษ์คนนี้ท่าจะตาบอดจึงมองไม่ออกว่ามีพิรุธตรงที่ใด เขาบอกเฉียวเวยว่า “ตำหนักบรรทมของรัชทายาทอยู่ทางด้านนั้น เจ้าเดินตามทางเส้นนี้ไปจนสุดค่อยเลี้ยวขวา เดินผ่านศาลาหลังหนึ่งมองไปทางซ้ายก็เห็นแล้ว”

“ขอบคุณพี่ชาย” เฉียวเวยค้อมกายคำนับหนึ่งหน

องครักษ์เดินจากไปอย่างเคร่งขรึม

เจ้าตัวน้อยทั้งสามกระโดดออกมาจากด้านหลังภูเขาจำลอง แล้วเดินตามเฉียวเวยไปยังตำหนักบรรทมของรัชทายาท

ตำหนักบรรทมของรัชทายาทก็มีกำแพงล้อมไว้เช่นกัน แต่กำแพงตรงนี้ปีนง่าย เฉียวเวยปีนข้ามบนกำแพงไปอย่างง่ายดาย เจ้าตัวน้อยทั้งสามยังคงเดินอาดๆ ผ่านช่องสุนัขลอดเข้าไปเช่นเดิม แต่ช่องลอดนี้เล็กไปอยู่บ้าง ต้าไป๋กินแล้วนอน นอนแล้วกินอยู่ทุกวันจนมีพุงเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ตัวมันจึงติดแหงก

ต้าไป๋ตะกุยกรงเล็บ เข้าก็เข้าไม่ได้ ถอยก็ถอยไม่ได้

เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ต่างยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเล็งที่ก้นของมันแล้วถีบอย่างไม่ยั้งมือแม้แต่น้อย!

ต้าไป๋หลุดผลุบกลิ้งหลุนๆ เข้ามาด้านใน

“ผู้ใด” ยอดฝีมือด้านในตำหนักคนหนึ่งได้ยินเสียงจึงใช้วิชาตัวเบาเหินมาด้านนี้ เฉียวเวยคว้าแขนของเขา เหวี่ยงเขากับพื้นอย่างแรงจนสลบ

สหายของเขาได้ยินเสียงจึงเร่งรีบมา เจ้าตัวน้อยทั้งสามกระโจนเข้าใส่ยอดฝีมือเจ็ดแปดคนที่อยู่ด้านในตำหนักอย่างว่องไวปานสายฟ้าแลบ กรงเล็บและอาวุธ (หม้อเหล็กของจูเอ๋อร์) ของเจ้าตัวน้อยทั้งสามล้วนถูกเฉียวเวยทายาสลบไว้แล้ว ไม่นานก็ส่งยอดฝีมือทั้งกลุ่มลงไปกองกับพื้น

เฉียวเวยลักลอบเข้ามาในห้องบรรทมของรัชทายาท ฉุดกระชากรัชทายาทออกมาจากผ้าห่ม รัชทายทตกใจกลัวอยู่เสี้ยววินาทีหนึ่ง แต่เมื่อเห็นผู้มาเยือนชัดก็ขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ “อาสะใภ้สี่หรือ”

เฉียวเวยสวนว่า “ต่อให้เรียกข้าว่าท่านหญิงสี่ก็ไม่มีประโยชน์ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”

รัชทายาทคว้าเสื้อผ้ามาสวมเสร็จก็ถูกเฉียวเวยลากออกไป

ข้าหลวงในวังทั้งหลายพากันเดินเข้ามามุง รัชทายาทกวาดสายตามองยอดฝีมือที่ล้มคว่ำระเกะระกะ แล้วโบกมือ “ถอยออกไปให้หมด”

ทุกคนจึงฝืนถอยออกไป

“เสด็จพ่อของเจ้าร่ำสุรากับหมิงซิวที่ใด” เฉียวเวยถามอย่างไม่สบอารมณ์

รัชทายาทตอบว่า “ศาลาที่อุทยาน”

เฉียวเวยผลักเขา “นำทาง!”

รัชทายาทโซเซสองสามก้าวจากนั้นนำทางอย่างมิใคร่จะยินดี

จากตรงนี้ไปอุทยานไม่ไกลนัก เดินไม่ถึงหนึ่งเค่อ เฉียวเวยก็เห็นฮ่องเต้กับจีหมิงซิวแต่ไกล เมื่อเห็นว่าคนยังมีชีวิตอยู่ เฉียวเวยก็โล่งใจ แต่พอเห็นฮ่องเต้รินสุราให้จีหมิงซิว นางก็ลากคอรัชทายาทเดินเข้าไปคว่ำจอกสุราของจีหมิงซิวทันที

จีหมิงซิวกับฮ่องเต้หันมามองเฉียวเวยกับรัชทายาทพร้อมกัน ในแววตาต่างมีความประหลาดใจอย่างไม่ธรรมดา

เฉียวเวยไม่มีเวลาอธิบายว่าตนเองเข้ามาได้อย่างไร แล้วลักพาตัวรัชทายาทมาได้อย่างไร นางบอกจีหมิงซิวว่า “ห้ามดื่มสุราของเขา! เขาจะสังหารท่าน! ป้ายคำสั่งแผ่นนั้นไม่ใช่ของท่านอาเขยฉิน ป้ายคำสั่งของอาเขยฉินอยู่ที่ตระกูลจี เมื่อครู่ท่านอาให้คนนำมาให้ข้าแล้ว! ป้ายคำสั่งแผ่นนั้นเป็นของตัวองค์หญิงเอง ตอนที่ท่านนำป้ายคำสั่งขององค์หญิงมาให้ฝ่าบาททอดพระเนตร ฝ่าบาทก็ค้นพบความลับนี้แล้ว…ตระกูลจีมีฉางเฟิงสื่อสองคน ฉินปิงอวี่ แล้วก็องค์หญิง องค์หญิงเป็นคนเยี่ยหลัว ภายในร่างท่าน…มีสายเลือดของเยี่ยหลัวไหลเวียนอยู่”

สีหน้าของจีหมิงซิวไม่หวั่นไหวสักนิด เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ท่านรู้อยู่แล้วหรือ”

จีหมิงซิวตอบว่า “เพิ่งเดาออกไม่นาน”

หนนี้ผลัดถึงตาฮ่องเต้ตกตะลึงแล้ว “เดาออกแล้วเจ้ายังดื่มลงไปอีกหรือ”

เฉียวเวยถลึงตาทันใด “อะไรนะ ท่านดื่มลงไปแล้วหรือ” จากนั้นนางก็หันไปมองฮ่องเต้ “ท่านใส่ยาพิษให้เขาดื่มจริงๆ อย่างนั้นหรือ”

สีพระพักตร์ของฮ่องเต้มีสีหน้าซับซ้อนปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย

จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นเรียบๆ “ตระกูลจีใหญ่โตปานนั้น ย่อมต้องมีสักคนดื่มสุราจอกนี้ลงไป ฝ่าบาทว่าใช่หรือไม่”

เล่ห์กลเล็กๆ ของฮ่องเต้ถูกเปิดโปงแล้ว ไม่ผิด หากจีหมิงซิวไม่ดื่ม ช้าเร็วพระองค์ก็จะให้คนอื่นในตระกูลจีมาดื่ม สุราพิษจอกนี้ มิว่าอย่างไรก็ต้องถูกกรอกเข้าไปในท้องของคนตระกูลจี เพียงแต่พระองค์คิดไม่ถึงว่า จีหมิงซิวจะมองออกตั้งแต่แรก เขาดื่มสุราจอกนี้ลงไปด้วยความรู้สึกเช่นไรกัน

เฉียวเวยกดรัชทายาทลงกับโต๊ะ มองฮ่องเต้อย่างเย็นชา “ส่งยาแก้พิษมาเสีย! มิฉะนั้นข้าจะลากลูกชายท่านลงสุสานไปด้วย!”

ฮ่องเต้ข่มใจไม่หันไปมองรัชทายาท เอ่ยน้ำเสียงเนิบช้า “ยาชนิดนี้จะไม่คร่าชีวิตคนในทันที พวกเจ้าเชื่อข้า ข้าไม่มีเจตนาจะทำร้ายพวกเจ้า ข้าเพียงแต่ไร้ทางเลือก”

เฉียวเวยโต้เสียงเย็นชา “ท่านไร้ทางเลือกอันใด ท่านคือฮ่องเต้! ท่านต้องการชีวิตผู้ใด ไม่ต้องการชีวิตผู้ใด ก็เพียงลั่นวาจาประโยคเดียวเท่านั้นมิใช่หรือ”

ฮ่องเต้ตรัสตอบว่า “ขอเพียงหมิงซิวกำจัดเผ่าเยี่ยหลัวสำเร็จ ข้าก็จะน้อมประคองยาแก้พิษส่งให้ เยี่ยหลัวเป็นภัยซ่อนเร้นต่อต้าเหลียง แล้วยังเป็นผู้ร้ายที่ทำร้ายเจาหมิง ข้าเชื่อว่าต่อให้ข้าไม่ออกคำสั่งหมิงซิว หมิงซิวก็คงไม่ละเว้นเผ่าเยี่ยหลัว”

เฉียวเวยขมวดคิ้ว “ในเมื่อรู้ว่าพวกเรากับเผ่าเยี่ยหลัวมิอาจอยู่ร่วมฟ้า ท่านไยต้องทำเรื่องไม่จำเป็นอย่างการวางยาพิษหมิงซิวอีก”

ฮ่องเต้ถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย “ข้าเพียงป้องกันเอาไว้ก่อนเท่านั้น”

เฉียวเวยเยาะหยัน “ป้องกันเอาไว้ก่อนหรือ ข้าก็อยากจะป้องกันเอาไว้ก่อนเหมือนกัน หากทุกสิ่งลุล่วงแล้ว ท่านกลับคำจะทำเช่นไรเล่า”