ตอนที่ 310-2 คนของซู่ซินจงมา ซาลาเปาน้อยไปเข้าเรียน (2)
เจ้าซาลาเปาน้อยยังไม่ทราบเรื่องที่ตนเองกลายเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน พวกเขากินข้าวอาบน้ำอย่างสำราญใจ กลิ้งไปมาบนเตียงพลางถามว่าเหตุใดท่านพ่อจึงยังมิกลับมา
ดูสิ ติดหมิงซิวเป็นตังเมถึงเพียงนี้ จะไปสำนักซู่ซินจงได้อย่างไรกัน
เฉียวเวยจับเจ้าซาลาปาน้อยทั้งสองคนยัดเข้าไปในผ้าห่มแล้วเหน็บชายผ้าห่มจนเรียบร้อย จากนั้นจึงเดินออกมาข้างนอกอย่างแผ่วเบา
ยามไฮ่สี่เค่อ จีหมิงซิวก็ยังไม่กลับบ้าน
เฉียวเวยหยิบกระเป๋าเงินใบน้อยที่ปักไปได้ครึ่งหนึ่งขึ้นมาอย่างเบื่อหน่าย นางขยับเข็มด้ายปักขึ้นลง ทันใดนั้นไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น เข็มก็ปักลงบนนิ้ว นางเช็ดคราบเลือดบนปลายนิ้วแล้ววางกระเป๋าน้อยกลับไปในตะกร้าปัก
ครึ่งชั่วยามผ่านไป เฉียวเวยอ้าปากหาว
ปี้เอ๋อร์ผลักประตูเข้ามา “ฮูหยิน จะกินของว่างยามดึกสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะให้ห้องครัวต้มโจ๊กให้”
เฉียวเวยลูบท้อง “ต้มมาเถิด เริ่มหิวนิดๆ แล้ว”
“มือของท่านเป็นอะไรเจ้าคะ” สายตาของปี้เอ๋อร์เคลื่อนไปจับบนปลายนิ้วที่แดงระเรื่อเล็กน้อยของเฉียวเวย
เฉียวเวยตอบอย่างไม่สนใจ “เมื่อครู่ไม่ทันระวังโดนเข็มทิ่มนิดหน่อย ไม่เป็นอะไรแล้ว”
ปี้เอ๋อร์พึมพำ “หลังจากนี้ฮูหยินอย่าทำงานเย็บปักถักร้อยเลยเจ้าค่ะ เดิมทีท่านก็ทำงานเย็บปักถักร้อยไม่เก่งอยู่แล้ว”
เฉียวเวยยิ้ม “ดีเลวข้าก็เย็บเสื้อผ้าให้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูมาตั้งหลายชุดเหมือนกันนะ”
ปี้เอ๋อร์หัวเราะแล้วถอยออกไป
เฉียวเวยยกมือข้างหนึ่งเท้าศีรษะ ถอนหายใจแผ่วเบา “เหตุใด…ใจข้าจึงไม่สงบเช่นนี้”
“ฮูหยิน!” ปี้เอ๋อร์ก้าวเข้ามา
“มีอันใด” เฉียวเวยถาม
ปี้เอ๋อร์ตอบเสียงเบา “เถาจือจากเรือนสี่มาเจ้าค่ะ”
เถาจือไม่ใช่สาวใช้ข้างกายจีซวงหรือ นางมาทำอันใด
เฉียวเวยพยักหน้า “ให้นางเข้ามา”
ปี้เอ๋อร์นำทางเถาจือเข้ามา เฉียวเวยนั่งเหยียดตัวตรง หันไปมองนางนิ่งๆ “เจ้ามาหาข้าดึกป่านนี้ อาการป่วยของท่านอาไม่ดีขึ้นหรือไร”
เถาจือรีบตอบว่า “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ฮูหยินน้อย ฮูหยินฟื้นแล้วเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยคิดไม่ถึงอยู่บ้าง “เอ๋ ฟื้นแล้วหรือ พูดได้หรือไม่ ยังจำเรื่องก่อนหน้านี้ได้หรือไม่”
“พูดได้เจ้าค่ะ แล้วก็ยังจำได้ด้วย ทุกสิ่งเรียบร้อยดี” เพียงแต่อารมณ์มิใคร่ดีนัก เรื่องนี้เถาจือไม่ได้เอ่ยออกมา
เฉียวเวยทำท่าจะลุกขึ้น “ข้าจะไปดูนางสักหน่อย”
เถาจือขวางเฉียวเวยแล้วบอกว่า “ฮูหยินบอกว่าตอนนี้นางไม่อยากพบผู้ใดทั้งสิ้น นางให้บ่าวมาหาท่านเพราะมีของสิ่งหนึ่งต้องการมอบให้ท่าน”
เฉียวเวยกลับไปนั่งบนเก้าอี้
เถาจือหยิบกล่องลวดลายงดงามใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อกว้างแล้วส่งให้เฉียวเวย
เฉียวเวยเปิดกล่องออกดู แล้วก็ปิดลงดัง ปั้บ! สีหน้าเย็นยะเยือกถามว่า “ของผู้ใด”
เถาจือตอบว่า “ของท่านเขยเจ้าค่ะ ฮูหยินพบในตู้ของท่านเขย ฮูหยินมิทราบว่าเป็นสิ่งใด แต่ฮูหยินบอกว่าอาจจะเป็นประโยชน์กับนายน้อยและฮูหยินน้อย”
ถูกเล่นงานไปสองหน ในที่สุดก็มีสมองขึ้นมาแล้ว
เฉียวเวยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าทราบแล้ว ฝากคำขอบคุณไปให้ท่านอาแทนข้าด้วย”
เถาจือค้อมกายตอบ “บ่าวขอตัว”
เฉียวเวยมองประตูแล้วสั่งว่า “ปี้เอ๋อร์ ส่งแม่นางเถาจือ”
ปี้เอ๋อร์ส่งเถาจือออกไป
เฉียวเวยปิดประตู ขัดกลอนประตูแล้วเดินมาที่หัวเตียง นางดึงลิ้นชักชั้นหนึ่งจากนั้นหยิบป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งออกมา ต่อมาก็เปิดกล่องที่เถาจือมอบให้ แล้วหยิบป้ายคำสั่งด้านในออกมา
เหมือนกันทุกประการ
เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
เหตุใดฉินปิงอวี่จึงมีป้ายคำสั่งของฉางเฟิงสื่ออยู่ถึงสองแผ่น หรือว่าก่อนหน้านี้เขาเคยทำหายไปแผ่นหนึ่ง เบื้องบนจึงทำใหม่มาให้เขาอีกหนึ่งแผ่น
แต่ว่าดูจากสีกับความเก่าใหม่ของป้ายคำสั่งสองแผ่นนี้เหมือนจะทำออกมาในปีเดียวกัน ฉินปิงอวี่คงรู้ล่วงหน้าว่าตนจะทำหายแล้วเตรียมเอาไว้ไม่ได้กระมัง
ไม่ เป็นไปไม่ได้
แต่หากไม่ใช่เช่นนี้ ก็ต้องมีป้ายคำสั่งแผ่นเดียวที่เป็นของฉินปิงอวี่
ชิ้นที่เถาจือนำมามอบให้ย่อมเป็นของฉินปิงอวี่อย่างไม่ต้องสงสัย
ถ้าเช่นนั้นแผ่นที่องค์หญิงเจาหมิงมอบให้จีซั่งชิงก่อนตายแผ่นนี้เล่า ป้ายคำสั่งแผ่นนี้เป็นของผู้ใด
ปี้เอ๋อร์ส่งเถาจือเสร็จก็วกกลับมาดูเฉียวเวย เพิ่งจะผลักประตูเปิด เฉียวเวยที่อยู่ด้านในก็พุ่งพรวดออกมา ปี้เอ๋อร์ตกใจสะดุ้งโหยง “ฮูหยิน!”
เฉียวเวยสั่งเรียบๆ “ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย”
ปี้เอ๋อร์ถามอย่างฉงนงงงวย “ดึกป่านนี้แล้ว ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ”
“เรือนถง”
…
ณ เรือนถง จีซั่งชิงพักผ่อนแล้ว แต่เฉียวเวยบอกว่ามีเรื่องสำคัญ จีซั่งชิงจึงสวมเสื้อผ้าออกมาพบเฉียวเวยที่ห้องหนังสือ
เฉียวเวยไม่อ้อมค้อมกับเขา นางวางป้ายคำสั่งสองแผ่นลงบนโต๊ะ “ท่านพ่อ ท่านแยกออกหรือไม่ว่าแผ่นใดเป็นของที่องค์หญิงมอบให้ท่าน”
จีซั่งชิงพลิกป้ายคำสั่งดูแล้วชี้ป้ายคำสั่งทางฝั่งซ้าย “แผ่นนี้”
เฉียวเวยงุนงง “ท่านแยกออกได้อย่างไร”
จีซั่งชิงยิ้ม “ด้านหลังของแผ่นนี้มีรอยตำหนิสีแดงอยู่”
เฉียวเวยพลิกมาดู มีจริงเสียด้วย พอนางคิดอะไรได้ก็ถามอีกว่า “ท่านพ่อ ก่อนหน้านั้นท่านเคยเห็นป้ายคำสั่งแผ่นนี้หรือไม่ หรือตอนที่องค์หญิงมอบให้ท่าน ท่านเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก”
จีซั่งชิงหวนนึก แล้วตอบว่า “ก่อนหน้านี้ก็เคยเห็นอยู่หลายหน…แต่นางไม่ค่อยอยากให้ข้ารู้นัก ข้าเองก็มิได้ถามมากความ”
แววตาของเฉียวเวยวูบไหว “ถ้าเช่นนั้น…ฝ่าบาททราบเรื่องป้ายคำสั่งแผ่นนี้หรือไม่”
จีซั่งชิงครุ่นคิด “เรื่องนี้ข้าก็มิค่อยแน่ใจนัก…ประเดี๋ยวก่อน เขาน่าจะเคยเห็น ตอนเจาหมิงย้ายออกจากพระราชวัง นางไม่ทันระวังทำกล่องที่ใส่ป้ายร่วงตกพื้น ฝ่าบาทเป็นคนเก็บขึ้นมาให้เจาหมิง ตอนนั้นฝ่าบาทยังทรงถามเจาหมิงเลยว่าสิ่งนี้คือสิ่งใด เจาหมิงหัวเราะตอบว่าเป็นของโบราณที่เก็บมาได้จากข้างนอก ฝ่าบาทหัวเราะขำบอกว่านางตาไม่มีแววแล้วก็คืนให้นาง”
เฉียวเวยหน้าถอดสี
จีซั่งชิงถามว่า “เจ้าเป็นอะไร จริงสิ เหตุไฉนในมือเจ้าจึงมีป้ายของฉางเฟิงสื่อสองชิ้น”
เฉียวเวยไม่ตอบคำถามเขา แต่มุ่นคิ้วพึมพำว่า “หากฝ่าบาทเคยเห็นป้ายคำสั่งแผ่นนี้ ไยมิใช่ตอนที่หมิงซิวถือไปมอบให้เขา เขาก็จำมันได้แล้ว”
“เจ้าพูดอันใด” จีซั่งชิงถาม
เฉียวเวยหยิบป้ายคำสั่งที่มีรอยตำหนิสีแดงขึ้นมา “ท่านพ่อ ป้ายฉางเฟิงสื่อชิ้นนี้เป็นของตัวองค์หญิงเอง”
“เป็นของตัวองค์หญิงเองหมายความว่าอย่างไร” จีซั่งชิงฉงนยิ่งกว่าเดิม
เฉียวเวยตอบแผ่วเบา “องค์หญิงนาง…นางก็เป็นฉางเฟิงสื่อเหมือนกัน”
จีซั่งชิงตกตะลึง
…
ณ วังหลวง รัตติกาลดำทะมึน
ศาลาในอุทยานหลวงหนาวเย็นอยู่เล็กน้อย ฝูกงกงห่มผ้าคลุมกันลมขนจิ้งจอกเงินผืนหนึ่งให้ฮ่องเต้ เขาสาดสุราที่เย็นเฉียบทิ้งแล้วเปลี่ยนสุราที่อุ่นร้อนแล้วกาหนึ่งมาแทน
ฮ่องเต้วางหมากสีดำเม็ดหนึ่ง “หนก่อนเล่นเป็นเพื่อนเจ้ามิจบตา หนนี้ข้าจะสู้กับเจ้าให้สาแก่ใจสักสองสามตา”
จีหมิงซิวสีหน้านิ่งสงบตอบว่า “ค่ำมืดดึกดื่นแล้ว ฝ่าบาทมิต้องฝืน”
ฮ่องเต้พยายามเบิกดวงตาที่เมามายแล้วว่า “ฝืนอย่างไร เจ้าเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า ข้ามีแต่ชมชอบเจ้า”
จีหมิงซิวมองเขา แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาท ท่านดื่มมากไปแล้ว”
ฮ่องเต้ยิ้มเรียบๆ “ข้าสติแจ่มชัดยิ่งนัก”
จีหมิงซิวไม่พูดคำใดอีก เขาคอไม่แข็งและดื่มสุราน้อยยิ่งนัก จึงดื่มแต่ชาที่วางอยู่ด้านข้าง
ฮ่องเต้ดื่มสุราร้อนแรงอีกหลายคำใหญ่ “จู่ๆ ข้าก็นึกถึงมารดาของเจ้า มารดาของเจ้าคอแข็งนัก คอแข็งยิ่งกว่าข้าเสียอีก ทุกครั้งที่ดื่มกัน ข้าล้วนสู้นางไม่ได้ ข้ายังคิดเลยว่านางเป็นแม่นางคนหนึ่งแท้ๆ เหตุไฉนจึงดื่มเก่งกว่าข้า…ที่เป็นบุรุษตัวโตคนนี้”
จีหมิงซิวหลุบสายตาลง มุมปากยกโค้งนิดๆ “เสี่ยวเวยก็คอแข็งมากเหมือนกัน”
“คิดถึงภรรยาของเจ้าแล้วหรือ” ฮ่องเต้ถามอย่างเมามาย
จีหมิงซิวมิแสดงท่าทีตอบ
ฮ่องเต้ยิ้มเมาๆ “ข้าน่ะ…รักแม่ของเจ้าจริงๆ”
จีหมิงซิวตอบด้วยสีหน้าแจ่มใส “ท่านแม่ก็เคารพท่านอย่างยิ่งเช่นกัน”
“นางย่อมเคารพข้า ข้าเป็นคนเลี้ยงนางจนโต! อดีตฮ่องเต้ออกไปทำสงคราม กลับมาก็พาเด็กคนหนึ่งมาให้ข้า บอกข้าว่าเด็กคนนี้เป็นท่านอาของเจ้า เจ้าต้องเลี้ยงดูให้ดี! ข้าอายุเกือบยี่สิบปีแล้ว แต่ต้องเรียกทารกน้อยคนหนึ่งว่าท่านอา…ข้าจึงหลอกนาง…ให้เรียกข้าว่าพี่ใหญ่!” ฮ่องเต้สรวญอย่างเบิกบานพระทัย สรวจจนหัวไหล่สั่น “ตอนข้าเรียนก็พานางไปด้วย ตอนกินข้าวก็พานางไปด้วย แม้แต่ตอนนอนก็ต้องพกนางไว้ข้างตัว รู้หรือไม่ว่าเหตุใดช่วงหลายปีนั้นข้า…ถึงไม่มีลูก ก็เพราะแม่ของเจ้าทั้งนั้น…อากาศหนาวก็ว่า ‘ข้าจะนอนกับท่านพี่’ อากาศร้อนก็ว่า ‘ข้าจะนอนกับท่านพี่’ ฟ้าร้องก็ว่า ‘ข้าจะนอนกับท่านพี่’ ต่อให้ไม่มีอะไรทั้งสิ้นก็ยังจะบอกว่า ‘ข้าจะนอนกับท่านพี่’…ไล่อย่างไรก็ไล่ไม่ไป!”
จีหมิงซิวฟังเงียบๆ
“เจาหมิงของข้าตายแล้ว…” รอยยิ้มของฮ่องเต้หดหาย เขาทุบหน้าอก ขอบตาแดงระเรื่อ
ฮ่องเต้เมาอาละวาดอยู่อีกพักหนึ่ง แต่จีหมิงซิวไม่ขัดเขา ยามต้องการให้เขาตอบ เขาก็ตอบรับ
ไม่รู้อาการเช่นนี้คงอยู่นานเท่าใด สุราอุ่นบนโต๊ะถูกเททิ้งไปสามกา ฮ่องเต้จึงดูเหมือนเริ่มสงบอารมณ์ได้ เขาเช็ดหยดน้ำตาบนใบหน้าแล้วมองจีหมิงซิว “แผ่นดินต้าเหลียงได้มามิง่าย รักษาไว้ยิ่งมิง่าย ตอนอดีตฮ่องเต้ครองบัลลังก์ ทำสงครามติดต่อกันหลายปี ประชาชนมิได้อยู่เป็นสุข จวบจนก่อนสิ้นพระชนม์ถึงมอบยุคทองอันสงบสุขให้ข้าได้ ข้าจะต้องรักษาแผ่นดินของตระกูลหลี่ไว้ มิอาจปล่อยให้ความทุ่มเทของอดีตฮ่องเต้กับเหล่าบรรพบุรุษถูกน้ำซัดหายไปเสียเปล่า เยี่ยหลัวเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่หลวงที่สุดของข้า”
จีหมิงซิวตอบอย่างปราศจากระลอกคลื่นความหวั่นไหว “ฝ่าบาทปรารถนาจะให้ข้าทำสิ่งใด”
ฮ่องเต้ตรัสตอบ “กำจัดเผ่าเยี่ยหลัว อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว”
จีหมิงซิวจ้องเขานิ่ง เขาเองก็มองจีหมิงซิวอย่างไม่หลบตาแม้แต่น้อย แววตาของทั้งสองคนแฝงความนัยอันลึกล้ำ จีหมิงซิวตอบว่า “กระหม่อมน้อมรับบัญชา”
ฮ่องเต้แย้มสรวล “ข้าเตรียมสุราร้อนไว้ให้เจ้ากาหนึ่ง ฝูกงกง ยกสุราลายบุปผาของข้ามา!”
ฝูกงกงหิ้วกาสุราอันประณีตใบหนึ่งเดินเข้ามาแล้ววางกาสุราลงข้างพระหัตถ์ของฮ่องเต้ จากนั้นถอยออกไปอย่างรู้จักสถานการณ์
ฮ่องเต้รินสุราจอกหนึ่งให้พระองค์เอง จากนั้นปิดฝากา ลุกขึ้นรินอีกจอกหนึ่งให้จีหมิงซิว “สุราลายบุปผาของร้านนี้บ่มได้ยอดเยี่ยมที่สุด ตอนแม่เจ้ายังอยู่ชอบดื่มยิ่งนัก ใช้มันส่งเจ้าไปทำงาน แม่ของเจ้าคงไม่ตำหนิข้าแล้ว”
…
รถม้าของตระกูลจีแล่นมาถึงวังหลวง เฉียวเวยกระโดดลงมาจากรถม้า
องครักษ์เดินเข้ามาหาอย่างระแวดระวัง “ผู้มาเยือนคือผู้ใด”
เฉียวเวยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าคือฮูหยินอัครมหาเสนาบดี ข้าต้องการพบอัครมหาเสนาบดี!”
องครักษ์ถามว่า “มีพระราชโองการหรือไม่”
เฉียวเวยส่ายหน้า “ไม่มี”
องครักษ์โบกมือตอบว่า “ไม่มีราชโองการหรือ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็รออยู่ที่นี่เถิด ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีถูกฝ่าบาทเรียกไปร่ำสุราด้วยกัน!”
เฉียวเวยขมวดคิ้วเล็กน้อย “ช่วยแจ้งให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องสำคัญอย่างยิ่งต้องบอกอัครมหาเสนาบดี”
องครักษ์ถอนหายใจ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยเจ้า แต่ฝ่าบาทมีคำสั่งห้ามมิให้ผู้ใดรบกวน ข้าช่วยแจ้งให้เจ้าก็ไม่มีประโยชน์ ไม่มีทางแจ้งไปถึงหูของฝ่าบาทหรอก”
….
ฮ่องเต้ยกจอกสุราขึ้นมา ใบหน้ามีรอยยิ้มแต่ดูมิเหมือนรอยยิ้ม “คนเยี่ยหลัวเกิดมาพร้อมเสน่ห์ กล่าวกันว่าคนเยี่ยหลัวรูปโฉมงดงามผิดแผกจากธรรมดา ข้ามักจะคิดอยู่เสมอว่างามอีกเท่าใดจะงามสู้แม่ของเจ้าได้หรือ”
จีหมิงซิวถือจอกสุราขึ้นมาบ้าง
ฮ่องเต้สรวล ยกจอกสุราดื่มรวดเดียวจนหมด
ฮ่องเต้กดข้อมือของเขาไว้ “เจ้ามิกลัวข้าวางยาพิษเจ้าหรือไร”
จีหมิงซิวตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “เจ้าแผ่นดินต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางย่อมมิอาจไม่ตาย”
กล่าวจบก็ดื่มลงไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย