เล่ม-1 ตอนที่ 315-1 ผู้อาวุโสเลิกเก็บตัวฝึกวิชา กำราบในเสี้ยววินาที

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน

ตอนที่ 315-1 ผู้อาวุโสเลิกเก็บตัวฝึกวิชา กำราบในเสี้ยววินาที

ทั้งร่างของใต้เท้าเจ้าสำนักเหลือเพียงดวงตาที่ขยับได้ เขาเบิกดวงตาทั้งสองข้างจนกลม ถลึงตามองอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยม

เจ้าตัวหน้าไม่อาย เจ้าคิดจะทำอะไร

ศิษย์พี่ห้าจับปลายคางของเขา แล้วเอ่ยเนิบช้า “รู้หรือไม่ว่าเจ้าเกะกะยิ่งนัก เจ้าโง่ที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่างเช่นเจ้า ความจริงไม่มีคุณสมบัติมาขวางทางของข้า”

หากใต้เท้าเจ้าสำนักพูดได้ คงจะถ่มน้ำลายใส่เขาจนจมน้ำลายตายไปแล้ว

ศิษย์พี่ห้าหัวเราะหยัน “เจ้าใช้สายตาเช่นนี้มองข้าก็เปล่าประโยชน์ ในเมื่อข้าจับเจ้าได้แล้วย่อมไม่มีทางปล่อยเจ้าไป”

เจ้าคนหน้าไม่อาย อย่าตกมาอยู่ในมือข้าบ้างเชียวนะ!

ศิษย์พี่ห้าเรียกศิษย์ในสองคนมาแบกใต้เท้าเจ้าสำนักเดินไปยังทะเลสาบด้านหลังสำนักซู่ซินจง ตอนนี้คนน้อย ตลอดทางจึงไม่พบศิษย์คนใดทั้งสิ้น ทะเลสาบด้านหลังอยู่ห่างไกล ยามปกติไม่ค่อยมีผู้ใดเดินมานัก ยามนี้ยิ่งไม่มี

ศิษย์พี่ห้าให้คนโยนใต้เท้าเจ้าสำนักลงบนผืนหญ้าเปียกที่ถูกแสงแดดอาบจนร้อน จากนั้นก้มมองเขาจากด้านบน “อย่าถือโทษที่ข้าใจเหี้ยมเลย หากจะโทษก็โทษตัวเจ้าเองเถิดที่โชคร้าย”

ใต้เท้าเจ้าสำนักถลึงตามองเขาอย่างเย็นชา

ศิษย์พี่ห้าส่งสายตาออกคำสั่ง

ศิษย์สองคนแบกเขาขึ้นมาอีกครั้ง กำลังจะโยนลงไปในทะเลสาบ

“ประเดี๋ยวก่อน” ทันใดนั้นศิษย์พี่ห้าก็ร้องห้าม

ศิษย์ทั้งสองคนหยุด

หน้าอกของใต้เท้าเจ้าสำนักพองขึ้นยุบลงอย่างแรง

ศิษย์พี่ห้าปลดหน้ากากของเขาออกแล้วยิ้มจางๆ “หยกเหมันต์เป็นของดี จะปล่อยให้เสียเปล่าไม่ได้”

ไอ้คนสารเลว!

ศิษย์พี่ห้าโบกมือสั่งอย่างหมดความอดทน

ทั้งสองคนจึงโยนใต้เท้าเจ้าสำนักลงไปในทะเลสาบ ไม่ต้องพูดถึงใต้เท้าเจ้าสำนักที่ตอนนี้ถูกสกัดจุดไว้ ต่อให้ไม่ถูกสกัดจุด เขาก็ว่ายน้ำไม่เป็น มิฉะนั้นตั้งแต่ตอนที่จีหมิงซิว ‘ลักพาตัว’ เขาขึ้นเรือลำใหญ่มา เขาก็กระโดดทะเลดำน้ำหนีไปแล้ว

ร่างของใต้เท้าเจ้าสำนักจมลงไปอย่างรวดเร็ว

“เรื่องในวันนี้ รู้ว่าสิ่งใดควรพูด สิ่งใดไม่ควรพูดใช่หรือไม่” ศิษย์พี่ห้าถามศิษย์ทั้งสองคน

ทั้งสองคนประสานหมัดตอบเป็นเสียงเดียวกัน “ศิษย์พี่ห้าโปรดวางใจ พวกเราเข้าใจขอรับ!”

ศิษย์พี่ห้ายกมุมปากโค้งอย่างพึงพอใจ เขาลูบหน้ากากหยกเหมันต์ในมือแล้วสวมลงบนใบหน้าของตน จากนั้นก็ถอดออกมา ยิ้มอย่างชอบอกชอบใจ ขณะที่หันหลังกลับกำลังจะเดินจากไปนั่นเอง เขาก็เห็นฟู่เสวี่ยเยียน!

ฟู่เสวี่ยเยียนอยู่ห่างจากเขาเพียงสามก้าว ฟู่เสวี่ยเยียนมาตั้งแต่เมื่อใด แล้วมานานเท่าใดแล้ว เขาไม่รู้สึกตัวสักนิด หัวใจฉับพลันมีความเย็นยะเยือกแผ่ลามเข้าครอบงำ จู่ๆ ก็หนาวสันหลังวาบ

เขาตั้งสติ คลี่รอยยิ้มทักทายว่า “ศิษย์พี่หญิงฟู่ เหตุไฉนท่านจึงเดินเล่นมาถึงทะเลสาบด้านหลังได้เล่า”

สายตาของฟู่เสวี่ยเยียนจับอยู่บนหน้ากากในมือเขาแล้วถามเรียบๆ “หน้ากากมาจากที่ใด”

ศิษย์พี่ห้ารู้สึกถึงเหงื่อที่เปียกชื้นบนฝ่ามือ เขายกมือเช็ดหน้าผากอย่างระมัดระวัง แล้วตอบว่า “เมื่อครู่ข้าเดินผ่านมาทางนี้เก็บได้จากบนพื้น หน้ากากชิ้นนี้ดูคุ้นตาอยู่นิดๆ แต่ข้าไม่แน่ใจนัก ศิษย์พี่หญิงฟู่ ท่านช่วยข้าดูสักหน่อย ใช่ของคุณชายรองตระกูลจีหรือไม่”

ฟู่เสวี่ยเยี่ยนเลื่อนสายตาออกหันไปมองทะเลสาบที่ไหวเป็นระลอก

ศิษย์พี่ห้าส่งสายตาให้ศิษย์สองคนนั้น จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “โอ๊ะ คุณชายรองตระกูลจีคงมิได้ตกน้ำไปกระมัง แย่แล้ว ข้าว่ายน้ำไม่เป็น! พวกเจ้าสองคน รีบลงไปช่วยคนสิ!”

ทั้งสองคนเห็นสัญญาณจากศิษย์พี่ห้าแล้วจึงพากันพยักหน้าบอกว่า “พวกข้าก็ว่ายน้ำไม่เป็นขอรับ”

ศิษย์พี่ห้าเอ่ยอย่างร้อนใจ “ว่ายไม่เป็นก็รีบไปตามคนมาสิ!”

จากตรงนี้วิ่งไปถึงตรงที่มีคน ไปแล้วกลับ เจ้าเด็กคนนั้นก็ไม่เหลือชีวิตแล้ว ศิษย์พี่ห้าจึงยินดีทำตัวเป็นคนดีสักหน

“ขอ…ขอรับ!”

ศิษย์น้องทั้งสองวิ่งฉิวออกไปทันที

ศิษย์พี่ห้าเดินมาข้างกายฟู่เสวี่ยเยียน เขามองซีกหน้าของฟู่เสวี่ยเยียนที่กำลังจับจ้องผิวทะเลสาบอยู่ ในใจรู้สึกริษยาเล็กๆ แต่ก็สาแก่ใจอยู่หน่อยๆ เขาคลี่ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์พี่หญิงฟู่โปรดวางใจ ประเดี๋ยวคนก็มาแล้ว คุณชายรองจีจะต้องพบโชคร้ายกลายเป็นโชคดีแน่นอน”

ใต้เท้าเจ้าสำนักนอนอยู่ก้นทะเลสาบ เขาถูกแรงดันน้ำมหาศาลกดทับจนกลั้นลมหายใจต่อไม่ไหว ฟองอากาศลอยบุ๋งๆ ออกมาจากปาก เขาเบิกตาโตมองแสงพร่าเหนือศีรษะ แววตาเริ่มเลื่อนลอย

ตอนนั้นเองฟู่เสวี่ยเยียนพลันกระโจนลงไปในน้ำ

ศิษย์พี่ห้าหน้าถอดสีทันใด!

ศิษย์พี่หญิงฟู่กำลังทำอะไร นางบ้าไปแล้วหรือ ตนเองยังยืนอยู่ตรงนี้! นางยังกล้ากระโดดลงไปช่วยบุรุษคนหนึ่ง! นางไม่กลัวว่าหากเล่าลือออกไปชื่อเสียงของนางจะย่อยยับหรือไร

ฟู่เสวี่ยเยียนว่ายลงไปที่ก้นทะเลสาบ กระโปรงสีฟ้าใสห้อมล้อมเรือนร่างงามอรชรของนางจนคล้ายกับนางเงือกผู้งดงามตนหนึ่ง

ใต้เท้าเจ้าสำนักคิดว่าตนเองกำลังฝันอยู่ เขามองนางเงือกแหวกว่ายเข้ามาหาตนเองด้วยสติอันพร่าเลือน

นางเงือกสวมผ้าปิดหน้า ดวงตาทั้งสองช่างงดงามจริงๆ

ฟู่เสวี่ยเยียนกอดใต้เท้าเจ้าสำนักอย่างอ่อนโยน เมื่อค้นพบว่าแขนขาของเขาแข็งทื่อก็ยื่นมือออกไปคลายจุดให้เขา

ใต้เท้าเจ้าสำนักสะลึมสะลือยกมือขึ้นมาดึงผ้าปิดหน้าของนาง

ทว่าวินาทีต่อมาเขาก็หมดสติไป

ฟู่เสวี่ยเยียนอุ้มเขาว่ายขึ้นมาบนฝั่ง ชั่วพริบตาที่ขึ้นมาบนฝั่งสำเร็จ นางก็สวมผ้าปิดหน้ากลับไปใหม่อีกหน

ศิษย์พี่ห้าวิ่งเข้ามารับอย่างเอาใจใส่ “ศิษย์พี่หญิงฟู่! ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ รีบส่งคนมาให้ข้าเร็ว!”

ฟู่เสวี่ยเยียนไม่สนใจเขา นางวางใต้เท้าเจ้าสำนักไว้บนพื้นหญ้า สองมือวางทับกันกดหน้าอกของเขา แต่เขาไม่มีปฏิกิริยา

ศิษย์พี่ห้าเอ่ยว่า “ศิษย์พี่หญิงฟู่ ข้า…ข้าทำเองดีกว่า!”

ฟู่เสวี่ยเยียนซัดลมปราณหนึ่งฝ่ามือกระแทกศิษย์พี่ห้าลงไปกองกับพื้น ศิษย์พี่ห้าอยากลุกขึ้นมา แต่ถูกนางหยิบก้อนหินก้อนหนึ่งดีดมาสกัดจุดลมปราณของเขา

เขาหันหลังให้ทั้งสองคน ในใจเริ่มมีความหวั่นกลัวผุดพรายขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ “ศิษย์พี่หญิงฟู่ ท่าน ท่านคิดจะทำอันใด”

ฟู่เสวี่ยเยียนบีบจมูกของใต้เท้าเจ้าสำนักแล้วโน้มตัวลงไปประกบปาก ถ่ายทอดลมหายใจให้เขา

ไม่รู้ว่าทำไปกี่ครั้ง ในที่สุดร่างของใต้เท้าเจ้าสำนักก็สั่นเทา ลืมตาโพลงขึ้นมา เขาหันไปมองฟู่เสวียนเยียนอย่างมึนงง ฟู่เสวียนเยียนบังเอิญมองเขาอยู่พอดี ริมฝีปากของทั้งสองคนแนบสนิทแน่น มีเพียงผ้าปิดหน้าโปร่งบางผืนเดียวกั้นขวางอยู่ เขากะพริบตาพริบๆ ฟู่เสวี่ยเยียนกระพือขนตา แล้วลุกขึ้นมาสะบัดหนึ่งฝ่ามือตบเขา

ใต้เท้าเจ้าสำนักกุมใบหน้า ลุกขึ้นนั่งอย่างสับสนงงงวย “เจ้าประสาทหรืออย่างไร เจ้าตบข้าทำไม ข้าไม่ได้บังคับให้เจ้าจู…”

ฟู่เสวี่ยเยียนเงื้อฝ่ามือขึ้นมาอีกหน

ใต้เท้าเจ้าสำนักหดคออย่างคับแค้น “ไม่พูดแล้วๆ”

“ศิษย์พี่หญิงฟู่ ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” ศิษย์พี่ห้าถามอย่างร้อนใจดั่งไฟลน เขาอยากจะรู้แทบแย่แล้วว่าสองคนนั้นเกิดอะไรขึ้น เหตุใดศิษย์พี่หญิงฟู่จึงสกัดจุดตนเองให้อยู่ตรงนี้

ฟู่เสวี่ยเยียนมิใส่ใจจะตอบ นางดึงวัชพืชน้ำบนอาภรณ์ทิ้ง แล้วเดินออกไปจากที่แห่งนี้อย่างเย็นชา

ใต้เท้าเจ้าสำนักมองแผ่นหลังของนางเคลื่อนไกลออกไปแล้วลุกขึ้นยืน เขาเดินอ้อมมาหน้าศิษย์พี่ห้า จากนั้นแย่งหน้ากากในมืออีกฝ่ายมา ก่อนจนเตะเขาจนกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้น “กล้าทำร้ายข้า ใจกล้าไม่เบานะ!”

ศิษย์พี่ห้ามองเขาอย่างโกรธแค้น “เจ้าอย่าได้เหิมเกริมเกินไปนัก!”

“ข้าจะเหิมเกริมให้เจ้าดู! แล้วเจ้าจะทำอันใดข้าได้” ใต้เท้าเจ้าสำนักเหวี่ยงกำปั้นกระทบใบหน้าของเขา

ศิษย์พี่ห้าถูกต่อยจนเลือดออกจมูก เขาโกรธจนมิอาจระงับ เอ่ยขึ้นว่า “เจ้ารนหาที่ตายใช่หรือไม่”

ใต้เท้าเจ้าสำนักหัวเราะฮ่าๆ “รนหาที่ตาย? คำพูดนี้เจ้าไปพูดกับยมบาลเองก็แล้วกัน!”

ศิษย์พี่ห้าขมวดคิ้ว “เจ้าคิดจะทำอะไร”

ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่ตอบคำเขา เพียงยิ้มชั่วร้าย ขยับมือสองสามทีก็ถอดอาภรณ์ของเขาออก

ศิษย์พี่ห้าโกรธจัด “เจ้า…”

ใต้เท้าเจ้าสำนักลากเขามาที่ริมทะเลสาบแล้วยกเท้า ถีบเขาลงไป!

“ศิษย์พี่ห้า! ศิษย์พี่ห้า!”

ลูกศิษย์สองคนที่วิ่งออกไปก่อนหน้านี้พาลูกศิษย์กลุ่มใหญ่รีบเร่งมาถึงพอดี

ใต้เท้าเจ้าสำนักปัดมือ แล้วใช้ทางอีกเส้นหนึ่งกลับไปที่เรือน

จีหมิงซิวกับเฉียวเวยกลับมาได้สักพักหนึ่งแล้ว พวกเขากำลังปูกระดาษขาวแผ่นหนึ่งในห้องแล้ววาดตำแหน่งสถานที่ที่เดินผ่านในวันนี้ เพราะมีป้ายเจ้าสำนักอำนวยความสะดวก พวกเขาจึงได้ไปเยือนสถานที่จำนวนไม่น้อยที่จีหมิงซิวมิเคยได้ย่างกรายเข้าไป แต่เพราะเวลาจำกัด วันนี้จึงได้ไปเหยียบสถานที่เพียงไม่กี่แห่ง รอเลือกสถานที่น่าสงสัยได้แล้ว วันถัดๆ ไปค่อยกลับไปสำรวจอย่างละเอียดอีกหน

“ข้ารู้สึกว่าที่นี่ก็น่าจะจดไว้หน่อย” เฉียวเวยชี้กระท่อมฟางน้อยแห่งหนึ่งบนแผนที่กระดาษ

จีหมิงซิวใช้พู่กันสีแดงทำเครื่องหมายเอาไว้

“แล้วก็ที่นี่ด้วย” เฉียวเวยชี้ภูเขาน้อยอีกแห่งหนึ่ง “แม้จะดูรกร้างอย่างยิ่ง แต่ด้านในก็ให้คนอาศัยอยู่ได้”

จีหมิงซิวทำเครื่องหมายไว้

“ทะเลสาบแห่งนี้ท่านคิดว่าอย่างไร” เฉียวเวยชี้ทะเลสาบด้านหลัง

จีหมิงซิวตอบว่า “ทะเลสาบด้านหลังมีคนไปเยือนน้อยครั้ง หากจะซ่อนเร้นสิ่งใดก็เป็นสถานที่ที่สวรรค์เอื้ออำนวยอย่างยิ่งจริงๆ”

“ใช่หรือไม่เล่า” เฉียวเวยใช้ปลายนิ้วแต้มสีแดงแล้ววงแถบทะเลสาบด้านหลังไว้ด้วย

จีหมิงซิวมองไปรอบๆ “หมิงเยี่ยเล่า”

ปี้เอ๋อร์ที่พับเสื้อผ้าอยู่ตอบว่า “คุณชายรองเขา…”

“กลับมาแล้ว” ใต้เท้าเจ้าสำนักไพล่สองมือไว้ด้านหลังร่างเดินเข้ามาอย่างสบายอกสบายใจ เหตุเพราะตกน้ำมา ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาจึงเปียกโชก ไม่มีตรงไหนแห้งสักจุดเดียว แต่พอเห็นดวงตาเล็กๆ ของเขาฉายแววมีความสุขสาแก่ใจเช่นนั้น ก็ดูเหมือนไปรังแกผู้ใดมามากกว่า

“เจ้าไปทำอะไรมา” จีหมิงซิวถามอย่างเคร่งขรึม

ใต้เท้าเจ้าสำนักหาเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่ง จากนั้นหยิบพุทราสีแดงเม็ดหนึ่งขึ้นมา แล้วตอบว่า “ไม่มีอะไร ไปเดินเล่นมาเที่ยวหนึ่ง”

เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “เดินเล่นจนตกน้ำตกท่าหรือ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักกัดพุทราเข้าปาก “ข้าร้อน เลยอาบน้ำไปรอบหนึ่งไม่ได้หรือไร”

เฉียวเวยลูบคาง มองสำรวจเขาจากหัวจรดเท้า แล้วยิ้มๆ เอ่ยว่า “เจ้าคงไม่ได้ถูกผู้ใดถีบตกน้ำมากระมัง ดูจากท่าทางอิ่มอกอิ่มใจของเจ้านี่ คนงามตัวน้อยคนนั้นของเจ้าอีกแล้วล่ะสิ”

จีหมิงซิวหันไปมองเขาอย่างนิ่งๆ

ใต้เท้าเจ้าสำนักมองจีหมิงซิว แล้วหันไปมองเฉียวเวย แววตาตระหนกลนลานเอ่ยว่า “อะ อะ อะไรกัน…คนงามตัวน้อยอะไร คนงามตัวน้อยจากที่ไหน เจ้าอย่ามาเที่ยวใส่ร้ายผู้อื่น! ไม่พูดกับพวกเจ้าแล้ว! ข้าจะกลับห้องไปนอน!”

เฉียวเวยเม้มปากยิ้ม ใต้เท้าเจ้าสำนักเขยิบตัวเข้ามากระซิบเสียงเบา “อย่าพูดเรื่องข้าส่งเดช มิฉะนั้นข้าจะแฉเรื่องเลวร้ายที่เจ้าเคยทำบ้าง!”

เฉียวเวยชูนิ้วสาบาน “เจ้าวางใจได้ ข้ามีจริยธรรมทางอาชีพอยู่ ข้าไม่ปูดเรื่องระหว่างเจ้ากับคนงามตัวน้อยคนนั้นของเจ้าออกไปอย่างแน่นอน”

ใต้เท้าเจ้าสำนักจึงเดินจากไปอย่างวางใจ

ไม่ทันไรเฉียวเวยก็หันไปบอกจีหมิงซิว “หมิงเยี่ยหลับนอนกับฟู่เสวี่ยเยียนไปแล้ว”

ปี้เอ๋อร์ “…”

“สรุปเรื่องก็เป็นมาเช่นนี้ หมิงเยี่ยเป็นคนออกความคิด หมิงเยี่ยเป็นคนหลับนอนกับผู้อื่น แล้วหมิงเยี่ยก็เป็นคนจับสังเกตพิรุธของอาเขยฉินได้ ข้าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย! หากจะให้พูดว่าข้าทำอะไร ก็คงมีแค่ตอนที่ฟู่เสวี่ยเยียนตั้งใจจะสังหารหมิงเยี่ยปิดปาก ข้าบังเอิญผ่านทางมาพอดี จึงช่วยหมิงเยี่ยออกมาจากมือของฟู่เสวี่ยเยียนได้!” เฉียวเวยลูบหน้าอกของตน บอกอย่างจริงใจอย่างยิ่ง

จีหมิงซิวลูบศีรษะน้อยของเฉียวเวย ให้เฉียวเวยอิงแอบในอ้อมแขนของเขา แล้วถอนหายใจเบาๆ “แม้ข้าจะเคยบอกแล้วว่าเป็นเด็กเป็นเล็กไม่ควรสอดมือไปยุ่งเรื่องของผู้ใหญ่ แต่สถานการณ์พิเศษก็ย่อมต้องจัดการอย่างพิเศษ ฉินปิงอวี่ผู้นี้ตึงมือมากเกินไป ไม่เสี่ยงอันตรายสักหน่อยคงจบมิได้ หมิงเยี่ยสร้างความชอบใหญ่หลวง ข้าตัดสินใจว่าจะยกทองคำหีบนั้นในห้องให้เขา”

ทันใดนั้นดวงตาของหัวหน้าพรรคเฉียวก็เบิกค้างในพริบตา มือคว้าหมับที่แขนของจีหมิงซิว “ข้าไม่ได้บังเอิญผ่านไปนะ ข้าจงใจล่อท่านอาไป หากไม่ใช่ข้าล่อท่านอาไปสำเร็จ ท่านอาจะค้นพบเรื่องระหว่างฉินปิงอวี่กับฉินเจียวหรือ ข้าก็มีความชอบครึ่งหนึ่ง ทองคำต้องแบ่งให้ข้าครึ่งหนึ่งด้วย!”

จีหมิงซิวหรี่ตาลง

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ท่านหลอกข้าหรือ!”

จีหมิงซิวโอบร่างเล็กเข้ามาในอ้อมแขน แล้วดีดหน้าผากนางเสียหนึ่งที “การศึกสงครามมิหน่ายกลอุบาย หัวหน้าพรรคเฉียว”

เวรกรรมช่างยุติธรรมเสียจริง สวรรค์เคยละเว้นผู้ใดบ้างเล่า อยากจะแฉความลับของน้องชายสามี ผลปรากฏว่าตนเองก็ติดร่างแหเข้าไปด้วย

เฉียวเวยถามอย่างหงอยๆ “ถ้าอย่างนั้นทองคำยังมีหรือไม่”

“เจ้าว่าอย่างไรเล่า” จีหมิงซิวตอบ

เฉียวเวยหันหน้าหนีอย่างคับแค้น