ตอนที่ 317 วั่งซูน้อยผู้เก่งกล้า
การฝึกฝนวันแรกเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
แก่นสำคัญของท่าเท้าตระกูลฮั่วก็คือ เร็ว แม่นยำ มั่นคง หากต้องการจะร่ำเรียนท่าเท้าตระกูลฮั่วให้สำเร็จ ประการแรกต้องมีกำลังขาที่แข็งแกร่ง พละกำลังคือพื้นฐานของความเร็ว หากกำลังขาไม่พอ ทุกสิ่งล้วนเปล่าประโยชน์
อาจารย์ตาฮั่วช่วยเฉียวเวยวางแผนการฝึกฝนที่ทำได้จริงแผนหนึ่งอิงจากพื้นฐานร่างกายของเฉียวเวยและสิ่งที่นางจำเป็นต้องใช้ในการต่อสู้ สิ่งแรกที่ต้องฝึกก็คือวิ่งรอบสนาม
สำหรับเฉียวเวย การวิ่งรอบสนามไม่เป็นปัญหาแม้แต่น้อย นางยอมรับว่าตอนที่นางเพิ่งข้ามมิติมา ร่างกายร่างนี้อ่อนแอบอบบางอยู่บ้าง แต่หลังจากนางตรากตรำฝ่าฝันความยากลำบากมา ร่างน้อยๆ ร่างนี้ก็ถูกฝึกปรือมาเป็นอย่างดี ไม่ต้องพูดถึงการวิ่งรอบสนาม ต่อให้วิ่งขึ้นยอดเขาเอเวอเรสต์ก็ไม่ใช่ปัญหา!
อาจารย์ตาฮั่วหยิบถุงทรายถุงหนึ่งออกมาจากห่อสัมภาระที่น้อยนิดจนน่าสงสาร แต่ละถุงขนาดพอๆ กับถุงน้ำ ตอนเฉียวเวยยังผอมแห้งบอบบาง นางเคยกระเตงลูกสองคนเดินทางสิบลี้ไปหาหมอที่ตัวเมืองมาแล้ว ต่อมาพอร่างกายแข็งแรง นางก็แบกโถไข่เยี่ยวม้าเดินไปเดินมาได้อย่างสบายๆ แค่ถุงทรายเล็กๆ สองถุง นางไม่เห็นอยู่ในสายตาจริงๆ
อาจารย์ตาฮั่วมัดถุงทรายไว้บนขาของเฉียวเวยด้วยตนเอง ข้างละหนึ่งถุง
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “อาจารย์ตาฮั่ว ข้าไม่ได้โม้นะ แต่เรี่ยวแรงอย่างข้า ท่านมัดเพิ่มอีกสักสองถุงเถอะ!”
อาจารย์ตาฮั่วจึงมัดเพิ่มให้เฉียวเวยอีกข้างละสองถุง
เฉียวเวย “…”
ข้าให้ท่านมัดเพิ่มข้างละถุง รวมทั้งหมดสองถุง
เอาเถิดๆ ก็ไม่ต่างอะไรกัน ถุงทรายกระจ้อยร่อยเช่นนี้ถูกมัดอยู่บนขาของนางก็ไม่ต่างอะไรกับมีขนไก่ผูกไว้สองสามเส้น ไม่มีน้ำหนักสักนิด
อาจารย์ตาฮั่วมัดเสร็จก็ลุกขึ้นยืน มองเฉียวเวยหน้าตาย “หนึ่งรอบ”
เฉียวเวยแคะหูน้อยๆ ของตัวเองแล้วถามย้ำอย่างไม่หนักใจ “อาจารย์ตาฮั่ว ท่านแน่ใจหรือว่าวิ่งแค่รอบเดียว”
อาจารย์ตาฮั่วคิดๆ ดูก็เอ่ยขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นก็…ครึ่งรอบ?” เห็นดวงตาของเฉียวเวยฉายแววประหลาดใจก็เปลี่ยนใหม่บอกว่า “เสี้ยวรอบ?”
เฉียวเวยรีบบอกว่า “ไม่ๆ ท่านอย่าเอาแต่ลดสิ! ท่านอย่าผ่อนปรนให้ข้าเพราะข้าเป็นจั๋วหม่าน้อยของเผ่าถ่าน่าเชียว ท่านต้องเข้มงวดกับข้า ตั้งเงื่อนไขให้ข้าสูงๆ ข้าเป็นลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”
พูดพลาง เฉียวเวยก็ยืดหน้าอกน้อยๆ อย่างหยิ่งทะนง “จะว่าไปแล้ว ตอนท่านแม่ของข้าเริ่มเรียนท่าเท้าตระกูลฮั่วนางวิ่งได้กี่รอบ”
อาจารย์ตาฮั่วตอบว่า “สองรอบ”
เฉียวเวยถอนหายใจ “อาจารย์ตาฮั่ว นี่ท่านทำไม่ถูกแล้ว กล่าวกันว่าสีครามเข้มกว่าต้นคราม สมัยนั้นมารดาของข้าวิ่งได้ตั้งสองรอบ ท่านจะลดให้ข้าเหลือรอบเดียวได้อย่างไรเล่า เพิ่ม ต้องเพิ่มสิ! ไม่ถูกๆ ต้องมากกว่าสักหนึ่งรอบ! แม่ของข้าวิ่งได้สองรอบ ข้าจะวิ่งสามรอบ!”
อาจารย์ตาฮั่วพยักหน้า “อืม”
เฉียวเวยถูฝ่ามือ อาจารย์ตาฮั่วหมุนตัวไปจุดธูปดอกหนึ่งบนพื้น เฉียวเวยฉงนเอ่ยถามว่า “อาจารย์ตาฮั่ว ก่อนพวกเราฝึกวิทยายุทธ์ต้องเซ่นไหว้องค์เทพด้วยหรือ”
อาจารย์ตาฮั่วตอบหน้าตาย “ข้าจะดูว่าเจ้าใช้เวลานานเท่าไร”
สายตาของเฉียวเวยเคลื่อนมาจับธูปสามดอกบนพื้น นางก้มลงไปดึงธูปสองดอกที่ยังไม่จุดแล้วบอกว่า “ไม่ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นหรอก ข้ากะจากสายตา หนึ่งรอบนี้น่าจะเพียงแปดร้อยเมตร สามรอบยังไม่ถึงห้าลี้ ท่านวางใจ รับประกันว่าหนึ่งเค่อก็วิ่งเสร็จแล้ว!”
อาจารย์ตาฮั่วไม่ตอบ
เฉียวเวยยืดเหยียดร่างกาย แล้วเลิกคิ้วยิ้มให้ “ข้าจะวิ่งละนะ…”
ตุ้บ!
ยังไม่ทันไรทั้งตัวก็ล้มคะมำมาอยู่บนพื้น หน้าทิ่มลงไปในโคลน
คุณพระช่วย นี่มันถุงทรายอะไรกัน เหตุใดจึงหนักเช่นนี้…
…
แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ถุงทรายธรรมดา แต่เป็นทรายนิลที่มีเฉพาะในเผ่าถ่าน่า มันหนักยิ่งกว่าเหล็กอุกกาบาต ตอนแรกที่เฮ่อหลันชิงผูกมัน นางยังเคลื่อนไหวได้ยากลำบากยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงเฉียวเวยที่จู่ๆ ก็เริ่มฝึก แล้วเฉียวเวยเจ้าตัวน้อยผู้โง่เขลาคนนี้ยังผูกไว้ตั้งหกถุง ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงคลานไปบนพื้น…
“อาจารย์ตา…พวกเราปรึกษากันใหม่…วิ่งสักครึ่งรอบก็พอดีหรือไม่ ตอนนั้นแม่ข้าวิ่งได้เพียงสองรอบ…ท่านจะมา….ให้ข้าวิ่งสามรอบได้อย่างไร…”
“ข้าเป็นจั๋วหม่าน้อยของเผ่าถ่าน่า…ท่านเห็นแก่ฐานะนี้…ผ่อนปรนให้ข้าหน่อยเถอะ…”
“ข้าเป็นมือใหม่…ท่านมาถึงก็ตั้งเงื่อนไขให้ข้าสูงเช่นนี้…ไม่รู้สึกว่าเกินไปบ้างหรือ…”
หัวหน้าพรรคเฉียวร้องไห้จนหัวใจดวงน้อยเจ็บปวดไปหมดแล้ว….
เมื่อธูปทั้งสามดอกเผาไหม้จนหมด ในที่สุดหัวหน้าพรรคเฉียวก็วิ่ง (คลาน) ครบรอบพอดี ตอนนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว ดวงจันทร์สว่างค่อยๆ ลอยขึ้นมาบนท้องนภา ดวงดาราดุจดั่งเทียนไขส่องประกายระยิบระยับ
เฉียวเวยไม่ทราบว่าตนเองกลับมาถึงเรือนได้เช่นไร ปี้เอ๋อร์ตักน้ำร้อนมาหนึ่งถังใหญ่ หลังจากนางนั่งลงไปก็ลุกไม่ขึ้นอีกแล้ว
ตอนที่จีหมิงซิวกลับมาถึงห้อง เฉียวเวยก็เหนื่อยจนหลับไปในถังน้ำ จีหมิงซิวอุ้มนางขึ้นมา เช็ดเนื้อตัวจนแห้งแล้วสวมชุดนอนให้ จากนั้นวางนางลงบนฟูกเตียงนุ่มนิ่ม จุมพิตริมฝีปากสีแดงนุ่มนิ่มของนาง หากเป็นก่อนหน้านี้ ต่อให้นางหลับอยู่ก็จะตอบสนองเขาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก แต่วันนี้เขากลับได้ยินเพียงเสียงกรนเบาๆ ของนาง
จีหมิงซิวทั้งปวดใจทั้งขบขัน เขานวดขาคลายเส้นให้นาง ขนาดทำเช่นนี้นางก็ยังไม่ตื่น
เฉียวเวยหลับสนิทจนฟ้าสาง จีหมิงซิวออกไปแล้ว ดวงตาของนางบวมตุ่ย เอวกับขาปวดจนไม่มีแรง ทั้งร่างเจ็บไปหมด แม้แต่คืนเข้าหอยังไม่เหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้ ฝึกวรยุทธ์อะไรพวกนี้ ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะทำได้จริงๆ
ปริมาณอาหารของคนผู้หนึ่งกับพลังงานที่เผาเผลาญไปคงจะแปรผันตามกัน เฉียวเวยผู้ก่อนหน้านี้กินหมั่นโถวหนึ่งลูกกับโจ๊กหนึ่งชามก็อิ่ม เช้าวันนี้กลับจัดการหมั่นโถวขาวนุ่มฟูสองก้อน บะหมี่เนื้อแพะร้อนควันชุยหนึ่งชามกับรังนกเชื่อมหนึ่งถ้วยจนเกลี้ยง
กินอิ่มหนำแล้ว นางจึงเดินไปที่สนามหญ้าริมทะเลสาบด้านหลังสำนัก ไม่ผิดคาดสักนิด อาจารย์ตาฮั่วรออยู่ที่นั่นแล้ว
“อาจาย์ตาฮั่ว” เฉียวเวยทักทาย
อาจารย์ตาฮั่วมองนาง แล้วบอกว่า “วันนี้หาคนมาฝึกเป็นเพื่อนเจ้า”
สายตาของเฉียวเวยเคลื่อนมาจับบนร่างของเจ้าตัวจ้อยทั้งสามที่อยู่ข้างเท้าอาจารย์ตาฮั่ว อุ้งเท้าของต้าไป๋ เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์มีถุงทรายผูกติดไว้อย่างดี ถุงทรายของพวกมันเล็กกระจิดริดกว่าเฉียวเวยอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับขนาดตัวของพวกมันก็นับว่าเป็นการท้าทายครั้งใหญ่แล้ว
เพียงแต่ว่าคู่ฝึกซ้อมของผู้อื่นล้วนเป็นยอดฝีมือจากยุทธภพ แต่คู่ฝึกซ้อมของนางกลับเป็นสัตว์เลี้ยงตัวน้อยไม่กี่ตัว ชีวิตคนช่างน่าเศร้าแท้!
เฉียวเวยมัดถุงทรายให้ตัวเอง หนนี้นางไม่กล้าพูดว่าขอเพิ่มอีกสองสามถุงอะไรแล้ว แต่เนื่องจากเมื่อวานผูกไว้หกถุง วันนี้ไม่ว่าจะว่าอย่างไรอาจารย์ตาฮั่วก็ไม่ยอมให้ลด
เฉียวเวยอยากร่ำไห้ทว่าไร้น้ำตา “ถุงทรายไม่ลดจำนวนก็ช่างเถิด แต่รอบวิ่งลดหน่อยไม่ได้หรือ”
“ได้”
เฉียวเวยดวงตาเป็นประกาย “จริงหรือ”
“อืม” อาจารย์ตาฮั่วพยักหน้า
เฉียวเวยถามอย่างคาดหวัง “ถ้าเช่นนั้นข้าวิ่งรอบเดียวหรือว่าครึ่งรอบ”
อาจารย์ตาฮั่วตอบว่า “สี่รอบ”
เฉียวเวยตกตะลึง “สี่รอบหรือ ไม่ใช่จะลดจำนวนรอบให้ข้าหรือ เหตุไฉนจึงมากกว่าเดิมเล่า เมื่อวานข้าเพิ่งวิ่งสามรอบเอง!”
อาจารย์ตาฮั่วจึงตอบว่า “เมื่อวานวิ่งสามรอบ ตามแผนการฝึกวันนี้ต้องเพิ่มอีกเท่าตัว สมควรวิ่งหกรอบ ลดให้เจ้าสองรอบจึงเหลือสี่รอบ”
เฉียวเวยเริ่มคิดอยากตายขึ้นมาแล้ว!
อาจารย์ตาฮั่วปักธูปไว้บนพื้นอีกครั้ง เฉียวเวยเห็นกับตาว่าเขาปักไว้สามดอก เมื่อวานวิ่งสามรอบก็สามดอก วันนี้วิ่งสี่รอบก็สามดอก มองไม่เห็นออกว่าอาจารย์ตาฮั่วเชื่อมั่นในตัวนางขนาดนี้ หากไม่วิ่งให้ครบสี่รอบภายในชั่วสามก้านธูป คงจะผิดต่อความเชื่อใจของอาจารย์ตาฮั่วเกินไปหน่อย
อาจารย์ตาฮั่วเห็นสายตาของนาง จึงบอกหน้าตาย “ไม่ใช่ของเจ้า ของเจ้าอยู่ฝั่งนี้”
เฉียวเวยหันขวับไปมอง บนผืนหญ้าสีเขียวขจีมีธูปปักอยู่สิบดอกเต็มๆ
เฉียวเวยเริ่มวิ่ง ก่อนอื่นขยับขาข้างหนึ่ง จากนั้นจึงขยับขาอีกข้างหนึ่ง แม้นางจะเชื่องช้ายิ่งนัก แต่เจ้าตัวจ้อยทั้งสามช้ายิ่งกว่านาง เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็นับว่าทำได้ไม่เลวแล้วจริงๆ
ทว่าความคิดนี้เพิ่งผุดขึ้นมาในใจก็เห็นเงาเล็กๆ อ้วนตุ๊ต๊ะร่างหนึ่งแวบผ่านข้างตัวนางไปเหมือนกับสายลมหมุนจอมซุกซน เกือบจะเป่าเฉียวเวยที่แต่เดิมยืนตั้งหลักไม่มั่นคงให้เซซ้ายเซขวา นางตั้งสมาธิ เพ่งสายตามอง พริบตานั้นนางก็ตกตะลึง
“วั่งซูหรือ”
วั่งซูวิ่งพลางก็ยิ้มตาหยีบอกว่า “ท่านแม่! อาจาร์ยตาบอกว่าท่านฝึกวรยุทธ์คนเดียวเบื่อหน่ายเหลือเกินจึงให้ข้ามาฝึกเป็นเพื่อนท่าน!”
ที่แท้เจ้าตุ้ยนุ้ยคนนี้ต่างหากที่เป็นคู่ฝึกซ้อมของนาง
เด็กอ้วนคนนี้เหตุไฉนวิ่งฉิวได้เช่นนี้เล่า!
“เจ้าไม่ได้ผูก…”
หนึ่ง สอง สาม สี่
เฉียวเวยหุบปากฉับ
วั่งซูเหงื่อแตกพลั่กๆ วิ่งหอบแฮ่กๆ
พ่ายแพ้แก่ผู้ใดก็ได้ทั้งนั้น แต่ต้องไม่ใช่หนึ่งในเจ้าซาลาเปาน้อย มิฉะนั้นหากเล่าลือไปคงขายหน้าเหลือเกิน เฉียวเวยกัดฟัน รวบรวมแรงฮึดออกตัววิ่ง
ศักยภาพของคนมีมากมายมหาศาลยิ่งนัก เฉียวเวยคิดไม่ถึงมาก่อนว่าจะมีวันที่ตนเองวิ่งได้จริงๆ เมื่อห้าชั่วยามก่อนหน้านี้ นางยังได้แต่คลานเท่านั้น แต่ตอนนี้หนึ่งนาทีนางวิ่งได้ถึงสิบก้าว!
เจ้าซาลาเปาน้อยวั่งซูวิ่งอย่างเบิกบานใจ
เฉียวเวยวิ่งผ่านตนไม้ต้นที่เจ็ด วั่งซูก็วิ่งผ่านข้างตัวนางไป
เฉียวเวยวิ่งผ่านต้นไม้ต้นที่แปด วั่งซูก็วิ่งผ่านตัวนางไปอีกหน
เจ้าตัวกลม ตรงนี้มีต้นไม้ทั้งหมดสิบแปดต้น แม่ไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะวิ่งได้สิบแปดรอบ
หลังจากวิ่งครบสิบแปดรอบ วั่งซูก็หยุด มือน้อยที่อุดมด้วยเนื้ออ้วนๆ เช็ดเหงื่อเม็ดน้อยบนหน้าผาก “เหนื่อนักเชียว!”
อาจารย์ตาฮั่วร้องเรียก “วั่งซู มากินผลไม้”
“มาแล้วเจ้าค่ะ! อาจารย์ตาทวด!”
วั่งซูผู้เหน็ดเหนื่อยยิ่งนักวิ่งตึงตังเข้าไปหาอาจารย์ตาทวด!
ส่วนเฉียวเวยผู้ในที่สุดก็วิ่งครบสี่รอบเหนื่อยจนนอนพังพาบอยู่บนพื้น แม้แต่นิ้วก็กระดิกไม่ได้