ตอนที่ 319-2 ศึกตัดสินกับผู้อาวุโส ชูธงคว้าชัยชนะ
วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นหันไปมองผู้อาวุโสห้าพร้อมกันแล้วฉีกยิ้ม อวดฟันซี่น้อยขาวจั๊วะ
หลิวเกอร์มองสหายตัวน้อยของตน แล้วหันไปมองผู้อาวุโสห้า อวดฟันซี่น้อยขาวจั๊วะบ้าง
ผู้อาวุโสห้ามุมปากกระตุก
เฉียวเวยนวดข้อมือแล้วบอกว่า “ไม่ต้องพูดพร่ำแล้ว กล้าก็เข้ามา หนก่อนข้าจงใจยอมให้ แต่หนนี้ข้าจะเอาจริงแล้ว ทางที่ดีเจ้าทุ่มให้เต็มแรง มิเช่นนั้น…”
พูดยังไม่ทันจบ ผู้อาวุโสห้าก็พุ่งมาถึงตรงหน้านาง ฝ่ามือข้างหนึ่งตบเข้าหาหัวไหล่
เฉียวเวยมองหัวไหล่ของตน แล้วค่อยมองมือของผู้อาวุโสห้า ทันใดนั้นสองตาก็เหลือกลอยล้มลงบนพื้น!
ศิษย์ทั้งหลาย “…”
ผู้อาวุโสห้าสะบัดแขนเสื้อกว้าง แค่นเสียงดังเหอะอย่างดูแคลน “มีความสามารถน้อยนิดเท่านี้ ยังกล้ามาท้าผู้อาวุโสคนนี้ มิประมาณตน!”
กล่าวจบ เขาก็โน้มตัวลงไปหมายจะปลดป้ายเจ้าสำนักที่ห้อยอยู่ตรงเอวของเฉียวเวย ไหนเลยจะรู้ว่าพอยื่นมือลงไป ‘ศพ’ ที่นอนอยู่กับที่นั่นกลับขยับไปด้านข้าง
เขาสงสัยว่าตนเองจะตาฝาด กะพริบตาปริบๆ ทีหนึ่งก็เอื้อมมือออกไปอีกหน ‘ศพ’ ก็ขยับหนีไปด้านข้างอีกหน
คนที่มองดูเวทีอยู่ตกตะลึง ศิษย์พี่ห้าเบิกตาโต บนใบหน้าของสวี่หย่งชิงปรากฏสีหน้าฉงนเลือนราง พวกเขาสองคนรู้จักผู้อาวุโสห้าดี ผู้อาวุโสห้าไม่ใช่คนที่จะยั้งมือไว้ไมตรีกับเฉียวเวยเพียงเพราะเฉียวเวยเป็นเด็กรุ่นหลังหรือเป็นผู้หญิง ในเมื่อเขาลงมือแล้วย่อมเป็นกระบวนท่าหมายคร่าชีวิตอย่างแน่นอน เมื่อครู่พวกเขาเห็นภาพเฉียวเวยถูกฝ่ามือฟาดกับตา สาวน้อยโง่เง่าคนนั้นไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อย นางยืนนิ่งรับหนึ่งฝ่ามือไปเต็มๆ ไม่ถูกฟาดจนตายจึงจะแปลก เหตุไฉนยังขยับได้อีกเล่า
ศิษย์พี่ห้าวิ่งมาตรงราวกั้นของอัฒจันทร์ เกาะราวกั้นมองไปยังเวทีประลอง
ใต้เท้าเจ้าสำนักเขวี้ยงเปลือกเมล็ดแตงหนึ่งถาดใส่เขา “หลบไปด้างข้างสิ! เจ้าบังผู้อื่นอยู่เห็นหรือไม่”
ตอนนี้ศิษย์พี่ห้ามัวแต่ตกตะลึง จนลืมถือสาหาความกับใต้เท้าเจ้าสำนัก เขาขยับหลีกไปด้านข้างอย่างไม่รู้ตัว พลางจับจ้องคนสองคนบนเวทีต่อสู้เขม็ง
ผู้อาวุโสห้าไม่เชื่อเรื่องผีสาง เขาเอื้อมมือไปคว้าป้ายเจ้าสำนักตรงเอวของเฉียวเวยเป็นหนที่สาม
ร่างกายของเฉียวเวยก็ลื่นไหลหนีจากมือของเขาอีกหน
ผู้อาวุโสห้าตกตะลึง ศิษย์ทั้งหลายด้านล่างเวทีก็ตกตะลึงด้วย ที่แท้สตรีนางนี้ตายหรือยัง หรือว่านางแสร้งทำเป็นตาย แสร้งทำเป็นตายก็แสร้งทำเป็นตายสิ ท่านเป็นผู้อาวุโส เหตุไฉนจึงจับไม่ได้
เห็นชัดว่าผู้อาวุโสห้าถูกยั่วโมโหจนเริ่มโกรธแล้ว เขาไม่ก้มตัวลงไปหยิบอะไรอีก แต่ซัดฝ่ามือใส่เฉียวเวยตรงๆ
เฉียวเวยกลิ้งอย่างลื่นไหลหลบไปด้านข้าง จุดที่นางนอนอยู่ก่อนหน้านี้ถูกลมปราณจากฝ่ามือของผู้อาวุโสห้าซัดจนแตกเป็นรอยแยก คิดดูก็รู้ว่ากำลังภายในของผู้อาวุโสห้าลึกล้ำมากเพียงใด กำลังภายในลึกล้ำเช่นนี้ เฉียวเวยที่รับหนึ่งฝ่ามือของเขา เหตุไฉนจึงยังไม่มอดม้วยมรณา
ผู้อาวุโสห้าโจมตีอีกหลายฝ่ามือติดต่อกัน ทว่าทุกฝ่ามือต่างถูกเฉียวเวยกลิ้งมากลิ้งไปหลบพ้นทั้งหมด
ผู้อาวุโสห้าตัดสินใจใช้เท้า ทว่าทุกครั้งที่เห็นว่ากำลังจะเหยียบเฉียวเวยได้แล้ว เฉียวเวยกลับกลิ้งโลดลิ่วหายไป ผู้อาวุโสห้าโกรธจนกระอัก!
“นี่ นี่มันวิชามารอะไรกัน” ศิษย์น้องแปดเดินมาข้างตัวศิษย์พี่ห้าตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ
ศิษย์พี่ห้าจับราวกั้นแน่น สีหน้าเริ่มเคร่งขรึม เขาเองก็ไม่ทราบว่านี่คือวิชาอันใด แต่ดูแล้วเป็นวิชานอกรีตอย่างแท้จริง สตรีนางนั้นไม่เหมือนว่ากำลังแสร้งตาย นางไม่มีสติรับรู้เรื่องราวแล้วจริงๆ แต่นางกลับยังขยับอยู่
ศิษย์น้องแปดวาดมือวาดไม้ “หรือว่านั่นจะเป็นวิชาหมัดเมาที่เล่าขานกัน”
ศิษย์พี่ห้ามองศิษย์น้องของตนเองอย่างหมดคำจะพูด “เจ้าเห็นนางดื่มสุราหรือ”
ศิษย์น้องแปดเกาศีรษะ
คนด้านบนและด้านล่างเวทีอาจจะไม่เข้าใจว่าเฉียวเวยเป็นอะไรไป แต่วั่งซูทราบดี ตอนท่านแม่ถูกอาจารย์ตาโยนลงไปในบ่อ นางปีนขึ้นมาไม่ได้เสียที ฟ้ามืดแล้วก็ยังปีนขึ้นมาไม่ได้ ท่านแม่เหนื่อยจนหลับไปแล้ว ทว่าแม้แต่ตอนหลับนางก็ยังปีนอยู่
หลังจากผู้อาวุโสห้าโจมตีอยู่อีกหลายหนแต่ไร้ผล เขาก็โกรธจัด สองมือประสานสัญลักษณ์ คิดจะใช้ท่าไม้ตาย ในตอนนั้นเองเฉียวเวยก็พลันลืมตาขึ้น นางสูดหายใจดังเฮือกแล้วลุกพรวดขึ้นมานั่ง!
ผู้อาวุโสห้าตกใจจนถอยไปหนึ่งก้าว ศิษย์ทั้งหลายด่านล่างเวทีก็ผงะถอยไปด้านหลังกันหมด เห็นชัดว่าพวกเขาตกใจมากกว่าผู้อาวุโสห้าหลายเท่านัก
“เจ้า…เจ้ากำลังเล่นลูกไม้อะไรกันแน่” ผู้อาวุโสห้าถามด้วยท่าทางที่ไม่นิ่งสงบอีกแล้ว
“เล่นลูกไม้อะไร” เฉียวเวยนวดศีรษะที่มึนงงแล้วลุกขึ้นยืน
ผู้อาวุโสห้ามองนางอย่างตกตะลึง “เจ้าไม่เป็นอะไรหรือ เจ้าถูกข้าซัดไปหนึ่งฝ่ามือ…แต่เจ้ากลับไม่เป็นอะไรเลยหรือ”
หนึ่งฝ่ามือนั้นของเขาใช้กำลังภายในไปแปดส่วน สาเหตุที่ไม่ใช้ถึงสิบส่วนเป็นเพราะวรยุทธ์ใดๆ หากใช้ถึงขีดสูงสุดแล้วย่อมสะท้อนกลับมาทำร้ายตนเอง ดังนั้นหากไม่จำเป็นจริงๆ การใช้แปดส่วนเป็นขีดจำกัดที่เหมาะสมที่สุด
เฉียวเวยจึงตอบว่า “ข้าเป็นสิ เมื่อครู่ข้าไม่ได้ถูกเจ้าซัดจนสลบหรือไร”
ผู้อาวุโสห้าสะอึก “แค่…สลบครู่เดียวหรือ”
“เจ้าคิดจะให้ข้าสลบนานเท่าไรเล่า” เฉียวเวยมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด ผู้อาวุโสคนนี้พิลึกจริงๆ เขาซัดนางเพียงฝ่ามือเดียวเท่านั้น นางต้องอัมพาตเฉียบพลันหรืออย่างไร
เฉียวเวยเปิดคอเสื้อ มองหัวไหล่ของตนเอง แล้วสูดปาก “ลงมือหนักจริงนะ เจ้าฟาดจนแดงแล้ว!”
ฟาดจน จนแดง…
บวมยังไม่บวมเลยหรือ
ผู้อาวุโสห้าจะเป็นลม
คนปกติหากโดนฝ่ามือของเขาเข้าไปคงตายสนิทไปนานแล้ว แม้แต่สวี่หย่งชิงก็ต้องกระอักเลือดสักคำสองคำ!
แต่สาวน้อยคนนี้กลับไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น เก่งกาจปานนี้หนก่อนจะหนีทำอะไร
แน่นอนว่าต้องหนี พละกำลังของเฉียวเวยเมื่อครึ่งเดือนก่อนเกรงว่าคงจะรับฝ่ามือนี้ไม่ไหว ต่อให้ฝืนทนรับได้ อีกสองสามฝ่ามือต่อไปย่อมหลบไม่พ้น
ผู้อาวุโสห้าคร้านจะสนใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฉียวเวยกันแน่ “ในเมื่อฟื้นแล้วก็สู้กับข้าให้มันดีๆ อย่าทำตัวเหมือนเต่าหดหัวเอาแต่หลบไปหลบมา!”
เฉียวเวยโต้ “เจ้าคนนี้ช่างไร้เหตุผลนัก เจ้าตีข้า ข้าไม่หลบ แล้วต้องยืนอยู่ตรงนั้นปล่อยให้เจ้าตีเอาๆ เหมือนคนโง่หรือ”
“เจ้า…”
ผู้อาวุโสห้าแต่เดิมเป็นคนสุขุมยิ่งนัก แต่ยามนี้ถูกเฉียวเวยยั่วโมโหจนสูญเสียความสุขุมในอดีตจนหมดสิ้น บนร่างเขายังเหลือกลิ่นอายนักพรตเทพเซียนสักนิดที่ไหน ตอนนี้เขาเหมือนไก่ชนที่กำลังพองขนตัวหนึ่งมากกว่า
ผู้อาวุโสห้าเปลี่ยนฝ่ามือเป็นหมัด บุกเข้ามาโจมตีเฉียวเวยอีกหน
เฉียวเวยยิ่นนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ หัวใจของผู้คนขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอย ในใจคิดว่าสตรีนางนี้คงไม่ได้ถูกความน่าเกรงขามของผู้อาวุโสห้าทำให้กลัวจนโง่ไปแล้วกระมัง เจ้าสู้ไม่ได้ เจ้าก็หลบสิ ยืนโง่รอถูกอัดหรือ
กำปั้นของผู้อาวุโสห้าจู่โจมใส่ใบหน้าของเฉียวเวย เขาสัมผัสได้ว่าหลังมือของตนสัมผัสกับหน้าม้าตรงหน้าผากของเฉียวเวยแล้ว ระยะห่างเท่านี้เรียกได้ว่าไม่มีทางต่อยไม่โดน แต่ภาพอันน่าประหลาดใจก็บังเกิดขึ้น คนที่อยู่ตรงหน้ากำปั้น…หายไป!
ผู้อาวุโสห้ามองไม่ชัดสักนิดว่าเฉียวเวยเคลื่อนไหวอย่างไร เขากวาดสายตามอง เฉียวเวยวิ่งไปอยู่อีกด้านของเวทีแล้ว “เจ้า…เจ้าทำได้อย่างไร”
“วิ่งสิ” เฉียวเวยตอบ
ผู้อาวุโสห้าสะอึก ต่อยใส่เฉียวเวยอีกหน ผลลัพธ์ปรากฏว่าเฉียวเวยก็วิ่งหนีพ้นอีก
อยากจะเอาชนะอีกฝ่าย หากไม่บีบให้อีกฝ่ายลงจากเวทีก็ต้องต่อยอีกฝ่ายจนลุกไม่ขึ้น ทว่าแม้แต่ชายเสื้อของเฉียวเวย ผู้อาวุโสห้าก็แตะไม่โดน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เมื่อใดจึงจะจบเล่า
“เจ้า…เจ้า…เจ้าเก่งจริงก็อย่าหนีสิ!” ผู้อาวุโสห้าโมโหจนตัวสั่นเทิ้ม “หากเจ้าหนีอีกข้าจะไม่สู้กับเจ้าแล้ว ข้าไม่สู้กับเจ้า เจ้าก็ไม่นับว่าเอาชนะข้าได้!”
เฉียวเวยยืนอยู่ตรงขอบเวที แล้วยกมือขึ้นแคะหู “ไม่วิ่งก็ไม่วิ่ง”
ผู้อาวุโสห้ากัดฟัน “เจ้าจะไม่วิ่งหนีจริงใช่หรือไม่”
เฉียวเวยพยักหน้า “อืม จริง”
“ถ้าเช่นนั้นก็ใช้กระบวนท่าออกมา รับหนึ่งฝ่ามือของข้า!” ผู้อาวุโสห้าเคลื่อนกำลังภายในเก้าส่วน ทะยานร่างเหินเข้ามาฟาดฝ่ามือใส่เฉียวเวยอย่างโหดเหี้ยม
หนนี้เฉียวเวยตัดสินใจไม่หนีจริงๆ นางหลับตาลง สูดหายใจลึกๆ สองมือวาดเป็นแผนผังแปดทิศเบื้องหน้าตนเอง หลังจากนั้นก็ลืมตาขึ้น แววตาคมปลาบ ฟาดฝ่ามือออกมา “มาเลย…”
ฝ่ามือของผู้อาวุโสห้าฟาดลงบนฝ่ามือของเฉียวเวย เขาสัมผัสได้ถึงความร้อนจากใจกลางฝ่ามือของเฉียวเวยแล้ว ทว่าในพริบตานี้เอง ฟึบ! จู่ๆ เฉียวเวยก็หดมือกลับไปกุมศีรษะแล้วย่อตัวลง!
ผู้อาวุโสห้าอยากจะกระอักเลือด เขาอยากจะยั้งร่างไว้แต่ไม่ทันแล้ว ร่างของเขาเหินข้ามศีรษะเฉียวเวยพุ่งลงไปกลางฝูงชนอันคลาคล่ำ ลูกศิษย์ที่มุงดูอยู่แหวกออกเป็นทาง เขาจึงร่วงกระแทกพื้นอย่างแรง จนพื้นสั่นสะเทือน
เขาถ่มโคลนออกจากปาก หายใจรวยรินเอ่ยว่า “ไหน บอก ว่า จะ ไม่ หนี อย่าง ไร เล่า”
กล่าวจบ สองตาก็เหลือกลอยหมดสติไป
เฉียวเวยประท้วงในใจ ข้าไม่ได้หนีเสียหน่อย ข้าเพียงแต่หวาดกลัวเกินไปก็เลยทรุดตัวลงมานั่งเท่านั้นเอง…