ตอนที่ 2,585 : เมืองเฉวี่ยโยว
หลังเหินร่างออกมาจากบริเวณสระกำเนิดเซียนอมตะสักพัก ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่เหินบินไปเรื่อย คิดหาใครสักคนเพื่อถามทาง…อนิจจาเขากลับไม่เจอแม้แต่เงา!
เขากำลังหาทางไปยังเมืองเฉี่ยโยวที่สมควรอยู่ใกล้ๆ
‘ให้ตายเถอะ หลงคิดว่าจะเจอใครใกล้ๆเพื่อถามทางสักหน่อย…แต่ดูเหมือนข้าจะคิดตื้นเกินไป บินหาอยู่นานแต่ไม่เจอแม้แต่เงาใครสักคน’
ต้วนหลิงเทียนได้แต่ส่ายหัวไปมาอย่างจนนปัญญา สุดท้ายก็ได้แต่เหินย้อนกลับไปซุ่มรอบริเวณสระกำเนิดเซียนอมตะ…
ตอนแรกต้วนหลิงเทียนคิดจะเข้าไปเค้นถามคนของกองทัพมังกรเงินสักคน…
แต่พอคิดอีกที เขาก็ล้มเลิกมันไป
‘สุดท้ายจะอย่างไรข้าก็ฆ่าคนของกองทัพมังกรเงินไป…ถึงยากที่คนพวกนั้นจะเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ขายหน้าตัวเอง แต่ก็มีโอกาสสูงที่ตำแหน่งของข้าจะถูกเปิดเผย หากพวกมันรู้ว่าข้าคิดไปเมืองเฉวี่ยโยว พวกมันคงไม่เลิกราง่ายๆแน่…’
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะสังหารคนระดับไป่ฟูฉางของทัพมังกรเงินไปอย่างไม่แยแส
แต่เขารู้ดีแก่ใจ
หากมียอดฝีมือที่ทรงพลังกว่าไป่ฟูฉางปรากฏตัวลงมือ เขาเองก็ยากจะสู้มันได้…
จริงอยู่ต่อให้เจอกับไป่ฟูฉางเป็นกลุ่มนั้นเขาอาจจะสู้ได้ และมีความเป็นไปได้ที่จะฆ่าพวกมันได้ยกกลุ่ม…
แต่หากตัวตนระดับแม่ทัพของมันมาเองล่ะ?
ยิ่งไปกว่านั้นกองทัพมังกรเงินก็แค่กองกำลังที่อยู่ภายใต้อำนาจของเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวอีกที หมายความว่าเบื้องหลังยังมีตัวตนอย่างเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวที่ทรงพลังยิ่งกว่า!
‘ไม่ว่าจะยังไง ตอนนี้ก็ได้แต่รอให้พวกมันพาเซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่กลับไปค่ายมังกรเงินอะไรนั่น และตามไปดูก่อนแล้วกัน’
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็มีแผน ‘ตามหลักแล้ว…กองทัพมังกรเงินของเมืองเฉวี่ยโยว ก็ไม่มีทางตั้งค่ายอะไรห่างจากเมืองเฉวี่ยโยวมากเกินไป…’
‘ตอนนี้เมื่อไม่มีข้า พลังงานในสระกำเนิดเซียนอมตะก็คงกระจายตัวตามเดิม…เหล่าครึ่งก้าวเซียนอมตะที่กระจุกอยู่ก่อนหน้า คงค่อยๆกลายเป็นเซียนอมตะสวรรค์และตื่นขึ้นมากันแล้ว…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว
‘แต่คิดไม่ถึงจริงๆ…ว่าเรื่องที่อาสามกำชับไว้ให้ขัดเกลาชีพจรสวรรค์ 99 สายในร่างจะเกิดผลลัพธ์เลิศล้ำขนาดนี้!’
‘ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เอาแค่เรื่องที่ชีพจรสวรรค์จะขยายพลังที่ใช้ออกในระดับที่เทียบได้กับปฐมเวทย์กลืนกิน ก็นับว่าช่วยข้าได้อย่างมหาศาลจริงๆ’
ต้องกล่าวเลยว่าเรื่องนี้เป็นอะไรที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนประทับใจเป็นพิเศษ!
เพราะผลของมัน ถึงขั้นเพิ่มพลังให้เขาได้อีก 2 ขั้น!
‘ยิ่งไปกว่านั้น…รู้สึกว่าการขัดเกลาชีพจรสวรรค์ 99 สาย ยังน่าจะมอบประโยชน์อย่างอื่นอีก’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว
‘ในที่สุดก็ได้ขึ้นมายังระนาบเทวโลกแล้ว…ที่ต้องทำต่อไปก็คือหาหนทางยกระดับพลังฝึกปรือให้เร็วที่สุด’
‘สุดท้ายแล้ว…เวลาก็เหลือแค่ 1,000 ปีเท่านั้น’
คิดถึงสิ่งที่เซี่ยเจี๋ยบอกไว้ก่อนกลับดินแดนแห่งทวยเทพ หน้าต้วนหลิงเทียนก็อดจมลงไม่ได้
เพราะจากที่เซี่ยเจี๋ยบอกไว้…
หลังจากนี้อีกพันปี เมื่ออะไรๆเข้าที่เข้าทาง บิดาของเค่อเอ๋อจะกลับมาจัดการเรื่องงานแต่งของเค่อเอ๋อกับอวิ๋นชิงเหยียนอีกครั้ง…
ด้วยเหตุนี้เขาก็เหลือแต่ความคิดรีบร้อนยกระดับพลังตัวเองให้เร็วที่สุดเท่านั้น!
เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นนอกเหนือจากนั้น เพราะในตอนนี้สิ่งที่เขาทำได้ก็มีแค่เรื่องนี้
‘ก่อนอื่นลองสะกดรอยตามพวกมันไปเมืองเฉวี่ยโยวก่อน คราวนี้จะได้รู้ว่าที่ไหนมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะดีที่สุด…และข้าควรไปบ่มเพาะที่ไหน…’
นี่คือ จุดประสงค์ ที่ต้วนหลิงเทียนคิดเข้าเมืองเฉวี่ยโยว
เขาเป็นคนที่พึ่งขึ้นมายังหลิงหลัวเทียนแห่งนี้ เนื่องจากทรัพยากรในการบ่มเพาะใดๆของระนาบโลกียะก็ไม่อาจนำขึ้นมาได้ จึงกล่าวได้ว่าตอนนี้เขาเป็นคนยากจนข้นแค้นคนหนึ่ง…
แต่เขาก็รู้ดี
ถึงจะนำทรัพยากรบ่มเพาะอะไรจากระนาบโลกียะมามันก็ไร้ค่าสำหรับเขาตอนนี้…
เพราะพลังวิญญาณฟ้าดินที่อยู่ในหินเซียนหรือโอสถสมุนไพรใดๆของระนาบโลกียะ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับการบ่มเพาะพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอีกต่อไป
นอกจากนี้สถานที่แห่งนี้ยังเป็นหลิงหลัวเทียนที่ต้วนหลิงเทียนไม่รู้จักและไม่เคยได้ยิน เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนก็ไม่รู้ที่ทางและรายละเอียดใดๆเลย
ดังนั้นเรื่องที่เร่งด่วนที่สุดตอนนี้ก็คือ ไปหาข้อมูลในเมืองเฉวี่ยโยว!
จากนั้นค่อยหาลู่ทางสืบต่อ
‘อีกไม่นานแล้ว’
ต้วนหลิงเทียนที่ลอยล่องอยู่บนฟ้าเหนือม่านเมฆบริเวณด้านนอกสระกำเนิดเซียนอมตะ มองลอดม่านเมฆลงไปยังเบื้องล่างอย่างรอคอย
ราวๆ 1 เค่อต่อมา
‘มาแล้ว’
ภายใต้สายตาของต้วนหลิงเทียนร่างที่คุ้นเคยหนึ่งก็เหินมาปรากฏในสายตา เป็นสือฟูฉางของทัพมังกรเงินที่คุ้นหน้า หวังเวย!
ยังเป็นสือฟูฉางของทัพมังกรเงินที่ถูกเขาทำลายแขนขา!
ตอนนี้หวังเวยได้ออกมาจากพื้นที่สระกำเนิดเซียนอมตะ และนำเหล่าเซียนอมตะสรรค์หน้าใหม่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก
ต้วนหลิงเทียนที่รอให้อีกฝ่ายทิ้งระยะไปสักพักก็เริ่มเหินตามไปทันที
ส่วนหวังเวยที่เหินร่างนำกลุ่มเซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่ตอนนี้ สีหน้าของมันก็บิดเบี้ยวแลดูไม่สู้ดีนัก ในใจยังครุ่นคิดไม่หยุด ‘หวังว่าใต้เท้าเชียนฟูฉางจะรายงานเรื่องนี้ให้ใต้เท้าผู้บัญชาการทราบ’
‘ทันทีที่ผู้บัญชาการทราบเรื่องนี้ ด้วยนิสัยของผู้บัญชาการ ต่อให้ต้องขุดดินลึก 3 ฉื่อ ก็ต้องหาสารเลวน้อยนั่นมาฆ่าให้ตายจนได้!’
นึกถึงเรื่องนี้สองตาหวังเวยก็ทอประกายดุร้ายออกมา
ถึงแม้แต่ต้นจนจบหวังเวยจะไม่ได้เอาโทสะที่อัดแน่นเต็มอกไประบายกับเซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่ด้านหลัง
หากแต่เหล่าเซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่ด้านหลัง ก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์เกรี้ยวกราดของหวังเวยชัดเจน ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ราวๆสองก้านธูปต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นจุดเล็กๆปรากฏขึ้นเบื้องหน้าตรงเส้นขอบฟ้า
‘นั่นมันเมือง! สมควรเป็นเมืองเฉวี่ยโยวไม่ผิดแน่!!’
เมื่อเห็นจุดดำเล็กๆเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนก็คาดเดาได้ทันที
และความจริงก็พิสูจน์ว่าต้วนหลิงเทียนเดาได้ถูกเผง!
ต้วนหลิงเทียนที่ลอบสะกดรอยตามหวังเวยและเหล่าเซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่ไปทางจุดดำเล็กๆดังกล่าว ไม่นานจุดดำเล็กๆที่ว่าก็ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็เห็นเป็นเมืองใหญ่ประหนึ่งสัตว์ร้ายโบราณตัวเขื่องกำลังหมอบฟุบ…
และกำแพงของเมืองถูกสร้างขึ้นมาจากอิฐสีแดงฉาน ทำให้แลแล้วคล้ายเอาเลือดมาชโลมทาสีกำแพงเมืองก็ไม่ปาน!
“ด้านหน้าที่พวกเจ้าเห็นอยู่ไกลๆนั่นก็คือเมืองเฉวี่ยโยว…ส่วนค่ายที่ข้าบอกว่าจะพาพวกเจ้าไปลงทะเบียนนั้นก็คือ ค่ายกองทัพมังกรเงิน!”
“และกองทัพมังกรเงินของพวกเราก็คือ 1 ใน 2 กองกำลังประจำเมืองเฉวี่ยโยว!”
“ท่านผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินของพวกเรา ขึ้นตรงกับท่านเจ้าเมืองแต่เพียงผู้เดียว”
หวังเวยที่ถูกต้วนหลิงเทียนสะกดรอยตามมานั้น มันเงียบไม่พูดไม่จามาตลอดทาง แต่ตอนนี้มันพลันหยุดร่างลงก่อนจะหันมามองกล่าวกับเหล่าเซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่ด้านหลัง
“หลังจากนี้พวกเราจะไม่มุ่งหน้าเข้าไปยังเมืองเฉวี่ยโยว…เพราะสถานที่ตั้งค่ายกองทัพมังกรเงินของพวกเรานั้นไม่ได้อยู่ในเมืองเฉวี่ยโยว”
หลังกล่าวจบหวังเวยก็หันหลังกลับและเหินร่างนำเหล่าเซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเฉวี่ยโยวทันที
‘เมืองเฉวี่ยโยว!’
แม้ต้วนหลิงเทียนจะทิ้งระยะห่างจากหวังเวยและลอยขึ้นไปอยู่สูงเทียมเมฆ แต่เขาก็ยังได้ยินวาจากล่าวคำของหวังเวยชัดถนัดหู เพราะอีกฝ่ายก็พูดออกมาเต็มเสียงไม่ได้กระซิบอะไร
หลังได้ยินคำพูดของหวังเวย ต้วนหลิงเทียนก็ยืนยันได้ทันที
ว่าเมืองที่มีกำแพงสีเลือดห้อมล้อมเบื้องหน้า ก็คือจุดหมายปลายทางของเขา!
เมืองเฉวี่ยโยว!
นับว่าเมืองเฉวี่ยโยวเป็นเมืองแรกที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะเข้าไปเยือนหลังขึ้นมายังหลิงหลัวเทียน!
ด้านนอกเมืองเฉวี่ยโยว ต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นเหล่าเซียนอมตะชนมากมายเหินร่างเข้าออก แลดูคึกคักไม่น้อย
ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างปะปนไปกับเหล่าเซียนอมตะชนที่สัญจรที่กำลังเดินเข้าเมืองไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน และประตูเข้าเมืองก็ไม่ได้ตรวจตราอะไรมากมาย
หลังจากเข้ามาในเมืองเฉวี่ยโยวแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันรีหันขวางมองสำรวจไปรอบๆอย่างสนอกสนใจ ทำราวกับคนหลังเขาพึ่งเข้าเมืองครั้งแรก…
แต่สุดท้ายนี่ก็คือเมืองแรกในแดนสวรรค์ที่เขามาเยือนจริงๆ!
เช่นนั้นเขาจึงพยายามมองสำรวจไปทั่วๆ จดจำทุกสิ่งอย่างที่เคยเห็นไว้ในความทรงจำ ไว้ย้อนหวนรำลึกในวันหลังว่ากาลครั้งหนึ่งเขาก็เคยมาเยือนที่นี่
“คุณชายท่านนี้ ใบสารทลี้ลับนี่เดิมทีข้าคิดขายมัน 12 หินอมตะระดับต่ำต่อมัดด้วยนา…แต่ข้ารู้สึกถูกชะตาความองอาจของคุณชายไม่น้อย ข้าจึงลดพิเศษให้ท่าน…คิดแค่ 10 หินเซียนอมตะระดับต่ำต่อมัดเท่านั้น”
หลังจากเดินสำรวจเมืองเฉวี่ยโยวไปสักพัก ต้วนหลิงเทียนก็เดินมาถึงถนนคนเดินสายหนึ่งที่มีแผงลอยตั้งเรียงรายเป็นแถว ทั้งได้ยินเสียงต่อราคาถามหากันจอแจ คึกคักมีชีวิตชีวานัก
‘หินอมตะ? หินอมตะระดับต่ำ?’
ต้วนหลิงเทียนที่บังเอิญได้ยินเสียงพ่อค้าคนหนึ่งกล่าวถึงหินอมตะก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองชม พอดีกับที่ได้เห็นชายคนหนึ่งกำลังยื่นส่งก้อนหินสีฟ้าอ่อนออกมายื่นส่งไปให้พ่อค้าเจ้าของแผงสิบชิ้น
ด้านพ่อค้าเจ้าของแผงก็ยื่นส่งมัดสมุนไพรให้ไปอย่างยิ้มแย้ม
‘นี่เป็นสกุลเงินที่ใช้กันบนแดนสวรรค์ หินอมตะ ที่ว่างั้นเหรอ? มันจะเอามาใช้บ่มเพาะพลังเหมือนหินเซียนได้รึเปล่า?’
ตอนที่ยังอยู่ในระนาบเหยียนหวง ต้วนหลิงเทียนก็เคยได้ยินเซียนหยวนจื่อกล่าวถึงสกุลเงินที่ใช้ในการทำธุรกรรมต่างๆบนแดนสวรรค์ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยเห็นหินอมตะมาก่อน จึงไม่รู้ว่ามันมีหน้าตาเป็นอย่างไร
ตอนนี้พอได้เห็นการซื้อขายกันที่แผงลอย ต้วนหลิงเทียนจึงได้เห็นหน้าตาหินอมตะที่ว่านั่นเสียที
‘นี่น่ะเหรอหินอมตะ ดูเหมือนในแหวนของทหารทัพมังกรเงินนั่นจะมีอยู่ไม่น้อยเลย!’
เพียงห้วงคิดเดียวสำนึกสติต้วนหลิงเทียนก็สอดส่องไปดูภายในแหวนทันที
และแหวนที่ว่าก็คือแหวนพื้นที่ๆเขาได้มาเป็นสินสงคราม หลังฆ่าไป่ฟูฉางหนุ่มแห่งทัพมังกรเงิน
หลังอีกฝ่ายตายตก เขาก็แค่หยดเลือดผูกพันธะครองแหวน ก็สามารถใช้ได้เลย
ตอนนี้ภายในพื้นที่ของแหวน ด้านหนึ่งมีกระบี่และดาบเซียนอมตะวางตั้งไว้
และดาบกับกระบี่เซียนอมตะเหล่านี้ก็ริบมาจากไป่ฟูฉางทั้ง 2 คนนั่น
นอกจากอาวุธแล้ว ในแหวนยังมีกองหินสีฟ้าอยู่ 2 กอง
หินสีฟ้ากองหนึ่งมีสีอ่อน ส่วนอีกกองมีสีเข้มกว่าอย่างเห็นได้ชัด
‘กองนี้…สมควรเป็นหินอมตะระดับต่ำสินะ’
จากการมองเทียบและได้ฟังการซื้อขายจากแผงลอยเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนก็ระบุได้ทันทีว่ากองหินสีฟ้าอ่อนในแหวน ก็คือหินอมตะระดับต่ำ ส่วนอีกกองที่สีเข้มกว่าเขายังไม่ทราบ
‘ตอนแรกข้ายังห่วงอยู่เลยว่าจะไม่มีเงินของแดนสวรรค์ใช้ จึงยากจะไปหาข้อมูลในเหลาอาหารที่เหมาะแก่การหาข้อมูลเบื้องต้นมากที่สุด…เพราะสุดท้ายแล้วข้าก็ไม่มีเงินจ่าย’
‘แต่ตอนนี้ดูเหมือนข้าจะคิดมากเกินไป สุดท้ายหินพวกนี้ก็คือหินอมตะที่เป็นสกุลเงินจริงๆ…อย่างไรแหวนวงนี้ก็เป็นของไป่ฟูฉางคนหนึ่งของทัพมังกรเงิน ด้วยฐานะไป่ฟูฉาง เงินในมือของมันคงถือว่าไม่น้อยแน่’
คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็เดินย้อนกลับไปยังเหลาอาหารแห่งหนึ่งที่เขาเดินผ่านมาเมื่อไม่นานมานี้ สุดท้ายก็เข้าไปหาโต๊ะว่างค่อยนั่งลง…