เล่ม 1 ตอนที่ 321-2 ชนะ ชนะ ชนะ! (1)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 321-2 ชนะ ชนะ ชนะ! (1)

เวทีประลองยุทธ์ถูกล้อมจนหยดน้ำยังมิอาจลอดผ่าน แสดงให้เห็นอย่างเต็มที่ว่าผู้คนคลาคล่ำดั่งมหาสมุทรเป็นเช่นไร

ชั่วเวลาหนึ่งค่ำคืน บนลานกว้างก็มีอัฒจันทร์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง อัฒจันทร์นี้มีม่านมุกบดบังอยู่รอบด้าน คนที่นั่งอยู่ด้านในคือผู้อาวุโสทั้งห้าของสำนักซู่ซินจง ภายในม่านมุกมองเห็นเงาร่างของผู้อาวุโสทั้งหลายผู้หาตัวยากนั่งอยู่กับศิษย์และบ่าวรับใช้หลายคนที่คอยยืนอยู่ด้านข้าง

การประลองยุทธ์สองรอบก่อน ผู้อาวุโสคนอื่นที่ไม่ได้ขึ้นประลองไม่แม้แต่จะมาดู เห็นชัดว่าในใจพวกเขาคิดว่าการประลองหนนี้เป็นการประลองที่ไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง แต่หลังจากที่เฉียวเวยเอาชนะผู้อาวุโสได้สองคนติดกัน ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มให้ความสำคัญกับการประลองหนนี้แล้ว

ผู้อาวุโสห้ากับผู้อาวุโสสี่ก็อยู่ด้วย เมื่อวานทั้งสองคนบาดเจ็บและพ่ายแพ้จนเสียหน้าหมดสิ้น วันนี้จึงอยากจะมาดูว่าแท้จริงแล้วสาวน้อยคนนี้ร้ายกาจมากเพียงใด

หากมองเพื่อส่วนรวม พวกเขาหวังว่าเฉียวเวยจะพ่ายแพ้ แต่หากพูดถึงความเห็นแก่ตัวเล็กๆ ของตนเอง พวกเขาต่างหวังว่าผู้อาวุโสทั้งหลายจะเป็นฝ่ายปราชัย เพราะเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยที่พวกเขาแพ้ก็ไม่ใช่เพราะพวกเขาอ่อนแอเกินไป แต่เป็นเพราะสาวน้อยคนนี้แข็งแกร่งเกินไปต่างหาก

แน่นอนว่าความคิดเห็นแก่ตัวอย่างหลังนั่นแวบเข้ามาครอบงำความคิดก่อนหน้าเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น หลังจากนั้นพวกเขาก็ยังอยากจะให้สาวน้อยคนนี้พ่ายแพ้ ยิ่งพ่ายแพ้อนาถเท่าใดก็ยิ่งดี!

บนอัฒจันทร์ สวี่หย่งชิง ผู้พิทักษ์ทั้งสอง ฟู่เสวี่ยเยียนกับจีหมิงซิวต่างนั่งในที่ของตนเองแล้ว สีหน้าของสวี่หย่งชิงซีดเซียวอยู่บ้าง ดูท่าทางเมื่อคืนวานเขาคงนอนหลับไม่สนิท คิดดูแล้วก็ถูก เขาเป็นคนแพ้เดิมพันจนเสียป้ายเจ้าสำนัก หากเฉียวเวยเอาชนะผู้อาวุโสทั้งหลายจนกลายเป็นเจ้าสำนักรุ่นต่อไปของสำนักซู่ซินจงได้จริง เขาย่อมกลายเป็นคนแรกที่ถูกกล่าวโทษ

ศิษย์พี่ห้าไม่กล้าวิ่งไปเอ่ยวาจาวางโตต่อหน้าจีหมิงซิวอีกแล้ว เขายืนอยู่ตรงราวกั้นอย่างเย็นชา ศิษย์น้องแปดยืนอยู่ด้านข้างเป็นเพื่อนเขา

ใต้เท้าเจ้าสำนักขนม้านั่งมานั่งข้างฟู่เสวี่ยเยียน

ฟู่เสวี่ยเยียนขมวดคิ้ว “ทำอะไร”

ใต้เท้าเจ้าสำนักทำหน้าขึงขัง “ตรงนั้นข้ามองไม่เห็น!”

การประลองเริ่มขึ้นแล้ว เฉียวเวยกระโดดขึ้นเวทีประลอง

วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นน้อยพาศิษย์ใหม่กลุ่มหนึ่งเบียดมาที่แถวหน้า พวกเขามองดูเฉียวเวยอย่างตื่นเต้น

เฉียวเวยยิ้มให้เจ้าตัวน้อยทั้งหลาย แล้วเดินไปตรงกลางอย่างเยือกเย็น นางมองอัฒจันทร์ของผู้อาวุโสทั้งหลายแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ขอถาม วันนี้ข้าต้องท้าสู้กับผู้อาวุโสท่านใด”

“ข้าเอง!”

เฉียวเวยกะพริบตาอย่างประหลาดใจ เสียงของสตรีหรือ!

เงาร่างสีขาวร่างหนึ่งทะยานออกมาจากหลังม่านมุก ร่อนลงบนเวทีอย่างแผ่วเบาประหนึ่งนกนางแอ่น ชั่วพริบตาที่นางเหยียบพื้นไม่มีเสียงแม้แต่น้อย บ่งชัดว่าวิชาตัวเบาล้ำเลิศถึงขั้นใด ในที่สุดเฉียวเวยก็เชื่อแล้วว่าหมิงซิวไม่ได้ตั้งใจทำลายกำลังใจของตน ความเร็วของตนเมื่ออยู่ใต้เงื้อมมือของผู้อาวุโสคนนี้เกรงว่าคงจะไม่มีค่าให้มองสักนิด

“ผู้อาวุโสสามใช่หรือไม่” เฉียวเวยถาม

จีหมิงซิวบอกข้อมูลทั่วไปให้เฉียวเวยรู้แล้ว เฉียวเวยจึงเดาตัวตนของนางออกเพียงแค่เห็นวิชาตัวเบา แต่เฉียวเวยคิดไม่ถึงว่านางจะเป็นสตรีนางหนึ่ง หน้าตาไม่นับว่างดงามชวนตะลึงมากมายนัก แต่วรยุทธ์ทำให้คนอ่อนเยาว์ ดังนั้นนางจึงดูเหมือนอายุสามสิบต้นๆ เท่านั้น กิริยาท่าทางก็งดงามอย่างที่สุด

ผู้อาวุโสสามยิ้มจางๆ “สาวน้อย เจ้าฝีมือไม่เลว ถึงขั้นเอาชนะศิษย์น้องสองคนของข้าได้ มีคนบอกว่าเจ้าอาศัยเล่ห์เพทุบาย อาศัยโชค แต่ข้ารู้สึกว่าเจ้ามีความสามารถจริงๆ อยู่บ้าง”

เฉียวเวยเกิดความรู้สึกประทับใจอันดีกับผู้อาวุโสคนนี้นิดหน่อย จึงยิ้มน้อยๆ กล่าวตอบว่า “ในที่สุดก็มีผู้อาวุโสที่พูดจาภาษาคนมาสักที!”

ผู้อาวุโสสามตอบอย่างไม่รีบร้อน “สาวน้อยอย่าได้ดีใจเร็วเกินไปนัก กระบวนท่าของเจ้า ข้ามองออกหมดแล้ว วันนี้เจ้ามาเจอกับข้า นับว่าเส้นทางของเจ้าสิ้นสุดลงตรงนี้แล้ว”

เฉียวเวยยิ้ม “ดูคำพูดนี้ของเจ้าสิ เมื่อวานตอนศิษย์น้องสองคนของเจ้าขึ้นมา ในสายตาไม่เห็นหัวผู้ใดมากกว่าเจ้าอีก ผลปรากฏว่าเป็นอย่างไรเล่า ไม่ใช่ว่าพ่ายแพ้ในมือข้าหรือ ข้าว่าพวกเจ้าสำนักซู่ซินจง วรยุทธ์เป็นที่หนึ่งหรือไม่ ข้าไม่แน่ใจ แต่ปากแต่ละคน ช่างมีความสามารถในการเอ่ยวาจาวางโตมากขึ้นกว่าคนก่อนหน้า”

สีหน้าของผู้อาวุโสสามไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด “สาวน้อยเจ้าไม่ต้องยั่วโมโหข้า คิดจะทำให้จิตใจของข้าปั่นป่วน เจ้ายังไม่เก่งถึงขั้นนั้น”

เมื่อแผนการถูกมองออก ดวงหน้าน้อยของเฉียวเวยก็ดำทะมึน แต่แล้วแววตาก็วาววับวูบหนึ่งแล้วเอ่ยอีกว่า “ข้าได้ยินว่าท่านมีกฎอยู่ข้อหนึ่ง ภายในเจ็ดกระบวนท่าจะไม่ใช้อาภรณ์ไหมฟ้า จริงหรือไม่”

“ไม่ใช่เจ็ดกระบวนท่า แต่เป็น…”

ผู้อาวุโสสามยังเอ่ยไม่ทันจบ เฉียวเวยก็โผล่มาตรงหน้าของนาง ต่อยหมัดหนึ่งไปยังจุดตันเถียน ทว่าสิ่งที่ทำให้เฉียวเวยคิดไม่ถึงก็คือกำปั้นของตนเองกลับถูกผู้อาวุโสสามรับไว้ได้อย่างมั่นคง

เฉียวเวยมองผู้อาวุโสสามด้วยสีหน้ามึนงง

ผู้อาวุโสสามยิ้มอย่างสง่างาม “กระบวนท่าที่หนึ่ง”

เฉียวเวยกลืนน้ำลาย

มือซ้ายของผู้อาวุโสสามจับกำปั้นของเฉียวเวย ส่วนมือขวาซัดฝ่ามือเข้าใส่จุดลมปราณกลางแผ่นหลัง

เฉียวเวยหมุนฝ่าเท้า ร่างกายมุดลอดรักแร้ของนางประหนึ่งแมว

ดวงตาของผู้อาวุโสสามฉายแววประหลาดใจวูบหนึ่ง เห็นชัดว่านางคิดไม่ถึงว่าเฉียวเวยที่ถูกตนเองจับไว้แล้วจะหลบกระบวนท่านี้ได้

เฉียวเวยดิ้นหลุดจากมือนางก็เผ่นแผล็วพุ่งออกไปห่างสามเมตร เฉียวเวยคิดว่าตนเองสลัดผู้อาวุโสสามพ้นแล้ว ไหนเลยจะคิดว่าพอหันกลับมา ผู้อาวุโสสามกลับยืนอยู่เบื้องหน้าตนเอง นางตกใจสะดุ้งโหยงถอยหลังไปสองสามก้าว แล้วพองขนเอ่ยว่า “เหตุใดเจ้าเข้ามาแล้วเล่า!”

“สามกระบวนท่าแล้ว” ผู้อาวุโสสามยิ้ม แล้วฟาดออกมาอีกหนึ่งฝ่ามือ เฉียวเวยกุมศีรษะขยับร่างหลบ

เฉียวเวยอยากจะสร้างระยะห่างกับนาง แต่มิว่าจะวิ่งอย่างไร คนผู้นี้ก็ตามติดประหนึ่งเงา เฉียวเวยจึงตัดสินใจเลิกวิ่ง นางม้วนแขนเสื้อเตรียมตัวจะเผชิญหน้าตรงๆ กับอีกฝ่าย เฉียวเวยฟาดฝ่ามือออกมา ทว่าผู้อาวุโสสามกลับไม่รับฝ่ามือของนาง อีกฝ่ายเพียงสะกิดปลายเท้าแผ่วเบา เหินข้ามศีรษะของนางไป

เฉียวเวยนับว่ามองออกแล้ว กำลังภายในของผู้อาวุโสสามไม่ได้เรื่อง นางจึงไม่ต้องการปะทะตรงๆ กับตนเอง มิน่าวิชาตัวเบาถึงยอดเยี่ยมปานนั้น แล้วยังมีอาภรณ์ไหมฟ้าอีก ที่แท้ก็เพื่อเสริมกำลังภายในที่ไม่พอนี่เอง

“เหอะ ฮ่าๆ ฮ่าๆ! ข้ารู้แล้ว! รับกระบวนท่าเถอะ” เฉียวเวยโจมตีผู้อาวุโสอย่างรุนแรง หนนี้เฉียวเวยเป็นฝ่ายไล่ตามผู้อาวุโสไปทั่วเวทีประลองบ้าง

ร่างกายของทั้งสองคนเคลื่อนไหวเร็วเกินไป ดวงตาของศิษย์ทั้งหลายมองไม่ทันอย่างสิ้นเชิง ศีรษะประเดี๋ยวชะเง้อไปทางซ้าย ประเดี๋ยวชะเง้อไปทางขวา ชะเง้อไปชะเง้อมา โคลงไปเคลงมาจนตนเองจะเป็นลมอยู่แล้ว!

ร่างกายของเฉียวเวยประหนึ่งภูตพราย ฉวยช่องว่างของผู้อาวุโสสาม ไล่ต้อนผู้อาวุโสสามไปริมกำแพงที่มีเพียงฝั่งเดียวของเวทีประลอง ครานี้หนีไม่ง่ายแล้ว

“ขอขอภัยด้วยผู้อาวุโสสาม เจ้ารีบ…”

เฉียวเวยยังไม่ทันพูดว่า ‘ไปตายเสีย’ จบ ผู้อาวุโสสามก็หยิบอาภรณ์ไหมฟ้าออกมา!

เฉียวเวยกระโดดพรวดอย่างระมัดระวัง ร่างกายม้วนตัวพลิกกลับ อาภรณ์ไหมฟ้าเฉียดผ่านแขนเสื้อของนาง กระดุมทองแดงบนแขนเสื่อถูกผ่าเป็นสองเสี่ยงในพริบตา

ผู้อาวุโสสามเหมือนได้ระบายโทสะ “สิบกระบวนท่าแล้ว สาวน้อย”

โชคดีที่จีหมิงซิวบอกข้อมูลกับเฉียวเวยแล้ว มิเช่นนั้นเฉียวเวยเห็นผ้าไหมยาวสีขาวเช่นนั้น ปฏิกิริยาแรกของนางคงเป็นการคว้าจับไว้ เฉียวเวยไม่มีทางยอมรับหรอกว่าเมื่อครู่นางเกือบจะทำเช่นนั้นจริงๆ ทว่าชั่วพริบตานั้นนางก็นึกถึงคำพูดของจีหมิงซิวขึ้นมาได้จึงรีบหลบ แต่สุดท้ายก็ช้าไปก้าวหนึ่ง จนทำให้กระดุมทองแดงของนางถูกผ่าเป็นสองเสี่ยง

ผู้อาวุโสสามยิ้มอย่างได้ใจ “บนโลกนี้ยังไม่เคยมีศาสตราวุธใดเอาชนะอาภรณ์ไหมฟ้าของข้าได้ สาวน้อย ข้าเสียดายคนมีความสามารถอย่างเจ้า หากเจ้ายอมคุกเข่าโขกศีรษะสามหนคารวะข้าเป็นอาจารย์ ข้าจะละเว้นเจ้า!”

เฉียวเวยพองขนตอบว่า “ถุย! ท่านหญิงคนนี้มาเพื่อเป็นเจ้าสำนัก ไม่ใช่มาเป็นลูกศิษย์ของผู้ใด! รอข้าได้เป็นเจ้าสำนักแล้ว พวกเจ้าผู้อาวุโสทั้งหลายจงฟังไว้! พวกเจ้าต้องมาโขกหัวคารวะข้า!”

“สุราคารวะไม่ดื่มจะดื่มสุราลงทัณฑ์สินะ รับกระบวนท่า!”

สีหน้าของผู้อาวุโสสามเย็นยะเยือก อาภรณ์ไหมฟ้าเฉือนเสื้อผ้าของเฉียวเวยจนเป็นรูนับร้อยนับพัน เพราะวิชาท่าร่างของเฉียวเวยว่องไว นางจึงยังไม่ได้รับบาดเจ็บ หากเป็นผู้อื่น คงกลายเป็นก้อนเนื้อกองหนึ่งไปนานแล้ว

แผนการปะทะซึ่งหน้าของเฉียวเวยดูเหมือนจะทำไม่ได้แล้ว อย่างไรเสียกำปั้นแข็งอีกเท่าใดก็แข็งสู้อาภรณ์ไหมฟ้าไม่ได้

ผู้อาวุโสสามต้อนเฉียวเวยจนไปติดกำแพง หนนี้ผลัดถึงตาเฉียวเวยไร้หนทางถอยบ้างแล้ว ผู้อาวุโสสามซัดอาภรณ์ไหมฟ้าแถบหนึ่งออกมา เฉียวเวยหลบ อาภรณ์ไหมฟ้าพุ่งทะลุกำแพงทางฝั่งซ้ายของนาง ผู้อาวุโสสามซัดผืนผ้าออกมาอีกแถบ สกัดทางถอยอีกด้านหนึ่งของเฉียวเวยไว้ เฉียวเวยถูกอาภรณ์ไหมฟ้าสองผืนปิดกั้นไว้ตรงกลางไปไหนมิได้ ผู้อาวุโสสามส่งผืนผ้าออกมาอีกหลายผืน พุ่งเข้าโจมตีเท้าของนางกับข้างเอวของนางพร้อมกัน นอกเสียจากว่านางจะบิดตัวเองได้เหมือนขนมเกลียว ต่อให้นางหลบไปที่ใดก็ล้วนต้องถูกอาภรณ์ไหมฟ้าตัดเฉือนร่างกายจนอยู่ในสภาพอันไม่น่าจินตนาการ

เฉียวเวยหลั่งเหงื่อเย็น

ลูกศิษย์ทั้งหลายถอนหายใจ แพ้แน่แล้ว ไม่มีผู้ใดทำลายอาภรณ์ไหมฟ้าของผู้อาวุโสสามได้

จีหมิงซิวจ้องมองเฉียวเวยนิ่งๆ ศิษย์พี่ห้าหัวเราะฮ่าๆ “ศิษย์พี่สี่ ท่านรีบบอกให้หยุดเสียเถิด ข้าไม่อยากให้วันนี้ในปีหน้าต้องไปเยี่ยมศิษย์พี่สะใภ้ที่หลุมศพหรอกนะ!”

ผู้อาวุโสสามหัวเราะหยัน “สาวน้อย ยังไม่ยอมแพ้อีกหรือ”

“ยอมแพ้ บ้าน เจ้าสิ!” เฉียวเวยแววตาเย็นยะเยือก แขนข้างหนึ่งสะบัด กริชเล่มหนึ่งไหลลงมาอยู่ในมือ นางกำกริชไว้แล้วพลิกมือฟัน

ผู้อาวุโสสามหนังตาไม่กระตุกสักนิด หากกริชฟันอาภรณ์ไหมฟ้าแดนหิมะได้ ถ้าเช่นนั้นมันก็คงไม่ใช่อาภรณ์ไหมฟ้าแดนหิมะแล้ว

ฉึบ!

ทว่าอาภรณ์ไหมฟ้ากลับขาดสะบั้น

ผู้อาวุโสสามตกตะลึง

เฉียวเวยเองก็ตกตะลึง นางมองกริชที่อยู่ในมือ แล้วหันไปมองอาภรณ์ไหมฟ้าที่ถูกตนเองตัดจนขาด จากนั้นจึงลองฟันเบาๆ ไปที่อีกผืน อาภรณ์ผืนนั้นก็ถูกฟันขาดดุจเดียวกัน

เอ๋ เหตุไฉนจึงเป็นเช่นนี้เล่า

เฉียวเวยทั้งตกใจทั้งดีใจ นางกำกริชฟันอาภรณ์ไหมฟ้าที่ขังตนเองไว้อยู่จนขาดสะบั้นหมดสิ้น!

ศิษย์พี่ห้าขมดวคิ้ว “เป็นไปไม่ได้ อาภรณ์ไหมฟ้าเหตุไฉนจึงถูกตัดขาด นั่นมันคือสิ่งใด”

ศิษย์พี่หญิงรองวิ่งเข้ามาเกาะราวกั้น นางจ้องกริชในมือของเฉียวเวยเขม็ง “กริชเฟิ่นเทียนหรือ”

“เจ้ารู้จักกริชเล่มนั้นหรือ” ศิษย์พี่ห้าถามอย่างสงสัย

ศิษย์พี่หญิงรองย่อมรู้จัก นั่นเป็นของที่พี่ใหญ่ของนางพกติดตัว เป็นสมบัติที่ตกทอดมาในตระกูลมู่ของพวกเขา หนก่อนที่พบพี่ใหญ่ นางไม่เห็นกริชเฟิ่นเทียน นางยังคิดว่าพี่ใหญ่เก็บเอาไว้เสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะถูกสตรีนางนี้แย่งเอาไป!

ผู้อาวุโสสามถูกกริชของเฉียวเวยทำให้ตะลึงงัน เฉียวเวยตัดอาภรณ์ไหมฟ้าทั้งหมดของนางจนขาดสะบั้น ผู้อาวุโสสามปวดใจจนแทบคลั่ง!

หากใช้กำปั้นสู้กำปั้น ฝ่ามือสู้ฝ่ามือ บางทีผู้อาวุโสสามอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉียวเวย แต่วิชาตัวเบาของนางเหนือกว่าเฉียวเวยมาก หากต้องสู้กันขึ้นมาจริงๆ นางก็ยังหาช่องโหว่ของเฉียวเวยแล้วโจมตีอีกฝ่ายซ้ำๆ ให้ล้มได้ สิ่งที่แย่ก็คือความฮึกเหิมของนางหดหายไปเสียแล้ว

เฉียวเวยกลับฮึกเหิมเพิ่มพูนเป็นกำลัง นางยิ่งสู้ยิ่งห้าวหาญ กระบวนท่าหนึ่งแข็งแกร่งกว่าอีกกระบวนท่าหนึ่ง ในที่สุดก็ฉวยโอกาสที่ผู้อาวุโสสามเผลอจังหวะหนึ่งถีบนางลงจากเวทีประลองสำเร็จ!