ตอนที่ 2,591 : มู่หรงปิง
ได้ยินข้อเสนอของต้วนหลิงเทียน แม้สตรีนางนั้นจะไม่กล่าวอะไรแต่เห็นได้ชัดว่านางเห็นด้วย
“ข้าชื่อต้วนหลิงเทียน…แล้วเจ้าเรียกว่าอะไร?”
ในขณะที่เตรียมตัวฝ่าด่านทดสอบด้วยคำชี้แนะที่ได้รับจากป้ายหยก ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองถามสตรีข้างๆ
พอเห็นว่าผู้หญิงคนนี้เงียบไปไม่พูดจา เพียงเดินตามต้อยๆไม่แยแสเขา ต้วนหลิงเทียนก็ขมวดคิ้วถามไปอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าถามเฉยๆ ไม่ได้มีอะไรแอบแฝง…หรือจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าแม่นางตลอด?”
“มู่หรงปิง”
สุดท้ายน้ำเสียงไพเราะหากแต่เย็นชาก็ดังขึ้นจากด้านข้าง บอกชื่อของนางออกมา
‘มู่หรงปิง? ก็เหมือนน้ำแข็งจริงๆ’
(ปิง = น้ำแข็ง)
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวขณะเหลือบมองมู่หรงปิงเล็กน้อย จากนั้นก็พากันไปตะลุยด่านทดสอบในโลกใบเล็กกับนาง
ด่านทดสอบทั้งหลายสร้างขึ้นมาเพื่อฆ่าคน
อย่างไรก็ตามทั้งหมดแทบเป็นวิธีการฆ่าโดยอ้อม
ที่บอกว่าเป็นการฆ่าโดยอ้อมนั้น เพราะด่านทดสอบทั้งหลายไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อฆ่าคนตรงๆ แต่จะพยายามแยกหญิงชายที่ทำการทดสอบให้ห่างออกจากกันเท่านั้น
พอหญิงชายที่ทำการทดสอบห่างออกจากกันเกินระยะ 2 ลี้ ค่ายกลหยินหยางผกผันก็จะเริ่มต้นการทำงาน และปะทุพลังอาคมสังหารออกมาทันที
ด้วยมีคำชี้แนะมากมายจากป้ายหยก ไม่ว่าจะด่านทดสอบแบบใด ต้วนหลิงเทียนกับมู่หรงปิงก็ผ่านฉลุย
ถึงบางอย่างต้วนหลิงเทียนจะรับมือไม่ได้เลย แต่มู่หรงปิงรับมือได้สบายๆ
‘ผู้หญิงคนนี้…ร้ายกาจมาก!’
ในระหว่างฝ่าด่าน ต้วนหลิงเทียนได้เห็นพลังฝีมืออันร้ายกาจของมู่หรงปิงชัดเจน ซึ่งพลังของนางเป็นอะไรที่ไกลเกินเอื้อมสำหรับเขาในตอนนี้
ยิ่งไปกว่านั้นหากมู่หรงปิงคิดฆ่าเขาขึ้นมาล่ะก็ ไม่จำเป็นต้องลงแรงออกกระบวนท่าใดๆด้วยซ้ำ เพียงลงมือส่งๆ แม้กระทั่งอาศัยแค่หนึ่งมองก็ฆ่าเขาให้ตายได้ง่ายๆแล้ว
พลังฝีมือสูงส่งนัก!
เขากับมู่หรงปิงไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย!!
วาบ!
เมื่อทิวทัศน์เบื้องหน้าเริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าสถานที่ๆเขากับมู่หรงปิงอยู่ได้เริ่มเปลี่ยนไปอีกรอบ และดูเหมือนนี่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้าย หลังจากที่เขาผ่านด่านทดสอบด่านสุดท้ายมาได้…
‘มาถึงสุดทางแล้วสินะ’
ก่อนที่สภาพแวดล้อมจะทรงตัว ต้วนหลิงเทียนก็ลอบคาดเดาในใจ
หลังสภาพแวดล้อมทรงตัว ต้วนหลิงเทียนกับมู่หรงปิงก็พบว่าตอนนี้ดูเหมือนพวกเขาจะมาปรากฏตัวในโบสถ์หลังหนึ่งที่สุกสกาวไปด้วยแสงสีทองเรืองๆ เป็นแสงสีทองที่สาดส่องออกมาจากพระพุทธรูปทองคำดั่งรัศมีทรงกลด!
แน่นอนว่าข้างๆพระพุทธรูปทองคำปางต่างๆก็มีรูปปั้นสตรีสีทองในอริยาบถต่างๆเช่นกัน เรียกว่าแต่ละคู่ล้วนเป็นท่าสอดใส่ในแง่มุมต่างๆ ซึ่งบางท่าก็ดูแล้วไม่น่าพิศมัยชวนให้ลองสักเท่าไหร่
ต้วนหลิงเทียนนั้นเห็นมาตลอดทางจนมีภูมิคุ้มกันไปแล้ว
ส่วนมู่หรงปิงนั้น นางไม่เหลือบแลใดๆรอบกายเลย
สายตาของนางเพียงมองจ้องไปยังใจกลางโบสถ์ทันทีที่ปรากฏตัว
ตรงกลางมีตั่งศิลาตั้งอยู่
และบนตั่งศิลาดังกล่าว ปรากฏร่างหลวงจีนหัวโล้นที่ใบหน้าเต็มไปด้ววยสีเลือดฝาดเสมือนมีชีวิตหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ จีวรที่หลวงจีนรูปนี้สวมใส่เป็นสีทองพาดทับไว้ด้วยสีแดง หน้าตาแม้จะไม่ได้แลดูดีอะไร แต่ก็มองแล้วให้ความรู้สึกสบายตา
มันนั่งหลับตาแน่นิ่งไม่ต่างอะไรจากรูปปั้น
‘ไม่มีกลิ่นอายพลังชีวิตแม้แต่นิดเดียว…’
ต้วนหลิงเทียนย่อมสัมผัสได้ทันทีว่าร่างที่นั่งขัดสมาธิเบื้องหน้าไม่มีกลิ่นอายพลังชีวิตแผ่ออกมาแม้แต่นิดเดียว บ่งบอกให้รู้ว่าสมควรตกตายมาเนิ่นนานมากแล้ว
ส่วนที่ไฉนร่างอีกฝ่ายไม่เน่าสลายไปนั้น ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดี
เพราะร่างกายของเซียนอมตะจะไม่มีวันเน่าเปื่อยย่อยสลายเหมือนร่างมนุษย์ปุถุชน
ตราบเท่าที่ไม่มีใครใช้พลังทำลาย เกรงว่าต่อให้ทิ้งศพไว้สักล้านปีก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ
“ปี่น่าเย่เจีย!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังมองร่างหลวงจีนที่นั่งบนตั่งศิลาอย่างไร้ซึ่งพลังชีวิตด้วยความสนใจนั้น เสียงเย็นชาหนึ่งพลันดังขึ้นข้างหูเขา
“ปีน่าเย่เจีย…นี่เจ้ารู้จักมันด้วยรึ?”
ต้วนหลิงเทียนอึ้ง
“มันคือยอดฝีมือของนิกายสราญรมย์ที่สร้างโลกใบเล็กแห่งนี้…ดูเหมือนตำนานจะเป็นความจริง ตอนนั้นมันที่บาดเจ็บสาหัส ได้เลือกจะกลับมาตายอยู่ในโลกใบเล็กที่มันสร้างไว้จริงๆ”
ขณะพูดร่างมู่หรงปิงก็วูบไปหยุดเบื้องหน้าหลวงจีน และปลดแหวนพื้นที่ออกมาจากนิ้วมันทันที ก่อนที่จะกรีดนิ้วตัวเองและหยดเลือดลงไปอย่างไม่รอช้า
ขวับ!
ไม่นานในมือของมู่หรงปิงก็ปรากฏ ไม้ปัดฝุ่น หนึ่ง
‘ศาสตราเซียนอมตะ…อีกทั้งดูเหมือนจะไม่ใช่ยอดสมบัติสวรรค์ระดับทั่วไป!’
ทันทีที่ไม้ปัดฝุ่นผุดโผล่จากความว่างมาอยู่ในมือมู่หรงปิง ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นถึงความไม่ธรรมดาของมันทันที
และพอเขาแผ่สำนึกเทวะเข้าไปสำรวจกลิ่นอายที่แผ่ออกมาของมันอย่างใกล้ชิด เขาก็พบว่า
ไม้ปัดฝุ่นอันนี้ หากให้เทียบกับกระบี่นิลสวรรค์และบรรทัดจักรวาลที่เขาเคยใช้ ก็ไม่ถือว่าแตกต่างกันมากนัก
“ไม้ปัดฝุ่นกวาดโลกา”
(ที่อยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ คือไม้ปัดฝุ่นชำระโลกานะ คนละอันกัน)
มู่หรงปิงที่ขณะที่มองจ้องไม้ปัดฝุ่นในมือนั้น ใบหน้าที่เคยเย็นชาราวมีน้ำแข็งเคลือบฉาบทับไว้ บัดนี้คล้ายมันจะละลายลงไปทันใดด้วยรอยยิ้มบางๆ ต้วนหลิงเทียนที่หันมาเห็นเข้าพอดี ก็อดไม่ได้ที่จะชักงักไปอยู่บ้าง
แม้ว่าพวงแก้มกระจ่างของนางจะถูกม่านผ้าบดบังเอาไว้
แต่ต้วนหลิงเทียนก็ยังถูกรอยยิ้มใต้ม่านผ้านั่นดึงดูดไปอยู่ดี
ให้บอกว่า ยิ้มแรกล่มเมือง ยิ้มอีกคราล่มชาติ…
ก็ไม่เกินเลย!
ด้านมู่หรงปิงที่กำลังยิ้มอยู่นั้นพอตระหนักได้ว่าต้วนหลิงเทียนกำลังมองมา นางก็หุบยิ้มและหวนคืนสู่ความสงบ ให้ความรู้สึกราวเมฆเคลื่อนคล้อยสบายๆทันที
อย่างไรก็ตามหากมองให้ดีจะพบว่า…
ลึกลงไปในแววตาของมู่หรงปิงนั้น ยังฉายถึงความตื่นเต้นไม่น้อย!
และที่นางรู้สึกตื่นเต้นก็เป็นเพราะว่า
ไม้ปัดฝุ่นในมือนาง เป็น 1 ใน 3 ศาสตราเซียนอมตะประจำนิกายของนาง! ไม้ปัดฝุ่นกวาดโลกา!
“ศาสตราเซียนอมตะนั่น…ไม่ธรรมดาจริงๆ”
ต้วนหลิงเทียนที่ตระหนักได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของมู่หรงปิง ก็หันไปมองกล่าวกับนาง
หากเป็นตอนปกติ มู่หรงปิงคงไม่สนใจจะพูดกับต้วนหลิงเทียนแน่นอน
ทว่าตอนนี้ด้วยความที่นางกำลังอารมณ์ดี จึงตอบกลับมาแทบจะทันทีว่า “นี่คือยอดสมบัติสวรรค์ประจำนิกายของข้าที่สูญหายไปหลายพันปี ไม้ปัดฝุ่นกวาดโลกา! มันต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว!”
“ยอดสมบัติสวรรค์ประจำนิกายเจ้า?”
ได้ยินคำของมู่หรงปิง ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหลวงจีนไร้กลิ่นอายชีวิตที่นั่งอยู่บนตั่งศิลาอีกครั้ง “เช่นนั้น…ที่ยอดสมบัติสวรรค์ประจำนิกายของเจ้าหายไปหลายพันปี ก็เป็นเพราะถูกยอดฝีมือของนิกายสราญรมย์ผู้นี้ช่วงชิงไป?”
ต้วนหลิงเทียนยังคงจดจำเรื่องที่ชายทั้ง 2 กล่าวบอกเขาในเมืองเฉวี่ยโยวได้ชัดเจน
โลกใบเล็กแห่งนี้ดูเหมือนจูกสร้างไว้นานหลายพันปีแล้ว
คราวนี้มู่หรงปิงเพียงมองต้วนหลิงเทียนแต่ไม่ตอบอะไรกลับมา
แต่ต้วนหลิงเทียนก็เสมือนได้รับคำตอบจากสายตามู่หรงปิงชัดเจน
เขาจึงตระหนักได้ว่า
เรื่องที่เขาถามออกไป ก็ไม่ต่างอะไรกับเทเกลือลงบาดแผลของนาง เพราะนี่สมควรเป็นเรื่องอัปยศในนิกายที่นางไม่อยากเอ่ยถึง…
“แต่ไม่ใช่ว่ามันเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนหวางหรือไร ไฉนจึงมาตายที่นี่?”
ต้วนหลิงเทียนถามออกมาด้วยความสงสัย
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่เคยพบเจอตัวตนขอบเขตพลังเซียนหวางในระนาบเทวโลก แต่เขารู้ดีว่าตัวตนระดับนี้ก็นับว่าทรงพลังอย่างยิ่งในระนาบเทวโลก เช่นนั้นไม่น่าจะถูกผู้คนธรรมดาฆ่าตายได้ง่ายๆ
อย่างไรก็ตามได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน มู่หรงปิงก็ยังเมินเฉย
อย่างไรก็ตามเขาเห็นได้จากคิ้วนางที่ขมวดเป็นปม ว่านางคงอารมณ์ไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่
ทันใดนั้นเองคล้ายฉุกคิดอะไรได้ ต้วนหลิงเทียนก็แผ่สำนึกเทวะออกไปทันที ทำให้เขาทราบได้ชัดเจน
สำนึกเทวะของมู่หรงปิงตอนนี้ ได้แผ่ออกมาเต็มโบสถ์หลังนี้เรียบร้อยแล้ว
ขณะเดียวกันเขาก็รู้ได้ว่า…
ไฉนอารมณ์ของนางถึงได้ฉุนเฉียวและร้อนรนมากขึ้นทุกขณะ…
‘ดูเหมือนนางจะหาทางออกไม่พบ’
เห็นอาการของมู่หรงปิง ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ไม่ยาก
‘ตอนนี้นับจากเวลาที่เข้ามาวันแรก พวกเรายังเหลือเวลาอีก 2 เดือนครึ่ง…และหลังจากผ่านไป 2 เดือนครึ่ง แต่ข้ากับมู่หรงปิงยังหาทางออกจากโลกใบเล็กนี่ไม่พบ ไม่พ้นต้องกระตุ้นค่ายกลหยินหยางผกผันจนถูกฆ่าทิ้งทั้งคู่แน่น’
หลังคิดถึงข้อความชี้แนะในป้ายหยกก่อนหน้า ต้วนหลิงเทียนก็ชักหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
ครู่ต่อมาเขาก็เริ่มแผ่สำนึกเทวะออกไปหาเช่นกัน ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้ยืนนิ่งอยู่เฉยๆ ยังลองเดินไปตบๆตามผนังและจับเชิงเทียนไม่เว้นกระถางธูปหรืออะไรก็ตามในโบสถ์หมุนๆดู เผื่อจะมีกลไกอะไรด้วยความหวังลมๆแล้งๆ
หลังหาอยู่เกือบวัน ทั้งคู่ก็ยังไม่พบเจออะไร
เรียกว่าในโบสถ์หลังใหญ่นี้ นอกจากปี่น่าเย่เจียที่นั่งตายอยู่บนตั่งศิลากลางโบสถ์ และรูปปั้นพระพุทธรูปในท่วงท่าร่วมรักกับรูปปั้นอิสตรีที่ตั้งไว้รอบโบสถ์ ก็คงเหลือแต่ต้วนหลิงเทียนกับมู่หรงปิงที่กำลังตบๆจับๆไปทั่วทุกมุมในโบสถ์ แลดูวุ่นวายชวนให้เวียนหัวอยู่บ้าง
“ลาหัวโล้นน่าตายนี่…กระทั่งตายไปแล้วยังก่อเรื่องได้อีก”
หลังค้นหามานานแต่สุดท้ายก็ไม่พบไม่เจออะไร ต้วนหลิงเทียนที่รู้สึกหงุดหงิดก็อดไม่ได้ที่จะหันไปก่นด่า ปีน่าเย่เจี๋ย ที่นั่งตายอยู่บนตั่งศิลากลางโบสถ์
“ฮึ่ม!”
แทบจะพร้อมกันกับที่ต้วนหลิงเทียนก่นด่าจบคำ เขาก็ได้ยินเสียงสบถเยียบเย็นหนึ่ง
ฟิ้ว!
ทันใดนั้น ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนมีสายลมหอบหนึ่งพัดผ่านเขาไปยังร่างไร้ชีวิตของ ปี่น่าเย่เจียยอดฝีมือนิกายสราญรมย์เบื้องหน้า
ปงงง!!
และพริบตาต่อมา ร่างปี่น่าเย่เจียที่นั่งขัดสมาธิบนตั่งศิลากลางโบสถ์ตรงหน้าเขาก็ระเบิดออก!
“แย่แล้ว!!”
แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ร่างปีน่าเย่เจียระเบิดออก ต้วนหลิงเทียนที่มองจ้องร่างไร้ชีวิตของมันอยู่แต่แรก จึงเห็นได้ชัดเจนว่ามีความเคลื่อนไหวบางอย่าง!!
“เจ้ารีบถอยออกมาเร็วเข้า!!”
ในห้วงเวลาคับขัน ต้วนหลิงเทียนถึงกับตะโกนสั่งมู่หรงปิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเศษซากอดีตร่างไร้ชีวิตของปี่น่าเย่เจียที่นั่งบนตั่งศิลากลางห้องเสียงดังลั่นอย่างไม่เกรงใจ!
อย่างไรก็ตาม ยังคงสายเกินไป
แทบจะเป็นวินาทีเดียวกับที่มู่หรงปิงตบฟาดร่างปี่น่าเย่เจียจนระเบิดออกนั้น
ซู่ว! ซู่ว! ซู่ว! ซู่ว! ซู่ว!
…
แถบริ้วสีเขียวประหลาด ประหนึ่งผีเน่าพบโลงผุก็ไม่ปาน มันพุ่งโร่เข้าหามู่หรงปิงอย่างไว โดยที่นางไม่ทันได้ตั้งตัว!