ตอนที่ 333-2 แม่ลูกพบหน้า (2)

ซิ่วฉินมองเฉียวเวยอย่างไม่เข้าใจ เฉียวเวยทราบว่านางสงสัย เฉียวเวยเองก็ไม่คิดจะปิดบังนางจึงคลี่ยิ้มบอกว่า “ข้ากับนางมีบุญคุณความแค้นส่วนตัวบางประการ เรื่องราวโดยละเอียดมีโอกาสจะเล่าให้เจ้าฟัง สรุปก็คือหลังจากนี้พวกเจ้าอย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับคนของเรือนหลีฮวาอีก”

ซิ่วฉินพยักหน้า “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะไปบอกต่อกับคุณหนู”

ใต้เท้าเจ้าสำนักขบเมล็ดแตงอยู่ในบ้านชิงเหลียนอย่างเบื่อหน่าย

ปี้เอ๋อร์ยกลิ้นจี่แช่เย็นสดใหม่จานหนึ่งเข้ามาด้านใน “คุณชายรอง ฮูหยินให้ข้ายกลิ้นจี่มาให้ท่านเจ้าค่ะ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักชอบกินลิ้นจี่ กินเท่าไรก็ไม่เคยพอ เขาแกะลูกหนึ่งยัดเข้าปากแล้วแค่นเสียงดังเหอะบอกว่า “ลิ้นจี่บนเกาะอร่อยกว่า ลิ้นจี่ที่นี่ของพวกเจ้าหวานไม่พอ!”

ปี้เอ๋อร์กัดลิ้น นี่ยังไม่เรียกหวานอีกหรือ นี่เป็นลิ้นจี่ที่ดีที่สุด ผลใหญ่ที่สุด รสหวานที่สุดจากทางใต้แล้วนะ ของที่ฮ่องเต้เสวยยังไม่ดีเท่านี้เลย!

“ส่งไปให้ฝั่งนางยักษ์หรือยัง” ใต้เท้าเจ้าสำนักถามด้วยสีหน้าไม่ใส่ใจ

“ท่านหมายถึงแม่นางฟู่หรือฮูหยินเจ้าคะ” ปี้เอ๋อร์ถามกลับ

“เจ้าว่าผู้ใดเล่า” ใต้เท้าเจ้าสำนักทำหน้าเฉยชา

ปี้เอ๋อร์หัวเราะคิกคักตอบว่า “ฝั่งแม่นางฟู่ส่งไปให้ตั้งนานแล้ว! ส่งไปให้ตะกร้าใหญ่มากเชียวเจ้าค่ะ!”

ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบว่า “เช่นนี้ค่อยใช้ได้หน่อย! เอาล่ะเจ้าออกไปเถิด! เดี๋ยว เจ้ากลับมาก่อน!”

ปี้เอ๋อร์หมุนตัวกลับมา ถอนหายใจถามว่า “มีอะไรเจ้าคะคุณชายรอง”

ใต้เท้าเจ้าสำนักดันลิ้นจี่มาด้านหน้า “นำไปส่งให้นางยักษ์ให้หมด ไม่ต้องบอกว่าข้าส่งไปให้”

ปี้เอ๋อร์ยิ้ม “ไม่บอกว่าท่านส่งมาให้ แล้วจะส่งไปทำไมเล่าเจ้าคะ ท่านกลัวแม่นางฟู่ไม่ได้กินหรือไร ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะคุณชายรอง เรือนของแม่นางฟู่ฝั่งนั้นมีของดีๆ มากกว่าบ้านชิงเหลียนเสียอีก นางมีทุกสิ่งให้กิน เว้นแต่นางจะไม่อยากกินเสียเอง”

ใต้เท้าเจ้าสำนักกัดลิ้นจี่ลูกหนึ่งอย่างขุ่นเคือง

ปี้เอ๋อร์ยิ้มหยอกเย้า “ถ้าเช่นนั้นข้านำไปมอบให้นางแล้วบอกว่าท่านตัดใจกินไม่ลง ตั้งใจเก็บไว้ให้นางดีหรือไม่”

ใต้เท้าเจ้าสำนักแววตาวูบไหวเถียงทันควัน “ข้า ข้า ข้า…ข้าจะเก็บไว้ให้นางทำอะไร ข้าแค่ไม่อยากกิน ข้ากินอิ่มแล้วจะทิ้งก็กลัวเสียดาย…ถึงมอบให้นางหรอก!”

ท่านช่างกลัวสิ้นเปลืองจริงๆ น้ำลายยืดจนจะถึงคางแล้ว ปี้เอ๋อร์ลอบหัวเราะ ตอบคำหนึ่งว่า “ทราบแล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นจึงยกลิ้นจี่ออกไป

ใต้เท้าเจ้าสำนักมองแผ่นหลังของปี้เอ๋อร์หายลับไปกับราตรี จากนั้นก็กัดปากอย่างสิ้นหวัง โหดร้ายยิ่งนัก ไม่รู้จักเหลือไว้ให้ข้าสักลูกสองลูก…

ตอนที่ปี้เอ๋อร์ยกลิ้นจี่มาถึงเรือน สวินหลันกับเฉียวเวยก็จากไปแล้ว ซิ่วฉินคล้องแขนปี้เอ๋อร์เดินเข้ามาด้านในอย่างสนิทสนม “ดึกป่านนี้ เจ้ายังไม่นอนอีกหรือ”

“ข้าก็อยากนอนอยู่หรอก แต่คุณชายรองของข้าช่างทรมานคนเก่งนัก จะให้ข้าวิ่งมาฝั่งนี้สักเที่ยวหนึ่งให้ได้” ปี้เอ๋อร์เดินเข้ามาในห้องแล้วก็กล่าวทักทายฟู่เสวี่ยเยียน “แม่นางฟู่ คุณชายรองให้ข้านำลิ้นจี่เหล่านี้มามอบให้ท่าน ตัวเขาเองตัดใจกินเองไม่ลงตั้งใจเก็บไว้ให้ท่านเจ้าค่ะ”

แพขนตาของฟู่เสวี่ยเยียนกระพือไหว ตอบอย่างเฉยชาว่า “ฝากขอบคุณคุณชายรองของเจ้าแทนข้าด้วย”

ปี้เอ๋อร์ยิ้ม “แม่นางฟู่ค่อยไปพบหน้าขอบคุณเขาด้วยตนเองวันพรุ่งนี้เถิด ข้าเป็นคนบอก เขาคงไม่ดีใจ”

ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้านิ่งๆ

ภารกิจลุล่วงแล้ว ปี้เอ๋อร์ก็กลับไปยังบ้านชิงเหลียน พอก้าวเท้าข้ามประตูมาก็เผชิญหน้ากับใต้เท้าเจ้าสำนักที่จับจ้องมาดร้ายอยู่อย่างจัง นางตกใจจนสะดุ้งโหยง “คุณชายรอง! ท่านทำอะไรเจ้าคะ ดึกดื่นไม่หลับไม่นอน มานั่งอยู่ตรงประตูแกล้งทำเป็นภูตผี ท่านอยากทำให้ข้าตกใจตายหรือไร”

ใต้เท้าเจ้าสำนักกระแอม “นางตอบว่าอย่างไร”

ปี้เอ๋อร์เลิกคิ้ว “จะตอบอย่างไรได้เล่าเจ้าคะ ก็รับไว้สิ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักถามต่ออย่างไม่ยอมจบ “แค่ แค่รับไว้หรือ ไม่มีคำพูดทำนอง…ขอบคุณข้าอะไรพวกนั้นหรือ”

ปี้เอ๋อร์มองคุณชายของตนเองอย่างหมดคำจะพูด “ลิ้นจี่จานเดียวเท่านั้น ท่านหวังว่าผู้อื่นจะมอบกายตอบแทนท่านหรืออย่างไร”

ใต้เท้าเจ้าสำนักเสตามองฟ้า

ปี้เอ๋อร์มองสำรวจเขารอบหนึ่ง “คุณชายรอง คงไม่ใช่ว่าท่านไม่รู้ว่าจะจีบผู้หญิงอย่างไรกระมัง”

“ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร” ใต้เท้าเจ้าสำนักพองขน เขาเด็ดใบไม้ออกมาใบหนึ่งแล้วเอ่ยงึมงำฟังไม่ชัด “แล้วต้องจีบอย่างไร”

ปี้เอ๋อร์ตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ “หากบุรุษจะจีบสตรีสักนางให้สำเร็จ ทำสามสิ่งนี้ให้ได้ก็เพียงพอแล้ว หนึ่งเอาใจใส่! สองกล้าหาญ! สามอ่อนหวาน! ขอเพียงท่านเป็นบุรุษที่ทั้งเอาใจใส่ กล้าหาญและรู้จักทำตัวอ่อนหวาน บนโลกใบนี้ย่อมไม่มีสตรีที่ท่านจีบไม่ติด!”

ใต้เท้าเจ้าสำนักหรี่ตาลงเหมือนครุ่นคิด “เอาใจใส่ กล้าหาญ อ่อนหวานหรือ”

รุ่งเช้ายามแสงอรุณสายแรกส่องผ่านม่านหมอก ส่องสว่างท้องฟ้าสีเทาขมุกขมัว ฟู่เสวี่ยเยียนตื่นจากห้วงฝัน สตรีตั้งครรภ์มักจะเข้าห้องน้ำบ่อยกว่าคนปกติทั่วไปเล็กน้อย นางสวมอาภรณ์ชั้นนอกแล้วเตรียมตัวจะไปปลดเบา ทว่าเพิ่งเปิดประตูออกมาก็เห็นใต้เท้าเจ้าสำนักอุ้มกระโถนน้อยสีทองแวววาวใบใหม่เอี่ยมยืนอยู่ที่ประตู

ใต้เท้าเจ้าสำนักสะบัดเส้นผมยาวสลวยปอยหนึ่งตรงหน้าผากแล้วถามเสียงขรึม “ชอบสิ่งที่เจ้าเห็นหรือไม่”

ฟู่เสวี่ยเยียน “…”

อากาศแจ่มใสดียิ่งนัก ใต้เท้าเจ้าสำนักบอกกล่าวเฉียวเวยแล้วเดินทางออกมาจากตระกูลจีพร้อมกันกับฟู่เสวี่ยเยียน ด้วยเหตุผลที่ว่าฟู่เสวี่ยเยียนไม่คุ้นเคยกับเมืองหลวง เขาจึงจะถือโอกาสนี้พานางไปเยี่ยมชมสถานที่โด่งดังในเมืองหลวงสักหน แม้เฉียวเวยจะรู้สึกว่าฟู่เสวี่ยเยียนน่าจะคุ้นเคยกับเมืองหลวงมากยิ่งกว่าเจ้าทึ่มคนนี้เสียอีก แต่ในเมื่อเป้าหมายของเจ้าทึ่มคนนี้ไม่ใช่การเที่ยวชมเมืองหลวงอยู่แล้ว นางจึงอนุญาตอย่างใจกว้างยิ่งนัก

ใต้เท้าเจ้าสำนักเลือกเวลาได้เหมาะอย่างยิ่ง ใกล้เวลาอาหารเที่ยงพอดี รถม้าเพิ่งมาถึงที่ตลาด เขาก็มุ่งหน้าไปยังเหลาสุราที่จองไว้ก่อนแล้ว จากนั้นเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวที่ดีที่สุดของเหลาสุรา

ห้องส่วนตัวห้องนี้แต่เดิมถูกผู้อื่นจองไว้แล้ว แต่ใต้เท้าเจ้าสำนักใช้เงินสิบเท่าแย่งมา เพื่อซื้อหนึ่งรอยยิ้มของคนงาม ใต้เท้าเจ้าสำนักสู้สุดใจอย่างยิ่ง

ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินอาดๆ เข้าไปในห้องแล้วหาเก้าอี้ตัวหนึ่งนั่งลง ก้นเพิ่งจะแตะเก้าอี้ก็นึกถึงคำพูดของปี้เอ๋อร์ขึ้นมาได้ “จำไว้นะเจ้าคะ ตอนกินข้าว ท่านต้องเลื่อนเก้าอี้ให้นาง”

เขารีบขยับตับไปดึงเก้าอี้ให้ฟู่เสวี่ยเยียน บังเอิญว่าเวลานี้ฟู่เสวี่ยเยียนทิ้งตัวนั่งลงมาแล้ว อีกเพียงนิดเดียวก้นก็จะแตะเก้าอี้ ทว่า ฟึบ! เขาดึงทีเดียว เก้าอี้ก็หายไป ฟู่เสวี่ยเยียนล้มก้นจ้ำเบ้าบนพื้น!

ใต้เท้าเจ้าสำนัก “…”