ตอนที่ 334-2 คุณชายรองตระกูลจีจีบภรรยา สวินหลันป่วยหนัก
ฝั่งนี้ฟู่เสวี่ยเยียนกับใต้เท้าเจ้าสำนักออกเดินทางกลับจวน ส่วนอีกด้านหนึ่งเฉียวเวยได้รับคำสั่งประการหนึ่งจึงไม่อาจไม่นั่งรถม้าออกมาจากจวน
เฉียวเวยนั่งรถม้าของวังหลวงมา ตอนเข้ามาในพระราชวังจึงไม่มีองครักษ์กล้าขวางทาง เมื่อเดินทางไปได้ระยะหนึ่งจนเกือบจะถึงประตูเฉิงเฉียน ฝูกงกงถึงสั่งให้จอดรถม้า
ฝูกงกงเปิดม่านรถให้เฉียวเวยด้วยตนเองแล้วเอื้อมมือมาประคองนาง เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ กระโดดลงมาด้วยตนเอง
ฝูกงกงยิ้ม “ฮูหยินอัครมหาเสนาบดีช่างมีร่างกายแข็งแรงจริงๆ”
เฉียวเวยยิ้ม “ไม่รู้จักธรรมเนียมเท่าไรนัก ขายหน้ากงกงแล้ว”
“ฮูหยินกล่าวเกินไปแล้ว” ฝูกงกงยิ้มพลางสะบัดไม้ปัดฝุ่น “ฮูหยินเชิญด้านนี้”
เฉียวเวยพยักหน้า เดินตามฝูกงกงเข้าไปในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้
พวกเขารับพระราชอโองการให้เดินทางลงใต้ แต่ภารกิจยังไม่ทันเสร็จสิ้นก็เดินทางกลับมาเมืองหลวง ไม่แปลกที่ฮ่องเต้จะเรียกหาพวกเขา
“ฝ่าบาท ฮูหยินอัครมหาเสนาบดีมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฝูกงกงกราบทูลจากนอกห้องทรงพระอักษรด้วยความนอบน้อม
“ให้นางเข้ามา”
ฝูกงกงผายมือให้เฉียวเวย “ฮูหยิน เชิญ”
“ขอบคุณกงกง” เฉียวเวยผงกศีรษะให้หนึ่งหนแล้วก้าวเข้าไปในห้องทรงพระอักษร
ฮ่องเต้กำลังอ่านฎีกาอยู่ ฎีกาบนโต๊ะกองพะเนินเหมือนภูเขา ฎีกาที่พิจารณาเสร็จแล้วกินพื้นที่ครึ่งน้อยในนั้น เฉียวเวยเดินเข้ามาในห้องแล้ว แต่ฮ่องเต้ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองนางทันที พระองค์พิจารณาฎีกาฉบับที่อยู่ในมืออย่างละเอียดจนเสร็จแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองนาง
วันนี้เฉียวเวยสวมกระโปรงคาดเอวสีแดงขาวกับเสื้อชายแขนแคบ เอวเข้ารูป คอปกตั้ง ดูแล้วเรียบง่ายคล่องตัวยิ่งนัก แต่สิ่งที่ฮ่องเต้มองกลับไม่ใช่เรื่องนี้
ฮ่องเต้ไล่นางกำนัลออกไปแล้วเอ่ยกับเฉียวเวยว่า “ไม่มีคนส่งชุดของฮูหยินตราตั้งไปให้หรือ”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ต้องสวมชุดตามยศด้วยหรือเพคะ ขออภัย หมิงซิวไม่อยู่ หม่อมฉันจึงไม่ค่อยรู้ธรรมเนียมในการเข้าเฝ้านัก”
ฮ่องเต้ตรัสว่า “ไม่เป็นไร ข้าเพียงถามไปอย่างนั้นเอง ข้าได้ยินว่าเจ้าเอาชนะผู้อาวุโสของสำนักซู่ซินจงได้ ข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีกับเจ้าเลย”
เฉียวเวยยิ้ม “เรื่องในยุทธภพเท่านั้น ต้องลำบากฮ่องเต้ใส่พระทัยทำให้หม่อมฉันไม่สบายใจจริงๆ”
ฮ่องเต้ดูเหมือนจะรู้จักธรรมเนียมของสำนักซู่ซินจงอยู่ พวกเขาไม่มีวันข้องเกี่ยวกับการต่อสู้ในราชสำนัก ตนเองย่อมใช้ประโยชน์จากพวกเขาไม่ได้ พอเอ่ยแสดงความยินดีประโยคหนึ่งเสร็จจึงไม่สนใจสำนักซู่ซินจงอีก “หนนี้ข้าเรียกหาเจ้า เจ้าคงรู้ว่าเพราะเรื่องใด”
“เพราะพวกหม่อมฉันเดินทางกลับเมืองหลวงก่อนกำหนดใช่หรือไม่เพคะ” เฉียวเวยถาม
ฮ่องเต้ตรัสตอบ “ถูกต้องแล้ว ตอนแรกข้าให้พวกเจ้าเดินทางลงใต้ ฉากหน้าบอกว่าจัดการน้ำ ความจริงเพื่อกวาดล้างทายาทของเผ่าเยี่ยหลัว ข้าให้เวลาพวกเจ้าครึ่งปี แต่พวกเจ้าไปสามเดือนก็กลับมาแล้ว อย่าบอกข้านะว่าคนเผ่าเยี่ยหลัวถูกสังหารสิ้นแล้ว”
เฉียวเวยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “กราบทูลฝ่าบาท คนเผ่าเยี่ยหลัวยังไม่ถูกสังหารสิ้น เพียงแต่พวกหม่อมฉันสืบหาที่สำนักซู่ซินจงอยู่นาน แต่ไม่พบสถานที่เกี่ยวพันกับเผ่าเยี่ยหลัวแต่อย่างใด พวกหม่อมฉันจึงบังอาจสันนิษฐานว่า ฐานที่มั่นของเผ่าเยี่ยหลัวไม่ได้อยู่ทางใต้”
ฮ่องเต้ฉงน “ไม่อยู่ทางใต้ ตอนแรกหมิงซิวบอกเองไม่ใช่หรือว่าสำนักซู่ซินจงเกี่ยวพันกับการตายของเจาหมิง”
เฉียวเวยถอนหายใจ “กราบทูลตามตรงไม่ขอปิดบัง ภายในสำนักซู่ซินจงมีสายลับของเผ่าเยี่ยหลัวอยู่จริง แต่สำนักซู่ซินจงไม่ใช่ฐานที่มั่นแห่งที่สองของเผ่าเย่ยหลัว”
ฮ๋องเต้ขมวดพระขนง “ถ้าอย่างนั้นสายลับเผ่าเยี่ยหลัวพวกนั้นสารภาพอะไรออกมาบ้าง”
เฉียวเวยตอบว่า “พวกเขารู้เรื่องราวไม่มาก เงื่อนงำสำคัญตอนนี้อยู่ที่ฉินปิงอวี่ เมื่อวันก่อนฉินปิงอวี่ยอมเปิดปากแล้ว ตอนนี้หมิงซิวกำลังอยู่ระหว่างทางไปเอาคำสารภาพ”
ฮ่องเต้มองเฉียวเวย “พวกเจ้ามีเวลาไม่มากแล้ว”
“หม่อมฉันทราบเพคะ” เฉียวเวยเผยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างยิ่ง “พวกหม่อมฉันจะพยายาม”
ฮ่องเต้พยักหน้า “ข้าได้ยินว่าเจ้าพาศิษย์น้องคนหนึ่งกลับมาจากสำนักซู่ซินจง นางเป็นผู้ใด”
เฉียวเวยคาดไว้แล้วว่าฮ่องเต้จะต้องถามเช่นนี้ นางจึงตอบตามที่แต่งเรื่องไว้ล่วงหน้า “กราบทูลฝ่าบาท นางเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสใหญ่ หนนี้เดินทางไปสำนักซู่ซินจงได้นางดูแล หม่อมฉันจึงเชิญนางมาเที่ยวเล่นที่เมืองหลวง”
ฮ่องเต้ทำท่าครุ่นคิด “ศิษย์ของผู้อาวุโสใหญ่หรือ ชาติกำเนิดเป็นมาอย่างไร”
เฉียวเวยคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะถามถึงชาติกำเนิดของฟู่เสวี่ยเยียน แววตาไหววูบหนึ่งก็ตอบว่า “นาง…เป็นญาติสายรองของจวนเทพสงครามแห่งหนานฉู่เพคะ”
ขอโทษนะแม่ทัพน้อยมู่ ขอเอาครอบครัวเจ้าเป็นโล่กันธนูก่อนก็แล้วกัน
ฮ่องเต้สีหน้าชะงักไปวูบหนึ่ง “ที่แท้ก็คนของจวนเทพสงคราม ข้าได้ยินว่าเจ้ากับแม่ทัพน้อยมู่มีมิตรไมตรีต่อกันไม่เลว ไม่แปลกที่นางจะช่วยเจ้า”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ
“นางหมั้นหมายหรือยัง” ฮ่องเต้ตรัสถามอีก
เฉียวเวยสำลัก ฮ่องเต้ท่านคิดอะไรอยู่
ฮ่องเต้พึมพำ “เจ้าเก้าของข้าก็ยังไม่มีคู่หมั้น…”
เจ้าเก้า? หลี่อวี้น่ะหรือ ฮ่องเต้หนอฮ่องเต้ ท่านอย่าพรากคู่ยวนยางหน่อยเลย หลี่อวี้กับตัวหลัวหมิงจูมีใจให้กันตั้งนานแล้ว ท่านพระราชทานสมรสให้พวกเขาเลยเถอะ!
“ฝ่าบาท อย่างไรเสียนางก็เป็นคนหนานฉู่ เรื่องการแต่งงานของนาง หม่อมฉันคงไม่สะดวกเข้าไปยุ่ง”
ฮ่องเต้ตรัสว่า “เจ้าไม่ใช่เจ้าสำนักของนางหรือ เจ้าแนะนำคู่ครองให้นางสักคน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดกระมัง”
เฉียวเวยแสร้งทำเป็นลำบากใจ “แม่ทัพน้อยมู่รักน้องสาวร่วมสกุลคนนี้มากที่สุด หากหม่อมฉันหมั้นหมายลูกพี่ลูกน้องของเขาโดยที่ไม่ได้รับคำยินยอมจากเขา เขารู้เข้าจะต้องสังหารหม่อมฉันแน่นอน!”
ฮ่องเต้สรวล “เจ้าก็มีคนที่กลัวกับเขาด้วยหรือ”
เฉียวเวยคลี่ยิ้มแต่ดวงตาไม่ยิ้ม
ฮ่องเต้สรวลพอแล้วก็ตบพระที่นั่ง “เอาเถิด ข้าก็ลองถามดูเท่านั้น เจ้าไม่เห็นด้วยก็ถือเสียว่าข้าไม่เคยพูด”
เฉียวเวยตอบอย่างเกรงใจ “ฝ่าบาท เรื่องเผ่าเยี่ยหลัว พวกหม่อมฉันกำลังคิดหาวิธีอยู่ หากท่านไม่มีเรื่องใดแล้ว หม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ”
ฮ่องเต้ยกมือขึ้นโบก “เจ้าไปเถิด เดินทางลงใต้หนนี้ลำบากแล้ว ไปเลือกของที่ชอบสักสองสามอย่างจากในท้องพระคลังก็แล้วกัน”
เฉียวเวยคำนับอย่างนอบน้อม “ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท!”
หลังเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร นางก็ผ่อนลมหายใจยาว การสนทนากับฮ่องเต้ไม่ใช่เรื่องสบายเลยจริงๆ ฉากหน้าเขายิ้มแย้มเอ่ยวาจาอ่อนโยนกับเจ้า ทำตัวเหมือนกับผู้อาวุโสในครอบครัวไม่แตกต่างสักนิด แต่หากเผลอมองเขาเป็นผู้อาวุโสในครอบครัวเข้าจริงๆ จะถูกเขาหยอกเล่นจนตายเมื่อใดก็ไม่อาจทราบ
เฉียวเวยจัดแขนเสื้อแล้วเดินตามฝูกงกงไปยังท้องพระคลัง
…
ณ เรือนลั่วเหมย เหล่าฮูหยินกำลังนั่งตากลมอยู่ใต้ร่มไม้ ทันใดนั้นสาวใช้ก็เข้ามารายงานว่าโจวมามามาขอพบ
จีเหล่าฮูหยินพยักหน้า โจวมามาเดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าร้อนรน “เหล่าฮูหยิน ท่านรีบไปดูฮูหยินเถิดเจ้าค่ะ นางไม่สบายแล้ว!”
“นางไม่สบายตรงไหน” จีเหล่าฮูหยินถาม
โจวมามาตอบว่า “เช้าขึ้นมาก็รู้สึกปวดท้อง ตอนแรกคิดว่ากินของไม่ดีเข้าไป แต่หลังจากวิ่งไปเข้าห้องน้ำหลายครั้งก็ยังไม่เห็นว่าจะดีขึ้น ตอนนี้ไม่เพียงปวดท้อง แต่เริ่มปวดหัวขึ้นมาด้วยแล้ว!”
จีเหล่าฮูหยินร้อนใจเป็นห่วงก้อนเนื้อในท้องของนาง “ถ้าอย่างนั้นยังจะรออะไร รีบไปเรียกเสี่ยวเวยสิ! นางเป็นหมอ!”
หรงมามาขยับเข้าไปบอกจีเหล่าฮูหยินว่า “ฮูหยินน้อยเพิ่งถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้าวังไปเจ้าค่ะ”
จีเหล่าฮูหยินจึงบอกว่า “ถ้าอย่างนั้น…ถ้าอย่างนั้นก็ไปเชิญหมอเจิงที่หอหลิงจือมาเร็ว!”
หรงมามารีบสั่งคน หมอเจิงมาถึงไวยิ่งนัก เขาหิ้วล่วมยาลงจากรถม้าเดินไปที่เรือนหลีฮวา หมอเจิงจับชีพจรให้สวินหลัน จากชีพจรไม่มีอาการผิดปกติอันใด แต่สีหน้าซีดเผือดอยู่บ้าง อาจเพราะเจ็บปวด แต่อาจจะเป็นเพราะไข้แดดก็ได้
หมอเจิงให้ยาบำรุงครรภ์กับนางเล็กน้อย โจวมามาวิ่งไปรับยาที่หอหลิงจือเอากลับมาต้มให้สวินหลันดื่ม แต่สวินหลันดื่มลงไปแล้วอาการกลับไม่ดีขึ้น ตรงกันข้ามนางกลับสะลึมสะลือแล้วหมดสติไป