ตอนที่ 2,615 : เซียนอมตะสวรรค์จันทร์คราม
“ใช่ท่านเจ้าเมือง…”
ถูกเจ้าเมืองซักถามเรื่องดังกล่าว เหมียวไหลหลงก็พยักหน้าตอบรับอย่างไม่รอช้า
ที่มันมาจวนเจ้าเมืองวันนี้ก็เพื่อมอบหินอมตะที่กองทัพมังกรเงินของมันขุดได้ตลอดทั้งเดือนให้กับเจ้าเมืองเฉวี่ยโยว…
และไม่ว่าจะเป็นกองทัพมังกรเงินหรือกองทัพมังกรดำ แต่หินอมตะที่ขุดขึ้นมาได้ 8 ส่วนนั้น…จะต้องนำมามอบให้เจ้าเมืองเฉวี่ยโยว! ส่วน 2 ส่วนที่เหลือก็เป็นเบี้ยหวัดของทหารทั้งกองทัพ!
และในช่วงต้นเดือนของแต่ละเดือน ผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงิน และผู้บัญชาการกองทัพมังกรดำ จะต้องเดินทางเข้าเมืองเฉวี่ยโยวมาส่งมอบหินอมตะที่จวนเจ้าเมืองเฉวี่ยโยว
และที่เหมียวไหลหลงมาวันนี้ก็เพื่อมอบหินอมตะนั่นเอง
“ข้าได้ยินมาว่า…เมื่อเดือนที่แล้วแม่ทัพของกองทัพมังกรดำนามต้วนหลิงเทียนได้ทำลายแขนกับขาของ หยางกงผิง แม่ทัพในกองทัพมังกรเงินและน้องเขยของเจ้าไปอย่างละข้าง แถมหลังเกิดเรื่องน้องสาวเจ้าก็พามันไปหาเจ้าที่ค่ายกองทัพมังกรเงินทันที…”
กล่าวถึงจุดนี้หลิ่วเฟิงกู่ก็มองเหมียวไหลหลงด้วยสายตาล้ำลึก เอ่ยถามขึ้นว่า “หรือ…น้องสาวเจ้าที่ไปหามิได้ร้องขอให้เจ้าออกหน้าล้างแค้นแทนสามีของนาง น้องเขยเจ้า?”
“ท่านเจ้าเมือง…”
เหมียวไหลหลงคล้ายทราบแต่แรกว่าสักวันต้องถูกถามเรื่องนี้ ทำให้ทันทีที่หลิ่วเฟิงกู่กล่าวถามจบคำ มันก็ตอบกลับมาทันที “ข้าทราบเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว…แต่เรื่องทั้งหมดเป็นน้องเขยข้า หยางกงผิง กระทำผิดต่อผู้อื่นเขาก่อนจริงๆ”
“ต่อให้มันเป็นฝ่ายผิดต่อผู้อื่นเขาก่อน…ทว่าการลงมือของแม่ทัพต้วนหลิงเทียนคนนั้นมิใช่ทำเกินไปหน่อยหรือ เจ้าทนรับเรื่องนี้ได้จริงๆ?”
หลิ่วเฟิงกู่หยีตาถามออกด้วยรอยยิ้ม
มันไม่อาจรู้นิสัยของเหมียวไหลหลิงดีไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่หยางกงผิงไม่ใช่แค่แม่ทัพของเหมียวไหลหลงอย่างเดียว แต่เป็นถึงน้องเขยเหมียวไหลหลงเลยด้วยซ้ำ!
ต่อให้หยางกงผิงเป็นแค่แม่ทัพของเหมียวไหลหลงอย่างเดียวจริงๆ คนอย่างเหมียวไหลหลงก็ไม่มีวันปลอยเรื่องนี้ไปแน่!!
“ข้าเองก็รู้สึกทนไม่ไหว…แต่เพื่อเห็นแก่ผลประโยชน์ของเมืองเฉวี่ยโยวรวมถึงมณฑลจิ่วโยวแล้ว ข้าได้แต่ตัดสินใจว่า ข้าต้องทนรับมันให้ได้!”
เหมียวไหลหลงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงกล้ำกลืน
“เพื่อเห็นแก่ผลประโยชน์ของเมืองเฉวี่ยโยวรวมถึงมณฑลจิ่วโยว?”
หลิ่วเฟิงกู่ตกใจไม่น้อย “ไฉนเจ้าถึงกล่าวเช่นนี้เล่า?”
“ท่านเจ้าเมือง…ท่านรู้หรือไม่ว่า แม่ทัพของกองทัพมังกรดำต้วนหลิงเทียนผู้นั้น เป็นเพียงผู้ที่พึ่งขึ้นมาจากระนาบโลกียะได้แค่เดือนครึ่งเท่านั้น?”
เหมียวไหลหลงกล่าว
“เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมาบ้าง”
หลิ่วเฟิงกู่กล่าวออกด้วยน้ำเสียงไม่ใสใจ “เมื่อเดือนที่แล้วในเหลาอาหารไหลเฟิ่ง เป็นไป่ฟูฉางของเจ้าคนหนึ่งพูดออกมา…ว่าต้วนหลิงเทียนแม่ทัพของกองทัพมังกรดำนั่น เป็นเพียงผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มาเมื่อครึ่งเดือนก่อน นอกจากนั้นยังพูดมาอีกว่าต้วนหลิงเทียนผู้นั้นยังขึ้นมาจากสระกำเนิดเซียนอมตะ!”
“ช่างเหลวไหลสิ้นดี!!”
“เซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่ที่พึ่งออกมาจากสระกำเนิดเซียนอมตะ…จะมีพลังฝีมือร้ายกาจอย่างแม่ทัพต้วนหลิงเทียนผู้นั้นได้หรือ?”
ขณะกล่าวประโยคท้ายหลิ่เฟิงกู่ก็ส่ายหัวไปมา
ผู้ที่พึ่งขึ้นมายังหลิงหลัวเทียน และกลายเป็นเซียนอมตะสวรรค์จันทร์แดง จะไปเป็นตัวตนระดับแม่ทัพของ 1 ใน 2 กองทัพมันได้อย่างไร กระทั่งจะเอาพลังฝีมือที่ไหนไปทำร้ายแม่ทัพคนหนึ่งของกองทัพมังกรเงินจนพิกกลพิการ?
ในความคิดของมันเรื่องแบบนี้เป็นไปไม่ได้เลย!!
“ท่านเจ้าเมือง…ดูเหมือนท่านจะไม่เชื่อเรื่องนี้ใช่หรือไม่?”
เหมียวไหลหลงคลี่ยิ้มขื่นขม
“อะไร? หรือเจ้าเชื่อ?”
หลิ่วเฟิงกู่กล่าวถาม
“ท่านเจ้าเมือง…ถึงแม้ในระนาบเทวโลกจักไม่มีการกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เยี่ยงระนาบโลกียะ…และข้าคงมิอาจใช้ทรัพสมบัติใดๆกระทั่งชีวิตของข้าเป็นหลักประกันเพื่อให้ท่านเชื่อเรื่องนี้…”
เหมียวไหลหลงมองไปยังเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวด้วยสายตาจริงจัง กล่าวว่า “แต่ตัวข้าขอหน้าด้านเอาชีวิตของข้าเป็นหลักประกันสักครั้ง! ว่าต้วนหลิงเทียนผู้นั้นเป็นแค่คนที่พึ่งขึ้นสวรรค์และพึ่งมาปรากฏตัวในหลิงหลัวเทียนเราได้แค่เดือนครึ่งจริงๆ!!”
“ในวันนั้นนอกจากไป่ฟูฉางกับสือฟูฉางที่อยู่ในกองทัพของข้าแล้ว ยังมีผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์ในรอบเดียวกับต้วนหลิงเทียนแทบทุกคนที่เห็นมันอยู่ในสระกำเนิดเซียนอมตะ เพราะตัวมันใช้เวลาอยู่ในสระนานกว่าใครเขา…หากท่านเจ้าเมืองห่วงเรื่องที่ข้าจะสั่งคนของข้าให้รวมหัวกันโป้ปดต่อท่าน ท่านเพียงไปตามตัวผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์ในรอบเดียวกับต้วนหลิงเทียน และเห็นต้วนหลิงเทียนในสระ มาตรวจสอบหาข้อเท็จจริงได้…”
หลังกล่าวรับประกันจบ เหมียวไหลหลังยังกล่าวชี้แนะออกมา
“ไหลหลง เจ้ารับใช้ข้ามาหลายปี…ข้าไหนเลยจะไม่เชื่อที่เจ้ากล่าว”
พอเห็นว่าเหมียวไหลหลงเอาจริงเอาจังถึงขั้นกล่าวแนะนำให้มันไปตามตัวผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มาตรวจสอบข้อมูล หลิ่วเฟิงกู่ก็หวั่นไหวเล็กน้อย “แต่ข้าถามตรงๆ ตัวเจ้าเองยังคิดว่าเรื่องนี้สามารถเป็นไปได้ด้วยเหรอ? เซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่ที่พึ่งขึ้นมายังหลิงหลัวเทียน กลับมีพลังฝีมือร้ายกาจถึงขั้นเอาชนะตัวตนระดับแม่ทัพคนหนึ่งได้ง่ายดายจริงๆ?”
“และหากข้าจดจำมิผิด…แม่ทัพหยางกงผิงน้องเขยของเจ้าผู้นั้น พลังฝึกปรือของมันก็บรรลุถึงจินเซียนตะวันแสดแล้ว ทั้งกล่าวได้ว่าพลังฝีมือของมันต่อให้เป็นในบรรดาแม่ทัพทั้ง 10 ของกองทัพมังกรเงินเจ้า มันก็ร้ายกาจติด 3 อันดับแรก!”
“เช่นนั้นก็อย่าได้กล่าวถึงเซียนอมตะสววรรค์หน้าใหม่ที่พึ่งขึ้นมายังหลิงหลัวเทียนเลย…เพราะต่อให้เป็นจินเซียนหน้าใหม่ที่พึ่งขึ้นมายังหลิงหลัวเทียน ก็มิมีทางเป็นคู่มือของหยางกงผิงได้!”
ถึงแม้หลิ่วเฟิงกู่จะหวันไหวไปบ้าง แต่มันก็ยังคงไม่เชื่ออยู่ดี
“ท่านเจ้าเมือง…เท่าที่ข้ารู้มาวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังทั้งหลายที่แม่ทัพต้วนหลิงเทียนผู้นั้นเชี่ยวชาญ มีระดับสูงล้ำยิ่งนัก กระทั่งมันยังมีทักษะพิสดารสามารถช่วงชิงศาสตราเซียนอมตะจากมือผู้อื่นได้อีก!”
“เมื่อหนึ่งเดือนครึ่งมีสือฟูฉางกับไป่ฟูฉางของข้าได้สู้กับมันที่สระกำเนิดเซียนอมตะ แต่หนึ่งพิการแขนขา อีกหนึ่งตายตก! ทั้งสองมิใช่คู่มือมันแม้แต่น้อย!!”
เหมียวไหลหลงกล่าว
“ข้า…เพราะทราบว่ามันเป็นแค่เซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่แต่กลับมีพลังฝีมือร้ายกาจขนาดนี้ จึงรู้ดีว่าวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังของมันเลิศล้ำถึงเพียงใด และนั่นจะเป็นประโยชน์ต่อเมืองเฉวี่ยโยวกระทั่งมณฑลเฉวี่ยโยวของพวกเรามหาศาลขนาดไหน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าเลือกกล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้ และไม่ติดตามไปหาความเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว…”
เหมียวไหลหลงยังคงกล่าวออกมาด้วยสีหน้าท่าทางชอบธรรมและใจกว้างเห็นแก่ส่วนรวม “หาไม่แล้วด้วยนิสัยของข้าที่ท่านเองก็รู้ดี…ตัวข้าไหนเลยจะมีวันปล่อยให้เรื่องเมื่อเดือนที่แล้วจบลงง่ายๆเช่นนี้ได้?!”
“ท่านเจ้าเมือง หากท่านต้องการสอบถามเหล่าผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มารอบเดียวกันกับต้วนหลิงเทียน เพื่อยืนยันฐานะต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นมิสู้ท่านติดตามข้าไปยังค่ายกองทัพมังกรเงินเลยเล่า? ข้าจะได้ตามตัวผู้ที่พึ่งขึ้นมายังสวรรค์เมื่อเดือนครึ่งรอบเดียวกับต้วนหลิงเทียนมาให้ท่านเพื่อยืนยืน”
เหมียวไหลหลงมองหลิ่วเฟิงกู่พลางกล่าวออกด้วยสีหน้าทั้งน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าพวกนั้นจะอย่างไรก็พึ่งขึ้นมายังหลิงหลัวเทียนได้แค่เดือนครึ่งเท่านั้น…ในสายตาของพวกมัน ตัวท่านย่อมมีอำนาจบารมีเหนือกว่าผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินเช่นข้ามากมายนัก…เช่นนั้นพวกมันจึงไม่มีทางเห็นแก่ตัวข้าที่เป็นผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงิน จนกล้าโกหกหลอกลวงท่านเจ้าเมืองเป็นแน่!!”
“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้ากล่าวมาถึงขนาดนี้แล้ว…เช่นนั้นข้าจะลองติดตามเจ้าไปดู!”
อันที่จริงหลิ่วเฟิงกู่ก็เริ่มเชื่อคำพูดของเหมียวไหลหลงขึ้นมาบ้างแล้ว แต่มันก็ยังตัดสินใจจะไปที่นั่นเพื่อยืนยันด้วยตัวเอง
ก็เป็นดั่งที่เหมียวไหลหลงกล่าว
สำหรับผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนแห่งนี้ อำนาจบารมีของเจ้าเมืองเฉวี่ยโยว ย่อมเหนือกว่าผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินแน่นอน!
ภายใต้คำสั่งของมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ตัวตนกระจ้อยร่อยเช่นนั้นจะกล้าโกหกต่อหน้า!
นอกจากนั้นหากทั้งหมดเป็นความจริง ก็สามารถอธิบายเรื่องราวทุกอย่างได้ทันที ว่าไฉนเหมียวไหลหลงถึงไม่ไปล้างแค้นและมอบความอัปยศอดสูให้ต้วนหลิงเทียนตั้งแต่เดือนที่แล้ว…
“ท่านเจ้าเมืองเชิญ…”
สองตาของเหมียวไหลหลงกระพริบวาบ จากนั้นมันก็ลุกขึ้นยืนเร็วไว มองไปทางหลิ่วเฟิงกู่ก่อนจะทำท่าผายมือ ‘เชื้อเชิญ’
ครู่ต่อมาหลิ่วเฟิงกู่ก็เหินร่างออกไป
เหมียวไหลหลงก็ตามไปติดๆ
ขณะที่ติดตามหลิ่วเฟิงกู่ออกจากจวนเจ้าเมืองเฉวี่ยโยว กระทั่งออกจากเมืองเฉวี่ยโยวและมุ่งหน้าไปยังค่ายของกองทัพมังกรเงิน สองตาเหมียวไหลหลงก็เผยประกายภาคภูมิใจ และมันก็ลอบกล่าวในใจอย่างสนุกสนานลับๆว่า
‘ต้วนหลิงเทียน นี่มันยังพึ่งเริ่มต้นเท่านั้น…วันหน้าหากมีโอกาสข้าจักกระจายเรื่องที่เจ้ากำลังหอบหิ้ว ‘สมบัติล้ำค่า’ เช่นนี้ต่อไป!’
‘แต่แน่นอนว่ากว่าจะถึงตอนนั้น เจ้าต้องผ่านด่านของเจ้าเมืองเฉวียโยวให้ได้เสียก่อน!’
พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ลึกลงไปในแววตาของเหมียวไหลหลงก็เผยประกายดุร้ายอาฆาตน่ากลัว ราวจิตใจมันบิดเบี้ยวไปแล้ว
ทั้งหมดเป็นเพราะตั้งแต่ที่มันเห็นถึงพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน มันก็รู้ดีแก่ใจว่าชั่วชีวิตนี้มันไม่มีวันไล่ตามต้วนหลิงเทียนได้ทัน
นอกจากนั้นเป็นเพราะต้วนหลิงเทียนได้บีบคั้นให้มันส่งมอบเคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับเหลืองออกไป ก็เสมือนอีกฝ่ายกอบกุมเส้นชีวิตของมันเอาไว้อย่างแน่นหนา! จึงไร้หนทางที่มันจะล้างแค้นต้วนหลิงเทียนด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้วได้อีกต่อไป!!
อย่างไรก็ตามแม้มันจะรู้ดีแก่ใจว่ามันไม่อาจล้างแค้นเรื่องต้วนหลิงเทียนเมื่อเดือนก่อนได้ด้วยพลังของตัวเอง แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่อาจใช้ความเลิศล้ำของวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังที่ต้วนหลิงเทียนมีมาทำลายตัวต้วนหลิงเทียนเองได้!!
มันเชื่อ…
ว่าเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวของมันจะต้องบังเกิดความสนใจ และความโลภต่อวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังที่ต้วนหลิงเทียนเชี่ยวชาญแน่นอน!
ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานการล่อลวงจากวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังระดับนี้ได้!
…
ณ ค่ายมังกรดำ
ต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ย่อมไม่อาจทราบได้เลย ว่าเหมียวไหลหลงกำลังลอบลงมือกระตุกขาหลังเขาลับๆ เพราะตัวเขายังคงจมจ่อมอยู่ในภวังค์บ่มเพาะอย่างไม่รู้หน่าย…
ระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาทำให้เขาเข้าใจเคล็ดวิชาบ่มเพาะผลึกรัศมีลี้ลับได้บ้างแล้ว ขณะเดียวกันเขาก็สามารถสัมผัสได้ชัดเจน
ว่าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างของเขายิ่งมาก็ยิ่งบริสุทธิ์มากขึ้น!
ใจเขารู้ได้ทันทีว่านี่เป็นผลพวงที่เกิดขึ้นกับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเขา จากวิชาบ่มเพาะของระนาบเทวโลกอย่าง ผลึกรัศมีลี้ลับ!
นอกจากนั้นต้วนหลิงเทียนยังพบอีกว่า
แม้จะบ่มเพาะพลังอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน แต่ยามโคจรพลังตามเคล็ดผลึกรัศมีลี้ลับนั้น เขาสามารถบ่มเพาะพลังได้รวดเร็วกว่าการโคจรด้วยเคล็ด 9 มังกรจักรพรรดิสงครามของระนาบโลกียะ!ยังสัมผัสได้ถึงความเร็วในการบ่มเพาะที่เพิ่มพูนขึ้นชัดเจน!!
ในพริบตา วันเวลาก็ได้ล่วงเลยไปอีก ครึ่งเดือน…
“ทะลวงแล้ว!”
ในกระโจม ต้วนหลิงเทียนที่นั่หลับตาบ่มเพาะพลัง อยู่ๆก็เบิกตาโพลงเผยประกายระยิบระยับปานดวงดารา ใบหน้าที่สงบจากการบ่มเพาะพลังค่อยๆปรากฏรอยยิ้มแห่งความยินดีเจือไว้ด้วยความตื่นเต้นเล็กๆคลี่กางขึ้น
ในที่สุด ต้วนหลิงเทียนก็ทะลวงถึงขอบเขตเซียนอมตะสวรรค์จันทร์ครามได้เป็นที่เรียบร้อย!
แม้กระทั่งเซียนอมตะสวรรค์จันทร์ม่วงอันเป็นจุดสูงสุดของขอบเขตเซียนอมตะสวรรค์ ก็อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว
“ตอนนี้หากให้ข้าเจอกับผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินอย่างเหมียวไหลหลงนั่นอีกรอบ…ถึงจะไม่ต้องใช้ศาสตราเซียนอมตะทั้งยึดอาวุธของมันมา ข้าก็น่าจะเอาชนะมันได้ง่ายๆ!”
ในขณะที่บ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของพังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่าง
ตอนนี้เมื่อเขาทะลวงด่านได้สำเร็จ พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเขาก็ยกระดับพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น…
แน่นอนว่าหากเป็นแค่ความก้าวหน้าหนึ่งขั้นพลังตามปกติเขาย่อมไม่อาจเอาชนะเหมียวไหลหลงได้ โดยไม่ต้องใช้กระบี่เซียนอมตะและแย่งชิงอาวุธของมัน
ทว่าความก้าวหน้าใน 1 ขั้นพลังนี้ของต้วนหลิงเทียน มีเรื่องราวความเป็นไปลึกซึ้งกว่านั้น
นั่นเพราะด้วยการโคจรพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดตามเคล็ดผลึกรัศมีลี้ลับ ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาของระนาบเทวโลก ยามเมื่อเขาร่ายเวทย์พลังสนับสนุนอย่างปฐมเวทย์กลืนกินอีกครั้ง พลังที่เพิ่มพูนแน่นอนต้องเพิ่มขึ้น!
ยังสมควรเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้มาก!
‘ไม่รู้จริงๆ…ว่าหากตอนนี้ข้าใช้ปฐมเวทย์กลืนกินแล้ว พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของข้าจะยกระดับขึ้นไปกี่ขั้น?’
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นต้วนหลิงเทียนจึงใช้ปฐมเวทย์กลืนกินอย่างไม่รอช้า เริ่มดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินในอาณาบริเวณรอบๆกระโจมของเขาทันที…
ยังดีที่แถวนี้มีพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นมากพอ
หาไม่แล้วการที่ต้วนหลิงเทียนทำแบบนี้ ต้องทำให้คนอื่นตกใจแน่นอน!