WSSTH ตอนที่ 2,617 : เสนอ ‘ข้อตกลง’

ห่างออกมาจากสถานที่ตั้งค่ายกองทัพมังกรดำนับพันลี้ ต้วนหลิงเทียนกับเจ้าเมืองเฉวี่ยโยว ได้หยุดร่างค้างกลางหาวเผชิญหน้ากันตรงๆ

ต้วนหลิงเทียนเพียงมองหลิ่วเฟิงกู่อย่างใจเย็น รอให้อีกฝ่ายเปิดประเด็น

หลิ่วเฟิงกู่มองไปยังชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าด้วยความสนใจ และพอนึกถึงฉากเรื่องราวการไต่สวนที่เกิดขึ้นในค่ายกองทัพมังกรเงินวันนี้จนสามารถยืนยันเรื่องราวได้แล้ว ในใจของมันก็สั่นสะท้านยากระงับ…

ชายหนุ่มชุดม่วงที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งแม่ทัพของกองทัพมังกรดำคนนี้ ที่แท้กลับเป็นผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนได้แค่เดือนครึ่งเท่านั้น…!

ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังเป็นผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มาจากสระกำเนิดเซียนอมตะ!

สระกำเนิดเซียนอมตะ คือสถานที่รองรับเหล่าครึ่งก้าวเซียนอมตะที่ขึ้นมายังสวรรค์ และเป็นสถานที่ปรับพลังให้ครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้งหลายบรรลุถึงขอบเขตเซียนอมตะสวรรค์จันทร์แดง!

สระกำเนิดเซียนอมตะในเมืองเฉวี่ยโยวนั้นมีมากมายหลายสระ และถูกกองทัพมังกรเงินกับมังกรดำแบ่งกันไปดูแล…

ผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนนั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่มาปรากฏตัวในสระกำเนิดเซียนอมตะภายในเมืองเฉวี่ยโยว หลังจากที่ได้กลายเป็นเซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่แล้ว ก็มักจะถูกคนของกองทัพมังกรเงินหรือกองทัพมังกรดำพาตัวไปทันที เพื่อเอาไปเป็นแรงงานไว้ขุดหินอมตะ…

ตลอดประวัติศาสตร์ของหลิงหลัวเทียน มีผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มาไม่กี่คนเท่านั้น ที่สามารถหลีกหนีชะตากรรมดังกล่าวได้…

อย่างไรก็ตามมันไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ

ในขณะที่มันกำลังดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองเฉวี่ยโยว แต่กลับมีผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์คนหนึ่งมาปรากฏตัวในสระกำเนิดเซียนอมตะภายใต้การดูแลของเมืองเฉวี่ยโยวมัน พอขึ้นจากสระไม่ทันไร ก็สามารถเข่นฆ่าสังหารไป่ฟูฉางของกองทัพมังกรเงินมันแล้วหลบหนีไปได้!

หลังจากนั้นมิคาด คนไม่เพียงไม่ได้หนีไปไหนไกล กลับไปเข้าร่วมกับกองทัพมังกรดำ…ยังได้เป็นถึงแม่ทัพคนหนึ่ง!

ยิ่งไปกว่านั้นยังพิสูจน์ฝีมือให้ทุกคนได้รับทราบ ว่าหาได้ด้อยไปกว่าแม่ทัพคนใดในกองทัพมังกรเงินและกองทัพมังกรดำไม่! และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือยังไม่แน่ว่าจะอ่อนด้อยกว่าชนชั้นผู้บัญชาการ!!

“แม่ทัพต้วนหลิงเทียน”

หลังเงียบมองสบตาต้วนหลิงเทียนอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดหลิ่วเฟิงกู่ก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน “หากข้าเดาไม่ผิด…เจ้าสมควรปะทะกับเหมียวไหลหลงผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินของข้าไปแล้ว และยังเอาชนะมันได้?”

“มันบอกท่านงั้นหรือ?”

ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

“เปล่า”

หลิ่วเฟิงกู่ส่ายหน้าไปมา “ข้าเดาเอาเอง…”

ต้วนหลิงเทียนก็คิดเช่นนั้น

เขาไม่เชื่อว่าเหมียวไหลหลงมันจะกล้าเอาเรื่องนี้มาฟ้องเจ้าเมืองเฉวี่ยโยว

เพราะสุดท้ายแล้วหากมันเอาเรื่องนี้มาฟ้อง สุดท้ายก็ไม่ต่างจากพากันล่มจมไปด้วยกันทั้งคู่

เหมียวไหลหลงได้ฝ่าฝืนกฏ และส่งมอบเคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับเหลืองให้เขา จึงไม่ต่างอะไรกับเขากุมเส้นชีวิตของมันไว้ในกำมือ เว้นเสียแต่เหมียวไหลหลงจะคุ้มคลั่ง ถึงขั้นยอมเป็นหยกแหลกลาญไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์แล้วจริงๆ มันถึงจะเอาไปฟ้อง…

“เหมียวไหลหลงทำงานรับใช้ข้ามาหลายปีแล้ว ข้าย่อมล่วงรู้นิสัยใจคอของมันเป็นอย่างดี”

หลิ่วเฟิงกู่กล่าวสืบต่อ “หากไม่ใช่เพราะมันไปลงมือต่อเจ้าแล้วแพ้พ่ายเจ้ามา…ด้วยนิสัยของมัน ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา มันไม่มีทางเลิกราเรื่องนี้ง่ายๆแน่นอน”

“เพียงแค่ข้าเองก็อยากรู้ไม่น้อย…เพราะปกติแล้วถึงมันจะพ่ายแพ้แก่เจ้า มันไม่พ้นวิ่งโร่มาหาข้าเพื่อขอคำอธิบายแน่ เพราะสุดท้ายต่อให้ข้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า ก็ยังมีมณฑลจิ่วโยวอยู่เบื้องหลังข้า! ทว่าข้าไม่คิดเลยว่าตอนที่ได้พบมัน ไม่เพียงแต่มันจะไม่ฟ้องเรื่องนี้ แต่ยังเป็นคนพูดเองว่าไม่คิดเอาเรื่องเจ้าอีกต่อไป…”

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ หลิ่วเฟิงกู่ก็มองจ้องต้วนหลิงเทียน ค่อยพูดว่า “หากข้าเดาไม่ผิด…เหมียวไหลหลงน่าจักตกอยู่ในกำมือของเจ้า เพราะเรื่องบางอย่างใช่หรือไม่?”

ได้ยินหลิ่วเฟงกู่เอ่ยถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอยู่บ้าง

เพราะที่เจ้าเมืองเฉวี่ยโยวพูดออกมา ทำราวกับเห็นเรื่องระหว่างเขากับเหมียวไหลหลงมากับตา

น่าแปลกใจไม่น้อย!

“เมื่อไม่นานมานี้ผู้บัญชาการกองทัพมังกรดำของเจ้า เฉินเฉวียนป้า เคยมาเข้าพบข้า และบอกว่าเจ้าอยากได้เคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับเหลืองที่ข้ามอบให้มันอย่างเคล็ดผลึกรัศมีลี้ลับ…หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าสมควรบีบคั้นเหมียวไหลหลงจนมันส่งเคล็ดวิชาผลึกรัศมีลี้ลับนั่นให้เจ้าแล้วใช่หรือไม่?”

พอหลิ่วเฟิงกู่กล่าวประโยคนี้จบคำ สายตามันก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็งอีกรอบ

ด้านต้วนหลิงเทียนพอได้ยิน สีหน้าแต่เดิมที่เคยสงบ ก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

อย่างไรก็ตามแม้สีหน้าเขาจะเปลี่ยนไปแค่เพียงเล็กน้อย ทว่าหลิ่วเฟิงกู่ที่จับจ้องมองมาตาเขม็งย่อมสังเกตเห็นได้ชัดเจน “ดูเหมือนข้าจะเดาถูกจริงๆ…”

พอเห็นต้วนหลิงเทียนเริ่มโค้งคิ้วขึ้น และให้ความรู้สึกระวังตัวขึ้นเล็กน้อย หลิ่วเฟิงกู่ก็กล่าวสืบต่อว่า “เจ้าอย่าได้กังวลไป ข้าไม่คิดจะมาหาความเรื่องนี้…”

“หืม?”

คราวนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจแล้วจริงๆ เมื่อได้ยินวาจาดังกล่าวของหลิ่วเฟิงกู่

เพราะในความคิดเขา ในเมื่อหลิ่วเฟิงกู่รู้เรื่องนี้แล้ว สิบในสิบสมควรลงมือจัดการเขารวมถึงเหมียวไหลหลงทั้งคู่!

แต่ไม่คิดเลยว่าหลิ่วเฟิงกู่กลับบอกออกมาก่อน ว่าไม่ติดใจเอาความเรื่องนี้

“เป็นเพราะเหมียวไหลหลงถูกเจ้าบีบคั้น จนต้องส่งมอบเคล็ดวิชาบ่มเพาะผลึกรัศมีลี้ลับออกไป ทำให้มันตกอยู่ในกำมือเจ้า และมันที่รู้ดีว่ามันทำผิดร้ายแรงขนาดไหน…ดังนั้นมันจึงไม่มาหาข้าเพราะเรื่องที่เจ้าทำร้ายน้องเขยมันเมื่อเดือนก่อน…”

หลิ่วเฟิงกู่ยังคงกล่าวสืบต่อ

และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่าอีกฝ่าย สามารถมองเรื่องราวได้ทะลุปรุโปร่งจริงๆ

นับว่าความคิดของเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวผู้นี้ไม่เบาเลยทีเดียว ที่สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้

“ข้ากล่าวถูกหรือไม่?”

หลังพูดจบ หลิ่วเฟิงกู่ก็มองถามต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม

“สิ่งที่ท่านเจ้าเมืองกล่าวมา ราวได้เห็นกับตาได้ยินกับหูจริงๆ…”

ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน

จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เปิดประตูเห็นภูผากล่าวถามออกไปตรงๆ “ในเมื่อเจ้าเมืองไม่คิดหาความเรื่องนี้…ไม่ทราบเจ้าเมืองมาหาข้าทำไม?”

“ข้าคิดทำข้อตกลงบางอย่างกับแม่ทัพต้วนหลิงเทียน”

เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนพูดถามออกมาอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม หลิ่วเฟิงกู่ก็ไม่คิดปิดบังอะไร สองตาทอประกายเรืองวูบ กล่าวบอกอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน

“ทำข้อตกลง?”

ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้ว “ข้อตกลงอะไรหรือ?”

“ข้าอยากฆ่าใครบางคน…แต่ข้าไม่มีปัญญาฆ่ามัน!”

ขณะพูดประโยคนี้ สีหน้าแววตาของหลิ่วเฟิงกู่ที่แต่เดิมสงบ ก็เปลี่ยนไปในฉับพลันสองตาปะทุแสงเยียบเย็นออกมา จนคนคลายกลับกลายเป็นอสรพิษซ่อน ชวนให้รู้สึกขนลุกอยู่บ้าง

แววตานั่น…ยังประหนึ่งเคียดแค้นศัตรูฆ่าบิดาชิงภรรยา!

“เช่นนั้น…ข้าจึงหวังว่าในสักวัน เมื่อเจ้ามีพลังฝีมือสูงมากพอ เจ้าจะจับตัวมันมาส่งให้ข้าถึงเบื้องหน้า และให้ข้าฆ่ามันด้วยตัวเอง!”

หลิ่วเฟิงกู่กล่าวออกมารวดเดียวจบ และพอพูดจบความเยียบเย็นในแววตาก็ค่อยๆหายไป

“ท่านเจ้าเมือง นี่ท่านจะไม่ประเมินข้าสูงไปหน่อยหรือ…”

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออกเสียงเบา “คนที่กระทั่งท่านเจ้าเมืองยังฆ่าไม่ได้…ไฉนเจ้าเมืองจึงคิดว่า วันหน้าข้าต้วนหลิงเทียนคนนี้จะจับตัวมันกลับมาเป็นๆเพื่อให้ท่านฆ่าได้เล่า?”

“ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าเป็นผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มาเมื่อครึ่งเดือนก่อน และเป็นเพราะตอนนี้เจ้าก็ยังเป็นแค่เซียนอมตะสวรรค์เท่านั้น!”

หลิ่วเฟิงกู่มองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาร้อนแรง กล่าวออกเสียงเข้ม

“หืม? เรื่องที่คนของกองทัพมังกรเงินพูดออกมาวันนั้น ไม่มีใครเชื่อสักคน…หรือท่านเจ้าเมืองจะเชื่อ?”

ต้วนหลิงเทียนยิ้ม

เพราะถึงแม้วันนั้นไป่ฟูฉางของกองทัพมังกรเงินจะบอกว่าเขาเป็นเพียงผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนเมื่อครึ่งเดือนก่อน แต่ไม่มีใครเชื่อคำพูดของมันเลย

สุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา

ผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนได้แค่ครึ่งเดือน จะไปมีพลังมากพอปะทะรับมือ ถึงขั้นทำร้ายแม่ทัพของกองทัพมังกรเงินจนพิการได้ยังไง?

“ตอนแรกข้าเองก็ไม่เชื่อหรอก…อย่างไรก็ตามภายใต้คำแนะนำของเหมียวไหลหลง ข้าจึงไปไต่สวนเหล่าผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์และอยู่ในสระกำเนิดเซียนอมตะรอบเดียวกับเจ้ามาด้วยตัวเอง…สุดท้ายหลังจากยืนยันดีแล้ว ข้าจึงเชื่อ!”

หลิ่วเฟิงกู่กล่าว

“เหมียวไหลหลง?”

ประกายเยียบเย็นเรืองขึ้นในแววตาต้วนหลิงเทียนวาบหนึ่ง เขาไม่คิดเลยว่าเหมียวไหลหลงนั่นยังจะกล้ากระตุกขาหลังเขาแบบนี้…หลังจากมันเจอดีไปเมื่อครั้งก่อน!

เหมียวไหลหลงมันมากระตุ้นเตือนให้หลิ่วเฟิงกู่สืบสาวหาความจริงเรื่องนี้ ย่อมมีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ให้หลิ่วเฟิงกู่รู้ว่าเขา ต้วนหลิงเทียน สมควรมีวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังอันยอดเยี่ยม!

หากสามารถกระตุ้นความโลภของหลิ่วเฟิงกู่ได้สำเร็จ คนย่อมมาลงมือต่อเขาเพราะความโลภ ในได้ทักษะทั้งหลายที่เขามีแน่นอน!

ท้ายที่สุดแล้วในสายตาของเหมียวไหลหลง พลังฝีมือของเขาอาจจะสูงกว่ามัน แต่คงไม่สูงไปกว่าเจ้าเมืองเฉวี่ยโยว

“ในใจเหมียวไหลหลงคิดอะไรอยู่ข้าย่อมรู้ดี…ไม่มีอะไรมากไปกว่ามันพยายามจะบอกข้า ถึงเหตุผลที่ทำให้เจ้ามีพลังฝีมือสูงส่งถึงขนาดนี้…ว่าทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าเชี่ยวชาญวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังไม่ธรรมดา!”

หลิ่วเฟิงกู่กล่าวสืบต่อ “สาเหตุที่ไฉนมันเอ่ยบอกข้าถึงเรื่องนี้…ไม่พ้นมันคิดยืมมีดฆ่าคน หมายยืมมีดเช่นข้ามาเข่นฆ่าเจ้า!”

หลิ่วเฟิงกู่กล่าวต้นสายปลายเหตุออกมาอย่างชัดเจน ราวกับรู้เช่นเห็นชาติของเหมียวไหลหลงดี

“นอกจากนี้เหมียวไหลหลงยังบอกข้าอีกว่า…ตัวเจ้าสมควรมียอดสมบัติสวรรค์คุ้มกันวิญญาณระดับกลางหรือไม่ก็ระดับสูงอยู่กับตัว เพราะยามสำนึกเทวะของมันเข้าใกล้ดวงจิตของเจ้าหมายตรวจสอบพลังฝึกปรือของเจ้า กลับเสมือนถูกบางสิ่งอันทรงพลังดูดกลืนไป…”

ขณะที่หลิ่วเฟิงกู่เอ่ยถึงประโยคนี้ มันก็มองจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกซึ้ง ค่อยเอ่ยต่อว่า “เรื่องเช่นนั้นมิใช่อะไรที่ทักษะปกปิดจะกระทำได้!”

‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่วันนั้นไฉนเหมียวไหลหลงมันไม่ลองใช้การโจมตีทางวิญญาณเล่นงานข้า…ที่แท้มันพยายามใช้สำนึกเทวะของมันตรวจสอบข้าแล้วนี่เอง แต่พอมันไม่อาจหยั่งถึงพลังฝึกปรือข้าได้ มันก็เลยคิดว่าข้ามียอดสมบัติสวรรค์คุ้มกันวิญญาณ เช่นนั้นถึงใช้ทักษะวิญญาณใส่ข้าก็ไร้ประโยชน์…’

สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองวูบ ลอบกล่าวในใจ

สำหรับสิ่งที่ทำให้เหมียวไหลหลงเข้าใจผิดว่ามันคือยอดสมบัติสวรรค์คุ้มกันวิญญาณก็ไม่ใช่อะไรอื่น แต่เป็นชิ้นส่วนโลหะแตกหักนั่นเอง…

“ในเมื่อท่านเจ้าเมืองรู้ไส้รู้พุงข้าแล้ว..ท่านไม่คิดอยากได้วรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังที่ข้ามีอยู่ หรือกระทั่งยอดสมบัติสวรรค์คุ้มกันวิญญาณที่ข้ามีบ้างหรือ?”

ต้วนหลิงเทียนมองหลิ่วเฟิงกู่ด้วยสีหน้าแววตาสงบ กล่าวถามออกมาเสียงห้วน

“ข้าย่อมบังเกิดความคิดเช่นนั้น”

หลิ่วเฟิงกู่กล่าวตอบตามตรง “แต่พอข้าคิดขึ้นมาไม่ทันไร ข้าก็ล้มเลิกความคิดดังกล่าวทันที จากนั้นข้าก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องแบบนั้นอีกเลย”

“อ้อ ทำไมเล่า?”

ต้วนหลิงเทียนรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ว่าหลิ่วเฟิงกู่ระงับความโลภในใจได้อย่างไร

“ก่อนอื่นเลย ตัวข้าไม่มั่นใจว่าข้าจะสามารถเอาชนะเจ้าได้…”

“ประการที่สอง ต่อให้ตัวข้าเอาชนะเจ้าได้จริง…แต่คงยากที่ข้าจะเค้นเอาวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังนั่นออกมาจากปากของเจ้าได้ ขอเพียงเจ้าไม่ปริปากบอกออกมาเสียอย่าง…สุดท้ายข้าก็ทำได้แค่ฆ่าเจ้าทิ้ง”

“และถึงแม้วันนี้พวกเราจะได้พบกันครั้งแรก…แต่อันที่จริง หลังจากที่เฉินเฉวียนป้ารายงานเรื่องที่เจ้าเข่นฆ่าเจี่ยนชิวผิงให้ข้าทราบเมื่อเดือนก่อน ข้าจึงส่งองครักษ์งูทองไปลอบตรวจสอบเจ้าทันที”

“ทำให้ข้ารู้ว่าหลังจากที่เจ้าได้ตำแหน่งแม่ทัพมังกรดำแล้ว แม้เจ้าจะไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมามากมาย…หากแต่มารยาทคำพูดคำจาตามปกติ ไม่เว้นลักษณะท่าทางไม่ธรรมดาที่เจ้าเผยออกมาอย่างไม่รู้ตัว ทั้งหมดบอกข้าถึงเรื่องหนึ่ง…เจ้ามิใช่คนธรรมดาและหาได้ง่ายดายไม่!”

“ข้ารู้สึกว่าต่อให้ข่มขู่บีบคั้นเจ้าให้ตาย แต่ขอเพียงเจ้าไม่ยินยอมเสียอย่าง ข้าก็ไม่มีวันได้รับวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังทั้งหมดที่เจ้ามีแน่นอน”

หลิ่วเฟิงกู่พูดเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดา