WSSTH ตอนที่ 2,619 : ปฐมเวทย์กลืนกิน เวทย์พลังระดับสวรรค์!

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับหลิ่วเฟิงกู่เดินทางออกจากค่ายกองทัพมังกรดำไปพร้อมๆกัน ผู้บัญชาการของกองทัพมังกรดำอย่างเฉินเฉวียนป้า ก็จงใจกระจายข่าวเรื่องที่ เหมียวไหลหลง ผู้บัญชาการของกองทัพมังกรเงินเลือกที่จะปล่อยวางเรื่องราวเมื่อเดือนก่อน ออกไปทั่วค่ายของกองทัพมังกรดำ

และสาเหตุที่มันกระทำเช่นนี้ ก็เพื่อทำให้กองทัพกลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้ง!

นับตั้งแต่ที่เกิดเหตุการอุกอาจขึ้นในเหลาอาหารไหลเฟิ่งกลางเมืองเฉวี่ยโยวเมื่อเดือนก่อน เหล่าทหารของกองทัพมังกรดำส่วนใหญ่ของมัน ก็กังวลว่าแม่ทัพคนใหม่ของกองทัพมังกรดำอย่างต้วนหลิงเทียนจะเกิดเรื่อง จึงทำให้เหล่าหทารเกิดความตื่นตระหนก!

พอเฉินเฉวียนป้าตั้งใจแพร่ข่าวดังกล่าวออกมา ทั้งกองทัพมังกรดำก็เดือดพล่านทันที

“นั่นปะไร! ข้าว่าแล้ว…ว่าท่านแม่ทัพต้วนหลิงเทียนต้องสบายดีแน่นอน!”

“แต่ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ คราวนี้คนอย่างเหมียวไหลหลงผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงิน กลับเป็นฝ่ายออกปากว่าจะไม่ติดใจเอาความ…นี่เหมือนไม่ใช่นิสัยของมันเลย”

“ใช่ ข้าได้ยินมานานแล้วว่าผู้บัญชาการของกองทัพมังกรเงินเหมียวไหลหลงนั่น เป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้นนัก! แต่มิคิดเลยว่าเกิดเรื่องขนาดนี้ มันกลับบอกต่อเจ้าเมืองด้วยตัวเองว่าจะไม่เอาความ…หรือพรุ่งนี้ตะวันจะโผล่พ้นประจิม?”

ทหารในค่ายกองทัพมังกรดำพากันตื่นเต้นไม่น้อย แต่พวกมันก็ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไรแหม่งๆอยู่ดี

ทว่าพวกมันก็ไม่สงสัยเรื่องข้อเท็จจริงของข่าวดังกล่าวเลย

เพราะข่าวนี้เป็นผู้บัญชาการของพวกมันบอกออกมาเอง!

ในขณะที่ค่ายกองทัพมังกรดำกำลังเดือด

อีกด้านนั้น ต้วนหลิงเทียนที่ได้รับข้อตกลงของเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวแล้ว ก็มองไปทางเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวค่อยเอ่ยทักขึ้น

“เจ้าเมือง”

หลังเอ่ยทัก ต้วนหลิงเทียนก็มองจ้องหลิ่วเฟิงกู่ด้วยสายตาจริงจัง เอ่ยถามว่า “ข้าพอรู้มาว่าเวทย์พลังสนับสนุนที่ข้ามีนับว่าน่าทึ่งไม่น้อย…แต่ไฉนหลังจากที่ข้าลองบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดวิชาผลึกรัศมีลี้ลับก็แล้ว ทว่าหลังใช้เวทย์พลังดังกล่าวอีกที แต่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของข้ากลับไม่ได้เพิ่มพูนขึ้นสูงเท่าที่ควรเล่า?”

“นี่นับเป็นเรื่องปกติ”

เนื่องจากต้วนหลิงเทียนยอมรับข้อตกลงแล้ว หลิ่วเฟิงกู่จึงอารมณ์ดีอย่างมาก พอได้ยินคำถามก็ยิ้มตอบออกมาทันที “เวทย์พลังสนับสนุนในระนาบเทวโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับด่านพลังฝึกปรืออีกด้วย…”

“ยกตัวอย่างเช่นตัวตนขอบเขตเซียนอมตะสวรรค์คนหนึ่ง หลังบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดวิชาบ่มเพาะมีระดับ…จนพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างบริสุทธ์มากพอแล้ว เมื่อใช้เวทย์พลังสนับสนุนระดับเหลือง จักสามารถยกระดับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดได้แค่ขั้นเดียวเท่านั้น”

“กระทั่งต่อให้เชี่ยวชาญเวทย์พลังสนับสนุนที่เหนือกว่าระดับเหลืองไปอีกระดับอย่างระดับลี้ลับ แต่สุดท้ายก็ยังสามารถยกระดับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดได้แค่ขั้นเดียวอยู่ดี”

หลิ่วเฟิงกู่กล่าวว่า “ทั้งหมดเป็นเพราะยังมีพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขต เซียนอมตะสวรรค์…”

“แล้วถ้า…เซียนอมตะสวรรค์คนหนึ่งที่ยังไม่ได้บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดวิชามีระดับ แต่หลังจากใช้เวทย์พลังสนับสนุนแล้วสามารถยกระดับพลังได้ 2 ขั้นเล่า? เช่นนั้นเวทย์พลังที่มีถือเป็นเวทย์พลังระดับใด?”

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม

ขณะเดียวกันก็ตั้งใจฟังคำตอบนี้อย่างใจจดจ่อนัก

เพราะเวทย์พลังสนับสนุนอย่างปฐมเวทย์กลืนกินของเขาก็ให้ผลแบบนี้

“หากยังไม่บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดวิชามีระดับ ซ้ำยังเป็นแค่เซียนอมตะสวรรค์…แต่กลับยกระดับพลังได้ถึง 2 ขั้น เช่นนั้นเวทย์พลังสนับสนุนที่บรรลุ สมควรเป็นเวทย์พลังระดับสวรรค์ไม่ผิดแน่!”

หลิ่วเฟิงกู่กล่าวตอบ

ขณะเดียวกันมันก็มองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยตาลุกวาว ราวกับคาดเดาอะไรบางอย่างได้ “หากเวทย์พลังสนับสนุนระดับสวรรค์ ถูกใช้โดยเซียนอมตะสวรรค์ที่บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดวิชามีระดับจนพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดบริสุทธิ์มากพอแล้ว มันจะสามารถยกระดับพลังได้ถึง 3 ขั้น!!”

เมื่อหลิ่วเฟิงกู่กล่วจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับคำตอบที่ต้องการ

‘เช่นนั้น…เวทย์พลังสนับสนุนอย่าง ปฐมเวทย์กลินกิน ที่ข้าเพาะสร้างมาก็ไม่ธรรมดาอย่างที่ท่านผู้เฒ่าหั่วบอกไว้จริงๆ ที่แท้มันเป็นถึงเวทย์พลังสนับสนุนระดับสวรรค์!’

ต้วนหลิงเทียนย่อมมีความสุขไม่น้อย

ในระนาบเทวโลก เวทย์พลังทั้งหลายก็มีแบ่งแยกออกเป็นระดับต่างๆเช่นกัน และในตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็รู้จักเพียงแค่ 4 ระดับเท่านั้น นั่นคือระดับ สวรรค์ ปฐพี ลี้ลับ เหลือง ซึ่งในบรรดาทั้ง 4 ระดับเหลืองคือต่ำสุด สูงสุดคือสวรรค์

ตอนนี้พอได้รับทราบว่า เวทย์พลังสนับสนุนอย่างปฐมเวทย์กลืนกินของเขาเป็นเวทย์พลังสนับสนุนระดับสวรรค์ ตัวเขาย่อมยินดีมีความสุขเป็นธรรมดา

“เจ้าเมือง…”

ต้วนหลิงเทียนยังคงกล่าวถามสืบต่อ “อย่างที่ท่านว่าหากเป็นเซียนอมตะสวรรค์ ใช้เวทย์พลังระดับสวรรค์สามารถยกระดับพลังได้ถึง 3 ขั้น…แล้วถ้าระดับพลังฝึกปรือก้าวหน้ามากพอเล่า เวทย์พลังระดับสวรรค์นั่นสามารถยกระดับพลังให้ได้เต็มที่กี่ขั้น?”

ขณะกล่าวถาม สายตาต้วนหลิงเทียนก็เผยความคาดหวังไม่น้อย

“5 ขีดขั้น!”

หลิ่วเฟิงกู่กล่าวตอบ “มีเพียงตัวตนขอบเขตพลังตั้งแต่ ต้าหลัวจินเซียน ขึ้นไปเท่านั้น จึงจักได้รับผลกระทบของเวทย์พลังระดับสวรรค์ได้อย่างสมบูรณ์”

“และเป็นธรรมดาว่าต่อให้เป็นเวทย์พลังระดับ เหลือง ลี้ลับ และปฐพี ก็มีแต่ตัวตนขอบเขตต้าหลัวจินเซียนขึ้นไปเช่นกัน ถึงจะได้รับผลกระทบโดยสมบูรณ์”

หลังได้ฟังคำอธิบายของหลิ่วเฟิงกู่ ต้วนหลิงเทียนก็พอจะเข้าใจเกี่ยวกับเวทย์พลังสนับสนุนทั้ง 4 ระดับอย่าง สวรรค์ ปฐพี ลี้ลับ เหลือง อยู่บ้าง

เวทย์พลังสนับสนุนระดับเหลือง เวทย์พลังสนับสนุนระดับลี้ลับ

หากเป็นเซียนอมตะสวรรค์ไม่ว่าจะบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดวิชามีระดับหรือไม่ แต่ยามใช้เวทย์พลัง 2 ระดับดังกล่าวก็ทำได้แค่ยกระดับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดให้ตัวเองได้แค่ 1 ขั้นเท่านั้น

ส่วนถ้าผู้ใช้เวทย์พลังสนับสนุน 2 ระดับดังกล่าวเป็นขอบเขตจินเซียนล่ะก็ ผู้ที่บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดวิชามีระดับแล้วจะสามารถยกระดับพลังได้ถึง 2 ขีดขั้น และถ้าไม่ได้บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดวิชามีระดับก็จะเพิ่มพลังได้ขั้นเดียวอยู่ดี…

นอกจากนั้น นี่ยังเป็นขีดจำกัดของเวทย์พลังระดับเหลืองอีกด้วย! ถึงระดับฝึกปรือจะสูงไปกว่านี้ มันก็สามารถยกระดับพลังให้ผู้ใช้ได้แค่ 2 ขั้น!!

ต้าหลัวจินเซียน เมื่อใช้เวทย์พลังสนับสนุนระดับลี้ลับ จะสามารถยกระดับพลังได้ถึง 3 ขั้น

ถ้าเป็นเวทย์พลังสนับสนุนระดับปฐพีล่ะก็…

ระดับเซียนอมตะสวรรค์จะเพิ่มพูนได้ 2 ขั้น

ระดับจินเซียนจะเพิ่มพูนได้ 3 ขั้น

ระดับต้าหลัวจินเซียนจะเพิ่มพูนได้ 4 ขั้น!

สำหรับเวทย์พลังสนับสนุนระดับสวรรค์นั้น

หากเป็นขอบเขตเซียนอมตะสวรรค์ จะยกระดับพลังได้ถึง 3 ขั้น อย่างที่ต้วนหลิงเทียนเป็นอยู่ในปัจจุบัน

หากระดับพลังบรรลุขอบเขตจินเซียน มันจะยกระดับพลังได้ถึง 4 ขั้น

หากบรรลุถึงขอบเขตต้าหลัวจินเซียน มันจะยกระดับพลังได้ถึง 5 ขั้น!

หลังได้ฟังคำอธิบายเพิ่มเติมของหลิ่วเฟิงกู่ ต้วนหลิงเทียนจึงสามารถมั่นใจได้ทันที

ว่าเวทย์พลังสนับสนุนอย่างปฐมเวทย์กลืนกินของเขา สมควรเป็นเวทย์พลังระดับสวรรค์ไม่ผิดแน่

“ท่านเจ้าเมือง แล้วเวทย์พลังประเภทอื่นๆเล่า?”

ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนเองก็อยากทราบ ว่า 13 กระบี่บงกชฟ้านั้น เป็นเวทย์พลังจู่โจมระดับใด

“เวทย์พลังประเภทอื่นๆจักไม่ถูกจำกัดไว้โดยระดับพลังบ่มเพาะ เพียงแต่หากพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างไม่บริสุทธิ์พอก็จักยังไม่อาจแสดงพลังได้เต็มประสิทธิภาพเช่นกัน”

หลิ่วเฟิงกู่ค่อยกล่าวอธิบายเรื่องราวต่างๆให้ต้วนหลิงเทียนฟังอย่างอดทน

สุดท้ายหลังจากฟังไปได้ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินได้ว่า เวทย์พลังประเภทจู่โจมสายกระบี่ของเขาอย่าง 13 กระบี่บงกชฟ้านั้น เป็นเวทย์พลังจู่โจมระดับ ปฐพี…

นอกจากนี้เขายังได้รับทราบอีกว่ายอดใจกระบี่ที่เขาบรรลุแล้ว ยังเทียบได้กับวรยุทธ์อมตะระดับปฐพี แต่ที่สำคัญคือมันเป็นวรยุทธ์อมตะที่พร้อมพรั่งทั้งรุกรับและความเร็ว!

“แม่ทัพต้วนหลิงเทียน”

ทันใดนั้นเอง อยู่ๆหลิ่วเฟิงกู่ก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าแววตาจริงจัง “ถึงแม้ข้าจักไม่รู้ว่าเจ้าเชี่ยวชาญเวทย์พลังและวรยุทธ์อมตะระดับใดบ้าง…แต่หากพิจารณาจากเรื่องที่เจ้าสามารถเอาชนะเหมียวไหลหลงได้แล้ว เช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นเวทญ์พลังสนับสนุน เวทย์พลังจู่โจม ทั้งวรยุทธ์อมตะที่เจ้าฝึกปรือ ทั้งหมดสมควรอยู่เหนือระดับสวรรค์!!

นี่คือการคาดเดาของหลิ่วเฟิงกู่

แน่นอนว่าที่หลิ่วเฟิงกู่คาดเดาไปแบบนั้น เพราะมันมองว่าด่านพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนอย่างมากก็คงเป็นได้แค่เซียนอมตะสวรรค์จันทร์แสดเท่านั้น

“เจ้าเมือง ท่านเดาผิดแล้ว…”

ได้ยินคำพูดของหลิ่วเฟิงกู่ ต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหัวไปมา “ในบรรดาเวทย์พลังและวรยุทธ์อมตะที่ข้ามีนั้น มีเพียงแค่เวทย์พลังสนับสนุนของข้าเท่านั้นที่มีระดับสวรรค์ ส่วนอย่างอื่นไม่ว่าจะเป็นเวทย์พลังจู่โจมหรือวรยุทธ์อมตะนั้น…ล้วนอยู่ในระดับปฐพีทั้งสิ้น”

“เป็นไปได้อย่างไรกัน?!”

หลิ่วเฟิงกู่มองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเหลือเชื่อ “เจ้าพึ่งจะขึ้นมายังหลิงหลัวเทียนได้แค่เดือนครึ่งเท่านั้น…อีกทั้งตอนเกิดเรื่องเมื่อเดือนที่แล้วเจ้าก็ยังพึ่งเข้าร่วมค่ายกองทัพมังกรดำ เช่นนั้นให้เจ้ามีพรสวรรค์ทั้งศักยภาพสูงส่งเพียงใด แต่อย่างดีระดับบ่มเพาะของเจ้าเมื่อเดือนก่อน เต็มที่ก็ทะลวงได้ถึงแค่เซียนอมตะสวรรค์จันทร์แสดเท่านั้น…”

“เซียนอมตะสวรรค์จันทร์แสด กลับเอาชนะคนอย่างเหมียวไหลหลงได้…เช่นนั้นวรยุทธ์อมตะ เวทย์พลังสนับสนุน และเวทย์พลังจู่โจมของเจ้า มีแต่ต้องมีระดับเหนือกว่าระดับสวรรค์เท่านั้น!”

หลิ่วเฟิงกู่ไม่ได้คาดเดาลอยๆ มันยังยกอ้างเหตุผลมารองรับอย่างเหมาะสม

“เจ้าเมือง ที่ท่านพูดมาก็มีเหตุผล…”

ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มเฉยเมย ค่อยกล่าวว่า “แต่ปัญหาก็คือข้าไม่ใช่เซียนอมตะสรรค์จันทร์แสด…เมื่อเดือนก่อนตอนที่ข้าปะทะกับเหมียวไหลหลงนั้น ระดับพลังฝึกปรือของข้าได้ทะลวงถึงขอบเขตเซียนอมตะสวรรค์จันทร์น้ำเงินเป็นที่เรียบร้อย…”

“ต่อมาหลังจากที่ข้าได้รับเคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับเหลืองอย่างผลึกรัศมีลี้ลับจากมัน จึงทำให้ระดับพลังฝึกปรือของข้าทะลวงผ่านขอบเขตเซียนอมตะสวรรค์จันทร์น้ำเงินได้สำเร็จ…”

“กล่าวได้ว่า…ในตอนนี้ข้าคือ เซียนอมตะสวรรค์จันทร์คราม!”

ต้วนหลิงเทียนพูด

ได้ยินสิ่งที่ต้วนหลิเทียนพูดออกมา หลิ่วเฟิงกู่อดไม่ได้ที่ตกตะลึงอึ้งไปพักใหญ่กว่าจะฟื้นสติ จากนั้นค่อยมองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ โพล่งคำออกมาอย่างตกใจว่า “เจ้า…ด่านพลังฝึกปรือของเจ้า…ไฉนจึงก้าวหน้าได้รวดเร็วถึงเพียงนี้!?”

ได้ยินคำถามที่โพล่งออกมาอย่างไม่รู้ตัวของหลิ่วเฟิงกู่ ในใจต้วนหลิงเทียนพลันปรากฏร่างบางหนึ่งขึ้นมาในห้วงคิด…

วันเวลาก็ได้ล่วงเลยไปถึงเดือนครึ่งแล้ว นับจากที่เขาขึ้นมายังหลิงหลัวเทียนแห่งนี้และได้พบกับสตรีนางนั้น…มู่หรงปิง!

เมื่อเดือนที่แล้วเหตุผลเดียวที่ระดับพลังบ่มเพาะของเขาก้าวหน้าขึ้นมาจากเซียนอมตะสวรรค์จันทร์แดงมายังเซียนอมตะสวรรค์จันทร์น้ำเงินได้อย่างรวดเร็วนั้น ทั้งหมดเป็นเพราะสตรีนามมู่หรงปิงทั้งสิ้น!

“พอดีข้าพบพานวาสนาบางประการ…”

ต้วนหลิงเทียนเพียงหาข้ออ้างส่งๆไปโดยไม่ลงรายละเอียดอะไรมากมาย “ทำให้หลังข้าขึ้นมายังหลิงหลัวเทียนได้ครึ่งเดือน ระดับพลังของข้าจึงทะลวงถึงขอบเขตเซียนอมตะสวรรค์จันทร์น้ำเงิน! และหลังบ่มเพาะพลังที่ค่ายกองทัพมังกรดำมาตลอดทั้งเดือน ข้าก็สามารถทะลวงผ่านได้อีกครั้ง บรรลุถึงเซียนอมตะสวรรค์จันทร์ครามได้อย่างในตอนนี้…”

แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนเองก็รู้ดีอีกด้วยว่า

เหตุผลที่เขาสามารถทะลวงผ่านขอบเขตเซียนอมตะสวรรค์จันทร์น้ำเงิน มาเป็นเซียนอมตะสวรรค์จันทร์ครามได้ในเวลาเพียงแค่เดือนเดียวนั้น นอกจากเคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับเหลืองอย่าง ผลึกรัศมีลี้ลับ แล้วยังมีอะไรมากกว่านั้น

นั่นเพราะตอนที่เขาบรรลุถึงเซียนอมตะสวรรค์จันทร์น้ำเงินตั้งแต่เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ระดับพลังในร่างเขาก็ห่างจากขอบเขตเซียนอมตะสวรรค์จันทร์ครามไม่มาก

หาไม่แล้วเขาคงไม่อาจใช้เวลาเพียงแค่เดือนเดียวเพื่อบ่มเพาะพลังจากเซียนอมตะสวรรค์จันทร์น้ำเงิน ให้บรรลุถึงเซียนอมตะสวรรค์จันครามได้แน่นอน…

ทั้งหมดต้องยกความดีความชอบให้มู่หรงปิงทั้งสิ้น!

“เช่นนี้นี่เอง”

หลิ่วเฟิงกู่พยักหน้ารับ มันเองก็เห็นได้ชัดว่าต้วนหลิงเทียนไม่คิดอธิบายลงลึกอะไร ทำให้ถึงมันจะอยากรู้อยากเห็นแค่ไหน แต่ก็ไม่คิดจะเอ่ยถามเซ้าซี้ออกมา

อย่างไรก็ตาม มันพอจะคาดเดาได้ว่า…วาสนาที่ต้วนหลิงเทียนพบพานโดยบังเอิญนั้น 9 ใน 10 ไม่พ้นพบพานในโลกใบเล็ก ที่เคยดำรงอยู่ในแนวเทือกเขาทางตอนใต้ของเมืองเฉวี่ยโยวจนกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามมานานนับพันๆปี!

เรื่องนี้เฉินเฉวียนป้าเองก็ได้มารายงานมันแต่แรก…

“เจ้าเมือง…ผู้บัญชาการกองทัพมังกรดำของข้า เฉินเฉวียนป้า สมควรรายงานท่านไว้แต่แรก ว่าข้าเคยเข้าไปในโลกใบเล็กทางตอนใต้ของเมืองและกลับออกมา…แล้วท่านทราบหรือไม่ ว่า ‘ไม้ปัดฝุ่นกวาดโลกา’ เป็นศาสตราเซียนอมตะประจำนิกายใด?”

ต้วนหลิงเทียนมองถามหลิ่วเฟิงกู่ด้วยสายตาร้อนแรง!