ตอนที่ 2,625 : ต้าหลัวจินเซียน
“ใช่”
ถึงไม่ทราบว่าทำไมอยู่ๆต้วนหลิงเทียนถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมา แต่หลิ่วเฟิงกู่ก็ตอบกลับไปทันที
ผู้บัญชาการกองทัพมังกรดำและผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงิน นั้นล้วนเป็นผู้ที่มันติดตั้งยันต์อมตะเงาลอยชุดลูกเอาไว้ทั้งสิ้น หากมีใครในทั้งคู่ถูกฆ่ามันจะทราบได้ทันที
และด้วยพลังของยันต์อมตะเงาลอยแม่ในมือ มันสามารถแลเห็นฉากสุดท้ายก่อนที่ทั้งคู่จะตาย รวมทั้งได้ยินเสียงในเหตุการณ์อีกด้วย
“แล้วไฉนหลังจากที่ข้าได้เป็นแม่ทัพของกองทัพมังกรดำ ผู้บัญชาการเฉินถึงไม่ให้ยันต์อมตะเงาลอยลูกข้าไว้เล่า…ผู้บัญชาการเฉินลืมหรือว่ายังไง?”
ต้วนหลิงเทียน ถามอีกครั้ง
“เอ่อ…น้องหลิงเทียน เจ้าคิดว่ายันต์อมตะเงาลอยแม่ลูกเป็นหัวผักกาดหรือ?”
หลิ่วเฟิงกู่กล่าวตอบด้วยรอยยิ้มแหยๆ “ข้ารู้ว่าในระนาบโลกียะของเจ้าสมควรมียันต์เต๋าที่มีลักษณะการใช้งานเช่นนี้ แต่ต้องทราบด้วยว่ากระบวนการสร้างนั้นมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง…”
“แถมเจ้าคงรู้แล้วว่าสิ่งของใดๆจากระนาบโลกียะก็ไม่อาจนำขึ้นมายังระนาบเทวโลกได้…เจ้าจะไม่เจอยันต์เต๋าเลยก็ไม่แปลก”
“ที่สำคัญเลยก็คือยันต์อมตะเงาลอยแม่ลูกนั้นต่างจากยันต์อมตะเงาลอยธรรมดามาก…แบบธรรมดามันไม่มีค่าอันใด หากแต่ยันต์อมตะเงาลอยแม่ลูกมีค่าสูงยิ่ง เพราะการจะสร้างขึ้นต้องใช้วัตถุดิบไม่น้อย ราคาย่อมสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ข้าเองก็มีแค่ไม่กี่ชิ้น และมอบไว้ให้แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่สำคัญเท่านั้น”
หลิ่วเฟิงกู่กล่าวสืบต่อว่า “ข้าแม้จะเป็นเจ้าเมืองเฉวี่ยโยว แต่ยันต์อมตะเงาลอยแม่ลูกก็เพียงใช้ให้กับคน 3 คนเท่านั้น ได้แก่ผู้บัญชาการกองทัพมังกรดำเฉินเฉวียนป้า ผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินเหมียวไหลหลง…และสุดท้ายก็เป็นหัวหน้าองค์รักษ์งูทอง ผู้เฒ่าหง”
“หัวหน้าองครักษ์งูทอง ผู้เฒ่าหง?”
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้ว
“ใช่”
หลิ่วเฟิงกู่ “องครักษ์งูทองทั้ง 18 คนของข้านั้นไม่ได้นับรวมผู้เฒ่าหงเอาไว้ด้วย…ผู้เฒ่าหงเป็นคนสั่งการอครักษ์งูทองทั้ง 18 ด้วยตัวเอง กระทั่งทั้ง 18 คนนั่นก็เป็นผู้เฒ่าหงชุบเลี้ยงฝึกปรือขึ้นมา…”
“ส่วนผู้เฒ่าหงที่ข้ากำลังพูดถึง ก็เป็นผู้ภัคดีคนหนึ่งที่ออกจากเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวมายังเมืองเฉวี่ยโยวกับข้า…ในบรรดาคนของข้าทั้งหมด ผู้เฒ่าหงยังมีพลังฝีมือสูงสุดอีกด้วย…เหนือกว่าเฉินเฉวียนป้ากับเหมียวไหลหลงมากนัก”
แม้แต่เรื่องนี้ยังบอกกล่าวออกมา เห็นชัดว่าหลิ่วเฟิงกู่ให้ความสำคัญต้วนหลิงเทียนขนาดไหน
“แบบนี้นี่เอง”
ต้วนหลิงเทียนก็พอเข้าใจได้
“อีกทั้ง…ยันต์อมตะเงาลอยแม่ลูกถึงแม้จะมีค่ามีราคา แต่หากอยู่ต่อหน้าตัวตนขอบเขตพลังต้าหลัวจินเซียนขึ้นไป มันก็ไร้ความหมาย เพราะต่อให้ผู้ที่ถูกฆ่ามียันต์อมตะเงาลอยแม่ลูกติดตัว แต่ตัวตนขอบเขตต้าหลัวจินเซียนขึ้นไปก็ทำลายพลังอาคมได้ง่ายดาย…”
หลิ่วเฟิงกู่กล่าวว่า “เช่นนั้นแล้วหลังบรรลุถึงขอบเขตต้าหลัวจินเซียน…ยามจะลงมือฆ่าคน แต่ไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้ก็ใช้พลังปิดกั้นอาคมของยันต์อมตะเงาลอยแม่ลูกเอาก็จบ”
“ความแข็งแกร่งของตัวตนขอบเขตต้าหลัวจินเซียน…น่ากลัวนัก!”
กล่าวถึงจุดนี้สีหน้าของหล่วเฟิงกู่ก็ฉายถึงความเคร่งขรึมออกมา
“ต้าหลัวจินเซียน!”
สองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายจ้า
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินคำว่า ต้าหลัวจินเซียน!
กระทั่งตอนที่อยู่ในระนาบโลกียะเขาก็ได้ยินคำว่าต้าหลัวจินเซียนบ่อยครั้ง เขาจึงรับทราบว่าตัวตนขอบเขตต้าหลัวจินเซียนขึ้นไป สามารถเดินทางไปมาระหว่างระนาบเทวโลกกับระนาบโลกียะได้
เป็นธรรมดาว่าแม้ตัวตนขอบเขตต้าหลัวจินเซียนขึ้นไปจะสามารถท่องไปมาระหว่างระนาบเทวโลกและระนาบโลกียะได้ แต่ไม่มีใครชมชอบกระทำเช่นนั้น
เพราะหากตัวตนขอบเขตต้าหลัวจินเซียนขึ้นไป เดินทางไปยังระนาบโลกียะ ก็จะเปื้อนกรรมทางโลก และนั่นจะส่งผลต่อการบ่มเพาะในภายหลัง หากโชคร้ายพลังฝึกปรืออาจไม่ก้าวหน้าอีกเลยก็เป็นได้
“นอกจากนี้ ถึงแม้ตอนนี้เจ้าจะเป็นเซียนอมตะสวรรค์ที่สามารถเอาชนะตัวตนขอบเขตจินเซียนได้ง่ายดาย…ทว่าเป็นเพราะความแตกต่างระหว่างเซียนอมตะสวรรค์กับจินเซียนนั้น แม้จะถูกขวางกั้นไว้ถึงหนึ่งขอบเขต แต่มันก็ไม่ได้ห่างกันขนาดนั้น”
หลิ่วเฟิงกู่กล่าวต่อ “แต่ทว่าระหว่างจินเซียนตะวันม่วงกับ ต้าหลัวจินเซียนนั้น ความต่างของมันเสมือนหุบเหวกว้างใหญ่ เป็นหนึ่งก้าวทะยานฟ้าจริงๆ”
“ตัวอย่างเช่น เจ้าในฐานะเซียนอมตะสวรรค์จันทร์ม่วง สามารถเอาชนะจินเซียนตะวันแดงที่ฝึกปรือวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังระดับเหลืองได้ง่ายดาย หากวรยุทธ์กับเวทย์พลังของเจ้ามีระดับลี้ลับ! ทว่าต่อให้เป็นต้าหลัวจินเซียนที่ฝึกปรือวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังระดับเหลือง ก็สามารถฆ่าจินเซียนตะวันม่วงที่มีวรยุทธ์และเวทย์พลังระดับสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย!!”
“ความต่างระหว่างจินเซียนตะวันม่วงกับต้าหลัวจินเซียนมันกว้างใหญ่นัก ยากที่จะทะลวงผ่านไปได้…อย่างไรก็ตามเมื่อใดที่สามารถทะลวงผ่านขอบเขตจินเซียนและบรรลุถึงต้าหลัวจินเซียนได้ วันนั้นเจ้าจักได้รับการยอมรับว่าเป็นขุมพลังคนหนึ่งของระนาบเทวโลกอย่างแท้จริง…เพราะไม่ว่าจะอย่างไรตอนนั้นเจ้าก็มีพลังอำนาจมากพอจะดูแคลนผู้ที่อยู่ในขอบเขตจินเซียนลงไปได้แทบทั้งหมด!”
วาจาของหลิ่วเฟิงกู่ทำให้ต้วนหลิงเทียนได้ตระหนักถึงช่องว่าง ระหว่างต้าหลัวจินเซียนกับจินเซียน…
ช่างกว้างใหญ่นัก
และในระนาบเทวโลกมีเพียงแต่ตัวตนขอบเขตต้าหลัวจินเซียนขึ้นไปเท่านั้นถึงจะนับได้ว่าเป็นกำลังรบคนหนึ่ง!
“เจ้าเมือง…ในเมืองประจำมณฑลจิ่วโยว มีต้าหลัวจินเซียนอยู่สินะ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามเสียงเข้ม
“ใช่”
หลิ่วเฟิงกู่พยักหน้า “ในมณฑลจิ่วโยวของเรา มีผู้ที่บรรลุถึงขอบเขตต้าหลัวจินเซียนแค่ 2 คนเท่านั้น…หนึ่งคือผู้ว่าการประจำมณฑลจิ่วโยวของพวกเรา…”
“ส่วนอีกคน…”
พอกล่าวถึงคำว่าอีกคน แววตาของหลิ่วเฟิงกู่ก็ฉายชัดออกถึงความเคียดแค้นชิงชัง แลดูดุร้ายปานจะกลืนกินเลือดเนื้อผู้คนทั้งเป็น!
“อีกคนก็คือ…ผู้ที่ฆ่าศิษย์ส่วนตัวของเจ้าเมือง และบีบคั้นให้เจ้าเมืองออกจากเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวมาเป็นเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวแห่งนี้?”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มแหยๆออกมา
เพราะพอเห็นอาการของหลิ่วเฟิงกู่เขาก็เดาได้ทันที ว่าอีกคนที่หลิ่วเฟิงกู่กำลังจะถูกถึงเป็นใคร…
“เป็นมัน!”
หลิ่วเฟิงกู่สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับความเคียดแค้นชิงชัง ค่อยพยักหน้ากล่าวตอบ
“ที่แท้เป็นถึงต้าหลัวจินเซียน…เจ้าเมือง ท่านนับว่าหางานให้ข้าแล้วจริงๆ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพลางส่ายหัวไปมา
ถึงแม้หลิ่วเฟิงกู่จะรับปากเขาแล้ว ว่าตราบใดที่เขาไปยังเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวแล้วรู้สึกว่าเป้าหมายไม่สมควรตาย ก็สามารถล้มเลิกข้อตกลงได้ทันที โดยที่ไม่ถือว่าผิดแต่อย่างใด…
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้รู้จักกับหลิ่วเฟิงกู่มา จากทีท่าและลักษณะนิสัยของหลิ่วเฟิงกู่ เขาจึงพอตระหนักได้ว่า
หลิ่วเฟิงกู่ไม่น่าจะโกหกเขา!
และคนที่ว่าต้องสมควรตายแน่นอน!
ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้ดี ว่าข้อตกลงครั้งนี้ไม่อาจล้มเลิกแน่แล้ว…
“ด้วยวรยุทธ์อมตะและทักษะประหลาดที่เจ้าใช้ช่วงชิงอาวุธของผู้อื่นได้…ถึงแม้เจ้าจะยังไม่บรรลุถึงขอบเขตต้าหลัวจินเซียน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะฆ่ามันไม่ได้!
“ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า…เรื่องจะทะลวงถึงขอบเขตจินเซียนกระทั่งบ่มเพาะจนบรรลุถึงขอบเขตจินเซียนตะวันม่วง ซึ่งเป็นจินเซียนขั้นสูงสุดข้าคิดว่าคงใช้เวลาไม่นานนัก…”
“และตราบใดที่เจ้าบรรลุถึงจินเซียนตะวันม่วงแล้วล่ะก็ ด้วยทักษะทั้งหมดที่เจ้ามี ย่อมสามารถกลบความต่างระหว่างขอบเขตจินเซียนตะวันม่วงกับต้าหลัวจินเซียนได้แน่! ถึงขั้นสามารถจับมันมาดั่งลูกไก่รอให้ข้าฆ่ามันกับมือได้ไม่ยาก!!”
หลิ่วเฟิงกู่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
ถึงแม้ว่าปกติแล้วความต่างระหว่างต้าหลัวจินเซียนกับจินเซียนขั้นสูงสุดจะมากมายมหาศาล
ทว่าด้วยทักษะทั้งหมดที่ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้ามี มันเชื่อว่าความต่างดังกล่าวย่อมถมกลบได้แน่!สุดท้ายอาศัยแค่ขอบเขตจินเซียนตะวันม่วงก็น่าจะเข่นฆ่าได้กระทั่งต้าหลัวจินเซียน!!
“เจ้าเมือง ท่านประเมินข้าสูงไปแล้ว…”
ต้วนหลิงเทียนได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขมออกมาอีกรอบ
“ไม่ใช่ว่าข้าประเมินเจ้าสูงไป…แต่เจ้ามีศักยภาพมากพอที่จะกระทำเช่นนั้นได้จริงๆ!”
หลิ่วเฟิงกู่มองจ้องต้วนหลิงเทียน ค่อยกล่าวเปลี่ยนเรื่องออกมาว่า “ว่าแต่น้องหลิงเทียน หลังเจ้าออกจากการปิดด่าน คนในจวนมารายงานว่าเจ้าออกไปข้างนอกมาหรือ…ไปทำอันใดมาบ้างเล่า?”
“พอดีข้าไปซื้อพวกยันต์อมตะเก็บความทรงจำมาน่ะ ทั้งหมดเป็นพวกเรื่องพื้นฐานที่สมควรรู้เท่านั้น เพราะอย่างไรข้าก็พึ่งขึ้นสวรรค์มาจึงไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไรสักเท่าไร…”
ต้ววนหลิงเทียนตอบ
“ก็จริง…”
หลิ่ววฟิงกู่พยักหน้า “ข้าเองตอนที่พึ่งขึ้นมายังหลิงหลัวเทียนก็เหมือนกัน…กระทั่งทำงานในเหมืองหินอมตะที่เมืองอื่นในทณฑลจิ่วโยวจนครบกำหนดและได้รับอิสระภาพคืนมาสักพักนั่นล่ะ ถึงจะพอเข้าใจเรื่องราวพื้นฐานต่างๆบนหลิงหลัวเทียน”
“เจ้าเมือง ท่านก็เป็นผู้ที่ขึ้นสวรรค์มาเช่นกันหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ใช่”
หลิ่วเฟิงกู่พยักหน้า แววตาเริ่มพร่ามัว เอ่อคลอไปด้วยความคิดถึงประการหนึ่ง “ในตอนนั้นข้าที่พึ่งขึ้นมายังหลิงหลัวเทียน กว่าจะรู้อะไรก็ต้องใช้เวลาไปกว่าพันปี…เพราะข้าไม่มีความสามารถเหมือนเจ้า จึงถูกจับไปเป็นแรงงานในเหมืองไม่ได้ไปไหน…ถามใครก็มีแต่คนไม่รู้เหมือนข้า…”
“กว่าพันปีแล้ว…แต่เจ้าเมืองยังไม่อาจทะลวงถึงต้าหลัวจินเซียนอีกหรือ!?”
ต้วนหลิงเทียนไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าหลิ่วเฟิงกู่เองก็เป็นผู้ที่ขึ้นสวรรค์มาเช่นกัน แถมยังอยู่มานานถึงขนาดนี้แล้ว!
“เจ้าคิดว่าผู้อื่นเป็นเหมือนเจ้าหมดหรือไร?”
ได้ยินคำถามด้วยสีหน้าท่าทางเหลือเชื่อของต้วนหลิงเทียน หลิ่วเฟิงกู่ถึงกับชักหน้าบึ้งกล่าวออกด้วยน้ำเสียงขุ่นขึ้งอยู่บ้าง “ข้าเองก็ถือว่าเป็นคนมีความสามารถในบรรดาผู้ที่ขึ้นสวรรค์มากแล้ว…ข้าขึ้นมาแค่พันกว่าปีแต่กลับสามารถบรรลุถึงจินเซียนตะวันครามได้!”
“ในอดีตข้าต้องใช้เวลาหลายสิบปี กว่าจะทะลวงผ่านจากขอบเขตเซียนอมตะสวรรค์จันทร์ครามมายังเซียนอมตะสวรรค์จันทร์ม่วง…แต่เจ้ากลับทะลวงได้ในเวลาแค่ไม่กี่เดือน!”
“ถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะ รวมถึงทรัพยากรทั้งหลายที่ข้าได้รับในตอนนั้นจะด้อยกว่าเจ้าอย่างมาก แต่อย่างไรเสียอาศัยความสามารถระดับนี้ของเจ้า ในบรรดาผู้ขึ้นสวรรค์มาทั้งมวลก็มากพอจะถือว่าเจ้าเป็นผู้ที่มีศักยภาพสูงเทียมฟ้าแล้วจริงๆ…”
ขณะที่กล่าวถึงเรื่องที่ศักยภาพของต้วนหลิงเทียนสูงเทียมฟ้า หลิ่วเฟิงกู่ก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน
“อีกทั้งข้าที่ขึ้นมายังหลิงหลัวเทียนพันกว่าปี แต่ข้ายังไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ที่ขึ้นสวรรค์คนไหนใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือนก็ทะลวงผ่านขอบเขตเซียนอมตะสวรรค์จันทร์ครามจนกลายเป็นเซียนอมตะสวรรค์จันทร์ม่วงได้เลย”
“กระทั่งให้เป็นชนพื้นเมืองของแดนสวรรค์ ข้าก็ไม่เคยได้ยินว่ามีอัจฉริยะคนใดสามารถสร้างความก้าวหน้าระหว่างขั้นพลังทั้ง 2 ได้ในเวลาอันสั้นเช่นเจ้า!
หลิ่วเฟิงกู่กล่าวสืบต่อ
พรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนทำให้มันหวาดกลัวแล้วจริงๆ
ต้วนหลิงเทียนได้แต่คลี่ยิ้มบางๆหลังได้ยินคำขอหลิ่วเฟิงกู่
เรื่องนี้เขาไม่แปลกใจอะไร
เพราะอย่างไรเสียเขาก็คือผู้ที่มีชีพจรสวรรค์ 99 สาย ไหนเลยจะเอาไปเทียบกับเซียนอมตะธรรมดาได้
“เจ้าเมือง…”
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็กล่าวเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง เขามองจ้องไปยังหลิ่วเฟิงกู่แล้วเอ่ยถามว่า “แล้วเรื่องเพลิงอมตะที่ต้องได้รับมาก่อน ถึงจะเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะกับปรมาจารย์หลอมอุปกรณ์อมตะได้เล่า…มันยากจะพบเจอมากหรือ?”