ตอนที่ 341-1 แท้ง

ตกบ่าย บ้านฝ่ายมารดาของหลี่ซื่อส่งโสมอายุมากมาให้ต้นหนึ่ง หลี่ซื่อจึงมอบโสมให้เรือนลั่วโหมย จีเหล่าฮูหยินสั่งห้องครัวต้มโสม แล้วเรียกคนที่อายุอ่อนกว่าทั้งหลายมาทานอาหารเย็นด้วยกัน พวกเฉียวเวยอยู่ที่โรงหมอยังไม่กลับมา ส่วนจีซวงทานอาหารไปแล้ว จึงเหลือเพียงจีเซิ่ง หลี่ซื่อกับจีซั่งชิง

อากาศร้อน ภายในห้องจึงวางน้ำแข็งไว้หลายถาด ประตูหน้าต่างล้วนเปิดอ้าซ่า ลมกลางคืนพัดโชยเอื่อยเฉื่อยช่วยเพิ่มความเย็นให้ได้บ้าง แต่ทั้งที่จีซั่งชิงนั่งอยู่ใกล้ช่องลมที่ใกล้กับก้อนน้ำแข็งที่สุด แต่ไม่รู้เป็นอะไรเขากลับรู้สึกร้อนผ่าว

จีเหล่าฮูหยินให้คนยกอาหารเข้ามา น้ำแกงไก่ต้มโสมต้มได้เข้าที่อย่างยิ่ง มันมีกลิ่นหอมของยาจางๆ รสเข้มข้นแต่ไม่เลี่ยน จีเหล่าฮูหยินกับจีเซิ่งและภรรยาล้วนชื่นชอบอย่างยิ่ง มีเพียงจีซั่งชิงที่เหมือนจะไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไรนัก

จีเซิ่งถามอย่างเป็นห่วงเป็นไย “พี่ใหญ่ เหตุใดไม่ดื่มเล่า”

สมองของจีซั่งชิงมึนเบลอเล็กน้อย เขามองน้ำแกงไก่ในชาม ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในใจจึงรู้สึกไม่ดี แต่โสมต้นนี้เป็นของที่หลี่ซื่อมอบมาให้ เขาย่อมไม่สะดวกจะปฏิเสธเจตนาดีของหลี่ซื่อ จีซั่งชิงข่มกลั้นความรู้สึกไม่ดี ฝืนดื่มไปคำหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไม่อยากดื่มคำที่สองอีก

จีเซิ่งมองเขาอย่างฉงน “พี่ใหญ่ สีหน้าท่านเหมือนจะไม่ปกตินักนะ ไม่สบายตรงที่ใดหรือไม่”

จีซั่งชิงใช้ผ้าเช็ดเหงื่อบนลำคอ แล้วบอกว่า “อาจเพราะเมื่อวานนอนหลับไม่ดี”

หลี่ซื่อถามว่า “สีหน้าของพี่ใหญ่แย่จริงๆ เชิญหมอสักคนมาตรวจพี่ใหญ่ดีหรือไม่”

จีซั่งชิงตอบว่า “ไม่ต้องหรอก ข้าไม่เป็นอะไร นอนหลับคืนเดียวก็หายแล้ว”

จีเหล่าฮูหยินวางตะเกียบแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าว่าเจ้าให้หมอตรวจหน่อยเถิด”

จีซั่งชิงตอบเสียงอ่อนโยน “ไม่จำเป็นจริงๆ เดี๋ยวเสี่ยวเวยก็กลับมาแล้ว รอนางกลับมาข้าค่อยให้นางตรวจดูให้”

จีเหล่าฮูหยินครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ตอนนี้เจ้าอายุไม่น้อยแล้ว อย่าคิดว่าตนเองยังเป็นหนุ่มน้อย ป่วยขึ้นมาก็ฝืนทน เจ้าทนไม่ไหวหรอก เข้าใจหรือไม่”

จีซั่งชิงตอบว่า “ลูกเข้าใจขอรับ”

แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่เขากลับไม่ได้เก็บมาใส่ใจ หลังจากอาหารเย็นเขาก็รีบร้อนกลับมาที่เรือนถง เขาไม่ได้อยู่ทานอาหารเป็นเพื่อนเจาหมิง ไม่รู้ว่าเจาหมิงจะโกรธหรือไม่

เขาเข้าไปในเรือน ผลักประตูห้องเปิด แต่กลับพบว่าในห้องว่างเปล่าไม่มีผู้ใด ถามสาวใช้ถึงทราบว่าเจาหมิงไปเดินเล่นภายในจวน

นับตั้งแต่เจาหมิงล้มป่วยก็ดูเหมือนนางจะนั่งไม่ติดที่มากกว่าเดิม ให้นางรออยู่ในห้องอย่างเชื่อฟังทำให้นางทรมานยิ่งกว่าจะเอาชีวิตของนางเสียอีก

เช่นนี้ก็ดี เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง อาจจะป่วยขึ้นมาได้ง่ายๆ

จีซั่งชิงพอเดาได้ว่าเจาหมิงจะไปที่ใด เขาก้าวเท้าเร็วไวมุ่งหน้าไปยังสวนดอกไม้ริมทะเลสาบ แล้วเขาก็เห็นนางนั่งอยู่ในศาลาจริงๆ นางกินขนมพลางสะบัดพัด ข้างกายนางมีจูเอ๋อร์นั่งสะบัดพัดพับแบบเดียวกันอยู่ หว่างคิ้วของจูเอ๋อร์แต้มจุดแดงไว้หนึ่งจุด ดูเป็นลิงน้อยที่งามสะคราญอย่างยิ่งตัวหนึ่ง

แต่ฝั่งตรงข้ามของลิงน้อยยังมีคนนั่งอยู่อีกคนหนึ่ง แน่นอนว่าพอจีซั่งชิงเห็นชัดว่าคนผู้นั้นเป็นผู้ใด สีหน้าก็ย่ำแย่ในพริบตา เขาก้าวยาวๆ เดินขึ้นศาลามายืนข้างกายเฟิ่งชิงเกอ แล้วหันไปมองสวินหลัน “เจ้ามาได้อย่างไร”

ไม่รอให้สวินหลันตอบ เฟิ่งชิงเกอก็คล้องแขนของจีซั่งชิงเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวาน “ซั่งชิง ท่านมาพอดี นางดอกหญ้าต้นนี้ดึงดันบอกว่าข้าป่วย ต้องการจะรักษาข้า!”

จีซั่งชิงสีหน้าถมึงทึง แล้วก็เห็นหมอเจิงที่ยืนอยู่ตรงมุม

โจวมามาที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นว่า “องค์หญิงเข้าใจผิดแล้ว ฮูหยินมิได้บอกว่าท่านป่วย ท่านจดจำเรื่องสมัยก่อนไม่ได้มิใช่หรือเจ้าคะ ฮูหยินจึงเชิญหมอสักคนมาตรวจอาการท่าน! ท่านหมอคนนี้คือหมอเจิงแห่งหอหลิงจือ วิชาแพทย์ยอดเยี่ยม ฝีมือเป็นเลิศจิตใจเมตตา ไม่แน่ว่าเขาอาจจะรักษาท่านหายดีได้นะเจ้าคะ!”

หากเป็นหมอคนอื่น จีซั่งชิงอาจกังวลอยู่บ้าง แต่เขาเชื่อถือหอหลิงจืออย่างสมบูรณ์ อาการป่วยของเจาหมิงเคยให้เสี่ยวเวยตรวจดูเพียงคนเดียว แม้เสี่ยวเวยจะจนปัญญา แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ไม่แน่ว่าหมอเจิงคนนี้อาจบังเอิญแตกฉานเกี่ยวกับโรคนี้ก็เป็นได้

ครุ่นคิดจบ จีซั่งชิงก็เอ่ยกับเฟิ่งชิงเกอว่า “ให้หมอเจิงจับชีพจรเจ้าสักหน่อยเถิด”

เฟิ่งชิงเกอไม่ร่วมมือสักนิด “ข้าไม่ป่วย! ข้าไม่หาหมอ!”

จีซั่งชิง “เจาหมิง”

เฟิ่งชิงเกอกุมมือนุ่มนิ่มไร้กระดูกของตนเอง แล้วบอกเบาๆ ว่า “ดอกหมู่ตานอย่างพวกข้ามิอาจให้ใบถูกผู้อื่นแตะต้องได้ตามใจ หากเขาทำใบของข้าเสียหาย ข้าต้องรอถึงปีหน้ากว่าจะงอกออกมาใหม่ได้”

จีซั่งชิงยิ้ม เขากระซิบเสียงเบาอย่างยิ่งเลียนแบบนาง “เจ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่ให้เขาเด็ดใบของเจ้า”

โจวมามามองท่าทางเอียงหูกระซิบกระซาบกันของทั้งสองคน แม้ไม่รู้ว่าทั้งสองพูดสิ่งใดกัน แต่ภาพความใกล้ชิดสนิทสนมนั่นก็ทำให้นางรู้สึกขัดตาอย่างไร้สาเหตุ ในหัวใจนางเกิดความดูแคลนผุดขึ้นมา เสแสร้งเข้าไปๆ ดูซิว่าเจ้าจะลำพองได้ถึงเมื่อใด

เมื่อจีซั่งชิงหลอกล่อเสียงอ่อน ในที่สุดเฟิ่งชิงเกอก็ตกลงให้หมอเจิงจับชีพจรของตนเอง

โจวมามาคาดไว้อยู่แล้วว่าจีซั่งชิงจะต้องตกลง อย่างไรเสียจีซั่งชิงก็เชื่อใจเฉียวเวยถึงเพียงนั้น เขาย่อมมีความรู้สึกดีต่อหอหลิงจือเพิ่มมากขึ้นเท่าทวีไปด้วย เขาไม่มีทางระแวงหมอเจิง

หมอเจิงหยิบผ้าสะอาดผืนหนึ่งออกมาวางบนข้อมือของเฟิ่งชิงเกอ

เฟิ่งชิงเกอกำชับว่า “เจ้าเบาหน่อย อย่าทำใบของข้าขาด”

หมอเจิง “…”

หมอเจิงแตะสามนิ้วบนชีพจรของนางเพื่อตรวจชีพจรให้นาง ตรวจไปพลางก็ขมวดคิ้วไปด้วย

จีซั่งชิงเห็นเขาทำท่าเหมือนการใหญ่ท่าจะไม่ดีเช่นนี้ หัวใจก็บีบรัดทันที “ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง”

โจวมามายิ้มอย่างชั่วร้าย

หมอเจิงประสานมือตอบว่า “เรียนนายท่านจี ฮูหยินของท่าน นาง…ไม่ได้ป่วยเป็นอันใดเลยขอรับ!”

“ไม่…ไม่ได้ป่วยหรือ” รอยยิ้มของโจวมามาแข็งทื่ออยู่บนใบหน้า

หมอเจิงมองนางแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างที่ยังนับว่าเกรงใจ “ร่างกายของฮูหยินไม่มีปัญหาใหญ่ประการใด ส่วนเรื่องที่บอกว่าจดจำเรื่องราวก่อนหน้าไม่ได้ เรื่องนี้ดูจากชีพจรแล้วไม่เห็นเงื่อนงำแต่อย่างใด บางทีอาจเกี่ยวกับความกระทบกระเทือนใจที่เคยประสบในอดีต”

จีซั่งชิงผิดหวังเล็กน้อย หมอเจิงก็จนหนทางเหมือนกัน ดูท่าอาการป่วยของเจาหมิงคงไร้ความหวังแล้ว…

หมอเจิงเก็บล่วมยาแล้วลุกขึ้นจะจากไป แต่โจวมามาดึงแขนเสื้อเขาไว้ “หมอเจิง เมื่อครู่ท่านตรวจผิดหรือไม่”

“ตรวจผิดหรือ” หมอเจิงขมวดคิ้วหันมามองหญิงรับใช้ที่ชอบสอดปากและยึดถือความคิดของตนเองเป็นใหญ่คนนี้ “ข้าเป็นหมอมาหลายปี แม้ไม่กล้าพูดว่าตนเองไม่เคยทำพลาด แต่คนผู้หนึ่งป่วยหรือไม่ป่วย ข้ายังตรวจได้อยู่”

เป็นไปไม่ได้ นางดื่มน้ำถั่วเขียวต้มลงไปจนเกลี้ยง ปริมาณมากขนาดนั้น เหตุไฉนจึงไม่มี ‘อาการป่วย’ สักนิดเลยเล่า

โจวมามาตระหนักได้ว่าคำพูดของตนเองไม่เหมาะสม จึงยิ้มอย่างเขินอาย “หมอเจิง ข้ามิได้สงสัยวิชาแพทย์ของท่าน…แต่ฮูหยินของพวกเรานาง…ฐานะไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง จะผิดพลาดแม้แต่น้อยไม่ได้ ท่านตรวจนางดูอีกสักหนเถิด”

เฟิ่งชิงเกอยิ้มจนตาหยีหยิบเนื้อวัวแดดเดียวขึ้นมาหนึ่งชิ้น “เอาสิ ท่านหมอ ท่านตรวจข้าอีกสักหนเถิด”

หมอเจิงจนปัญญา จึงได้แต่ตรวจชีพจรให้เฟิ่งชิงเกออีกหนหนึ่ง “ไม่ผิดปกติจริงๆ”

“เป็นไปไม่ได้!” โจวมามาหลุดปากโพล่งออกมา

หมอเจิงกับจีซั่งชิงหันไปมองอย่างนึกแปลกใจ

นางกำมือที่ชื้นเหงื่อแล้วบอกว่า “ข้าหมายความว่า…สมองของฮูหยินสติไม่ค่อยแจ่มชัดนัก อย่างไรก็น่าจะ…น่าจะมีปัญหาสักที่…หมอเจิงวิชาแพทย์ของท่านสูงส่งถึงเพียงนี้ รักษาฮูหยินไม่ได้จริงๆ หรือ”

หมอเจิงตอบว่า “อาการนี้คือป่วยที่ใจ ย่อมต้องรักษาที่ใจ ขออภัยที่ข้าไร้ความสามารถ”

“ซั่งชิง ท่านกิน” เฟิ่งชิงเกอป้อนเนื้อวัวแดดเดียวใส่ปากของจีซั่งชิง

จีซั่งชิงกัดเพียงเบาๆ คำเดียวก็รู้สึกไม่สบายไปทั่วทั้งร่าง เขาผุดลุกขึ้นเดินไปที่รั้วกั้นแล้วเกาะเสาอาเจียนลมออกมาพักหนึ่ง

เฟิ่งชิงเกอกะพริบตา “อ๊ะ! ซั่งชิง ท่านป่วยหรือ”

“นายท่านจีนั่งก่อน ข้าจะตรวจท่านสักหน่อย” หมอเจิงวางล่วมยาลงแล้วประคองจีซั่งชิงกลับมาบนม้านั่ง จากนั้นคว้าข้อมือของเขามาจับชีพจร เพิ่งจับได้ครู่เดียวก็ชักมือกลับทันที!

สวินหลันหันไปมองหมอเจิงอย่างไม่เข้าใจ

เฟิ่งชิงเกอกะพริบตาปริบๆ ถามขึ้นว่า “หมอเจิง สามีข้าเขาเป็นอะไรไป ป่วยร้ายแรงมากใช่หรือไม่ ข้าเห็นท่านตกใจจนหน้าซีดแล้ว”

หมอเจิงใช่เพียงตกใจจนหน้าซีดเสียที่ไหน ขนอ่อนทั่วทั้งร่างต่างลุกชันขึ้นมาพร้อมกันแล้วต่างหาก

หมอเจิงใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก “เมื่อครู่ข้าอาจตรวจผิด ข้าจะตรวจอีกหน”

จีซั่งชิงยื่นมือมาให้อย่างให้ความร่วมมือ

หมอเจิงตรวจชีพจรอีกครั้ง ตรวจเสร็จก็หิ้วล่วมยาทำท่าจะเดินออกไปด้านนอก

เฟิ่งชิงเกอดึงสายคาดเอวของเขาเอาไว้ “อย่าเพิ่งไปสิท่านหมอ สามีของข้าเป็นอะไรกันแน่”

หมอเจิงถูกดึงไว้ทำให้เดินจากไปไม่ได้ วิ่งจากไปก็ไม่ได้ เขาจึงกอดล่วมยาไว้แน่น บอกว่า “ข้า…ข้าไม่กล้าพูด”

เฟิ่งชิงเกอเอ่ยว่า “มีสิ่งใดไม่กล้าพูดกันเล่า ท่านรีบพูดมาเถิด ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรล้วนไม่กล่าวโทษท่าน”

หมอเจิงขนหัวลุก เสียงสั่นเทา “ชีพจรของนายท่านจี…ประหลาดเล็กน้อย”

“ประหลาดอย่างไร” เฟิ่งชิงเกอถามด้วยสีหน้าไร้เดียงสา

หมอเจิงกระแอม ตอบว่า “เขามี…ชีพจรมงคล”

จีซั่งชิงตกตะลึง

ท่านหมอพูดอะไรออกมา

เขา?

บุรุษผู้หนึ่ง?

มีชีพจรมงคลหรือ

จีซั่งชิงรู้สึกเหมือนตนเองถูกฟ้าผ่าในพริบตา!

เฟิ่งชิงเกอเริ่มแรกก็ตกตะลึงอยู่สองพริบตา แต่จากนั้นก็ทนไม่ไหว กลั้นจนเกือบตายแต่ก็ยังหัวเราะออกมาดังพรืด

หมอเจิง เหมือนข้าจะค้นพบเรื่องสุดยอดอะไรเข้าให้แล้ว รีบชิงย้ายออกจากเมืองหลวงก่อนที่จะถูกตระกูลจีฆ่าปิดปากดีกว่า!

ในใจครุ่นคิดจบ หมอเจิงก็อุ้มล่วมยาเผ่นแน่บจากไปราวกับวิ่งอยู่บนสายลม!

ใจของจีซั่งชิงรู้สึกอับอายจนอยากจะหาหลุมสักแห่งบนพื้นมุดเข้าไป ภรรยาสองคนล้วนอยู่ที่นี่ แต่สามีอย่างเขาคนนี้กลับ ‘ตั้งครรภ์’ ขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด ไม่ต้องเล่าลือออกไป เพียงรู้กันภายในเท่านี้ก็ทำให้คนอับอายจนอยากจะตายไปเสียให้พ้นแล้ว!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นหน้าท้องที่นูนป่องนั่นของสวินหลัน เทพผีตนใดไม่ทราบก็ดลใจให้สมองของเขาผุดภาพตัวเองท้องโตขึ้นมา

จีซั่งชิงสีหน้าเคร่งขรึม “เมื่อใดเจ้าถึงจะคลอด”

สวินหลัน “เดือนแปด ท่านเล่า”

จีซั่งชิงทำหน้าอิจฉา “ของข้าคงไม่เร็วถึงเพียงนั้น”

สมองหยุด สมองหยุด! สมองหยุดเดี๋ยวนี้!

จีซั่งชิงหน้าเศร้า “ของข้าน่าจะปีหน้า”

สมอง ข้าบอกให้เจ้าหยุดแล้วอย่างไรเล่า!

สวินหลัน “เดินให้มากหน่อย จะได้คลอดง่าย”

จีซั่งชิงยิ้มน้อยๆ “เข้าใจแล้ว”

“อ้วกกก” จีซั่งชิงเกาะราวกั้นอาเจียนอาหารเย็นของเมื่อวานออกมา!

ภายในโรงหมอ ใต้เท้าเจ้าสำนักยังคงสลบอยู่ ฟู่เสวี่ยเยียนเฝ้าอยู่ข้างเตียงของเขา เฉียวเวยดื่มชาอย่างเบื่อหน่าย ซิ่วฉินฟื้นแล้ว นางตามมาถึงที่นี่แล้วรออยู่ด้านนอก ทันใดนั้นซิ่วฉินก็เห็นปี้เอ๋อร์เดินมาทางด้านนี้พร้อมกับสีหน้าร้อนรน นางถามอย่างร่าเริง “ปี้เอ๋อร์ เหตุไฉนเจ้าจึงมาที่นี่ได้เล่า”

ปี้เอ๋อร์สีหน้าร้อนรนเล็กน้อย “ฮูหยินของข้าอยู่หรือไม่”

ซิ่วฉินพยักหน้า “อยู่ด้านใน”

ปี้เอ๋อร์ตบหลังมือของนางเบาๆ แล้วผลักประตูเข้าไปในห้อง นางเห็นคุณชายรองที่อยู่บนตียงก่อนเป็นคนแรก ต่อจากนั้นจึงเดินไปถึงตรงหน้าเฉียวเวยแล้วรายงานเสียงเบาสองสามประโยค เฉียวเวยกลั้นมิไหว พ่นน้ำชาออกมาเต็มหน้าของนาง “เจ้าว่าอะไรนะ พ่อสามีของข้าตั้งครรภ์หรือ”

หากจะถามว่าปี้เอ๋อร์ทราบเรื่องนี้ได้เช่นไรย่อมเป็นเพราะเฟิ่งชิงเกอสนุกสนานมากเกินไป จึงตั้งใจส่งปี้เอ๋อร์เดินทางมาบอกข่าวดีกับเฉียวเวยโดยเฉพาะ คำพูดดั้งเดิมของเฟิ่งชิงเกอยังมีอีกประโยค บอกว่า ‘ยินดีกับเจ้าด้วยนะที่จะมีน้องชายอีกคน’ แต่ประโยคนี้ถูกปี้เอ๋อร์ตัดออกไป ปี้เอ๋อร์สังหรณ์ว่าหากนางพูดมันออกมาจริงๆ เกรงว่าคงจะถูกฮูหยินของตนทุบตีจนสภาพน่าอนาถนัก

พ่อสามี ‘ตั้งครรภ์’ เป็นเรื่องใหญ่ เฉียวเวยสาบานว่านางไม่ได้กลับไปเพื่อชมดูเรื่องสนุก นางตั้งใจจะไปตรวจชีพจรให้พ่อสามีอย่างจริงจังและเป็นการเป็นงานอย่างยิ่ง!

นางหันไปมองฟู่เสวี่ยเยียนแล้วบอกว่า “แม่นางฟู่ ที่บ้านมีเรื่องนิดหน่อย ข้าจะกลับไปก่อน พวกเจ้าอย่าออกไปเดินข้างนอกมั่วซั่วจะได้ไม่ต้องพบคนเผ่าเยี่ยหลัวอีก รอข้าไปถึงบ้านแล้วจะให้อาจารย์ตาฮั่วมารับพวกเจ้า”

ฟู่เสวี่ยเยียนผงกศีรษะนิดๆ “ขอบคุณมาก”

เฉียวเวยขึ้นไปนั่งบนรถม้า รถม้าแล่นกลับจวนตระกูลจีโดยไม่แวะพัก พอลงจากรถม้าก็เดินมุ่งหน้าไปยังเรือนถง ฝีเท้าของนางรวดเร็วจนปี้เอ๋อร์ไล่ตามไม่ทัน ได้แต่ตะโกนเสียงดังว่า “ไปผิดทางแล้วเจ้าค่ะ! นายท่านไม่ได้อยู่ที่เรือนถง! อยู่ในสวนเจ้าค่ะ!”

เฉียวเวยเลี้ยวอย่างคล่องแคล่ว มุ่งหน้าไปยังสวนดอกไม้น้อย

ตระกูลจีมีสวนไม่น้อย แต่สวนที่ทิวทัศน์งดงามที่สุดมีเพียงสวนที่อยู่ริมทะเลสาบแห่งนั้น

ไม่ผิดจากที่คาด เฉียวเวยเห็นจีซั่งชิงหน้าดำเป็นถ่านอยู่ในสวนจริงๆ ข้างกายจีซั่งชิงมีเฟิ่งชิงเกอนั่งอยู่ นางใช้ ‘ใบ’ ของตนแตะท้องของเขา เฟิ่งชิงเกอแทงซ้ำอีกหนึ่งมีด “เด็กน้อยต้องเป็นเด็กดีนะ อย่าถีบท่านพ่อของเจ้าเล่า”

จีซั่งชิง “!”

สวินหลันกับบ่าวของนางก็อยู่ในศาลาด้วย สีหน้าของสวินหลันยังคงสงบเรียบเฉยดุจดังแต่ก่อน เหมือนสวมหน้ากากอันสมบูรณ์แบบเอาไว้ แต่โจวมามาที่อยู่ด้านข้างไม่ได้เก่งกาจในด้านนี้เท่ากับนาง

โจวมามาก้มหน้า สีหน้าเหมือนตระหนกลนลานอยู่เล็กน้อย

เฉียวเวยมองนางแวบหนึ่งก็รั้งสายตากลับไป เดินไปถึงตรงหน้าจีซั่งชิง

จีซั่งชิงสีหน้าดำทะมึน ยื่นมือออกมา

เฉียวเวยจับชีพจรให้จีซั่งชิง

เฟิ่งชิงเกอถามอย่างไร้เดียงสา “เด็กน้อยยังอยู่ดีหรือไม่”

เฉียวเวยคิดในใจ เจ้าอย่าแต่งเรื่องเพิ่มเองส่งเดชได้หรือไม่

เฉียวเวยทำหน้าเคร่งขรึม “มีชีพจรมงคลจริงๆ”

จีซั่งชิงเงยหน้าขึ้นมาทันควัน!

เฉียวเวยเอ่ยต่อว่า “ท่านฟังข้าพูดให้จบก่อน แม้ชีพจรจะเป็นชีพจรมงคล แต่นี่มิได้หมายความว่าท่านตั้งครรภ์จริงๆ ปัจจัยที่ทำให้เกิดชีพจรมงคลมีสองประการ หนึ่งคือตั้งครรภ์จริงๆ อีกประการหนึ่งก็คือเป็นฤทธิ์ของยา ข้าเดาว่าท่านน่าจะเป็นอย่างหลัง ท่านลองนึกดูให้ละเอียด วันนี้กินของแปลกๆ อะไรเข้าไปหรือไม่”

จีซั่งชิงขมวดคิ้วครุ่นคิด

เฉียวเวยหันไปมองเฟิ่งชิงเกอแล้วบอกว่า “ท่านแม่ ข้าจับชีพจรให้ท่านด้วยก็แล้วกัน ท่านกับท่านพ่ออยู่ด้วยกัน ทานอาหารด้วยกัน หากท่านกินเข้าไปด้วยก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมีชีพจรมงคลเช่นกัน”

“อืม” เฟิ่งชิงเกอยื่นมือออกมาอย่างว่าง่าย

เฉียวเวยจับชีพจรของนาง “ชีพจรของท่านแม่ไม่มีปัญหา ดูท่าท่านแม่จะไม่ได้กินลงไป ท่านพ่อ ท่านเริ่มไม่สบายตั้งแต่เมื่อใด”

จีซั่งชิงตอบว่า “ก่อนอาหารเย็น”

เฉียวเวยครุ่นคิด “ถ้าเช่นนั้นก็น่าจะกินของไม่ดีเข้าไปก่อนอาหารเย็น”

จีซั่งชิงครุ่นคิด ก่อนอาหารเย็น เขาอยู่ที่เรือนถงตลอด ของที่กินของที่ดื่มล้วนเหมือนกับเจาหมิงทุกประการ…

เดี๋ยวก่อน!

จีซั่งชิงเรียก “เจาหมิง”

“หืม” เฟิ่งชิงเกอกะพริบดวงตาอันแวววาวหันมามองเขา

จีซั่งชิงถามว่า “เจ้ากินน้ำถั่วเขียวต้มเมื่อตอนบ่ายหรือไม่”

เฟิ่งชิงเกอส่ายหน้า “ไม่นะ ก็เก็บไว้ให้ท่านทั้งหมดไม่ใช่หรือ”

เฉียวเวยเข้าใจแล้ว นางบอกปี้เอ๋อร์ว่า “เจ้าไปถามห้องครัว น้ำถั่วเขียวต้มของเรือนถง ผู้ใดเป็นคนปรุง แล้วผู้ใดเป็นคนยกมา ระหว่างนั้นผ่านมือของผู้ใดบ้าง แล้วยังมีเหลืออยู่หรือไม่ หากเหลืออยู่ก็ตักมาให้ข้าสักหน่อย”

ปี้เอ๋อร์หมุนตัวเดินจากไป

หน้าผากของโจวมามามีเหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วซึมออกมา

เฉียวเวยมองนางอย่างขบขัน แล้วถามโดยที่ไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด “โจวมามาเจ้าเป็นอะไรไป เหงื่อออกมากขนาดนี้ ไม่สบายตรงที่ใดหรือไม่ ให้ข้าตรวจดูหน่อยดีหรือไม่”

จีซั่งชิงขมวดคิ้วหันมามองนาง