เล่ม-1 ตอนที่ 340-1 คุณชายรองจีผู้องอาจ รู้ทัน

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน

ตอนที่ 340-1 คุณชายรองจีผู้องอาจ รู้ทัน

ตกบ่ายเมืองหลวงมีฝนตกลงมาทั้งที่แดดสว่างจ้า สายรุ้งงดงามประดับอยู่บนฟากฟ้า

“สายรุ้งในเมืองหลวงไม่สวยเท่าที่เยี่ยหลัวนะเจ้าคะ” ซิ่วฉินเท้าแขนบนกรอบหน้าต่าง สองแขนเท้าคางมองดูสายรุ้ง

ด้านข้างของนาง ใต้เท้าจ้าสำนักกำลังเท้าคางมองสายรุ้งในท่าเดียวกัน เขากลอกตาอย่างดูแคลน “สายรุ้งที่เยี่ยหลัวนับเป็นอะไรได้ สายรุ้งบนทะเลสิถึงงดงาม!”

ซิ่วฉินเถียงว่า “สายรุ้งบนทะเลไม่สวยเสียหน่อย! บ้านของพวกเราที่ทุ่ง…”

“ซิ่วฉิน” ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ “เก็บของ ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย”

ซิ่วฉินขานตอบคำหนึ่งก็หมุนตัวไปเก็บของ

ใต้เท้าเจ้าสำนักหันไปมองฟู่เสวี่ยเยียน “เจ้าจะไปที่ใด”

“ไปร้านหนังสือ” ฟู่เสวี่ยเยียนตอบ

“ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า”

“ไม่จำเป็น”

ใต้เท้าเจ้าสำนักเบะปาก เจ้าบอกว่าไม่ก็ไม่หรือ

ฟู่เสวี่ยเยียนกับซิ่วฉินนั่งบนรถม้าเสร็จ ใต้เท้าเจ้าสำนักก็เลือกรถม้าคันใหญ่สีทองอร่ามคันหนึ่งจากในคอกม้า นี่เป็นรถม้าส่วนตัวของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

หลังจากขึ้นรถม้าแล้ว เขาก็กำชับสารถีว่า “เจ้าตามไปเงียบๆ อย่าให้คนรู้ตัว”

สารถีมองรถม้าสีทองที่เปล่งประกายระยิบระยับจนตาเขาแทบบอด แล้วคิดในใจว่าเงื่อนไขที่ท่านตั้งเกรงว่าคงจะสูงไปสักหน่อย

ด้วยเหตุนี้ รถม้าทองคำสีทองระยิบระยับที่หากมีคนหนึ่งร้อยคน คงจะมีคนหันกลับมามองสักหนึ่งร้อยยี่สิบก็ลอบสะกดรอยรถม้าที่ภายนอกไม่สะดุดตาคันหนึ่งออกไปจากประตูหลักของจวนตระกูลจี

ซิ่วฉินเปิดม่านหน้าต่างรถมองไปด้านนอก คนสะกดรอยทำตัวเช่นนี้ ไม่รู้จะวิจารณ์เขาว่าอย่างไรดีแล้วจริงๆ “คุณหนู เขาตามมาแล้วเจ้าค่ะ”

ฟู่เสวี่ยเยียนสั่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย “สลัดเขาให้หลุด”

ซิ่วฉินเลิกม่านรถม้า ตบหัวไหล่สารถีแล้วว่า “เจ้าเลี้ยวไปตรอกด้านนั้น”

“ขอรับ!”

สารถีขานรับจากนั้นจึงรั้งสายบังเหียนเลี้ยวเข้าไปในตรอก

ใต้เท้าเจ้าสำนักรีบบอกว่า “เร็วๆ! ไล่ตามไป! อย่าปล่อยให้คลาดกัน!”

พอสารถีฝั่งนี้เลี้ยวรถม้าเข้ามาในตรอกเสร็จ ช่วงที่พวกเขากำลังจะตามกันออกมาพ้นตรอกนั่นเอง ซิ่วฉินก็ซัดฝ่ามือพังเสาต้นหนึ่งริมทาง เสาล้มโครมลงไปขวางเส้นทางของรถม้าเอาไว้

ใต้เท้าเจ้าสำนักร้อนใจ เขารีบกระโดดลงไปย้ายเสาพร้อมกับสารถี แต่เมื่อพวกเขาย้ายเสาเสร็จ รถม้าของฟู่เสวี่ยเยียนก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว

รถม้าจอดหน้าร้านหนังสือแห่งหนึ่ง ฟู่เสวี่ยเยียนกับซิ่วฉินลงจากรถม้า ซิ่วฉินบอกสารถีว่า “เจ้ารออยู่ตรงนี้ พวกเราซื้อเสร็จจะออกมา”

สารถีตอบรับอย่างนอบน้อม

นายบ่าวสองคนเข้าไปในร้านหนังสือ

ร้านหนังสือร้านนี้ไม่ได้เปิดร้านอยู่ในเขตคนพลุกพล่าน กิจการจึงเงียบเหงา อีกทั้งวันนี้ยังมิใช่วันหยุด ลูกค้าที่เดินทางมาซื้อหนังสือจึงมีเพียงไม่กี่คน

ผู้ดูแลร้านยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะกั้นอย่างเกียจคร้าน มือข้างหนึ่งเท้าศีรษะ มืออีกข้างหนึ่งพลิกหน้าหนังสือ ไม่สนใจลูกค้าที่เข้ามาใหม่สักนิด

ฟู่เสวี่ยเยียนวางกระดาษที่เขียนชื่อหนังสือไว้บนหนังสือของเขา “ร้านของพวกเจ้ามีหนังสือเล่มนี้หรือไม่”

สายตาของผู้ดูแลตวัดผ่านตัวอักษรบนกระดาษสีขาว ทันใดนั้นร่างกายก็ชะงักลุกขึ้นหันมาหานาง

ฟู่เสวี่ยเยียนสวมผ้าปิดหน้าอยู่ เผยให้เห็นเพียงดวงตาเรียบเฉยไร้ระลอกคลื่น “ไม่มีหรือ”

ผู้ดูแลตอบสีหน้าเคร่งขรึม “มีๆ ขอรับ แม่นางต้องการฉบับคัดลอกด้วยลายมือหรือฉบับพิมม์ด้วยแม่พิมพ์เล่าขอรับ”

“ฉบับลายมือ” ฟู่เสวี่ยเยียนตอบ

ผู้ดูแลจ้องนางนิ่งๆ “เป็นลายมือของบัณฑิตซิ่วไฉหรือว่าปรมาจารย์นักเขียนพู่กันดีขอรับ”

“ของปรมาจารย์นักเขียนพู่กัน” ฟู่เสวี่ยเยียนตอบ

แววตาของผู้ดูแลวูบไหวเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นราคาก็จะแพงสักหน่อย”

ฟู่เสวี่ยเยียนหยิบกระเป๋าเงินออกมาจากแขนเสื้อกว้าง “หมื่นตำลึงทองยังมิสู้ยอดหยกงาม ข้ามีหยกชั้นดีอยู่ก้อนหนึ่ง พอซื้อตำราที่ปรมาจารย์นักเขียนพู่กันเขียนเองสักเล่มหนึ่งหรือไม่”

ผู้ดูแลเปิดกระเป๋าเงินดู เพียงพริบตาสีหน้าก็กลายเป็นเคารพนอบน้อม “พอ! พอๆ ขอรับ! แม่นางเชิญตามข้ามา”

พวกฟู่เสวี่ยเยียนสองคนตามผู้ดูแลไปยังห้องส่วนตัวบนชั้นสอง

ผู้ดูแลใช้ถาดยกตำราเล่มหนึ่งเข้ามา เขาก้าวเข้ามาในห้องอย่างนอบน้อม สองมือประคองส่งให้ฟู่เสวี่ยเยียน ฟู่เสวี่ยเยียนรับตำรามาแล้วบอกว่า “เจ้าออกไปเถิด”

“ขอรับ” ผู้ดูแลถอยออกไป

ฟู่เสวี่ยยียนพลิกเปิดตำราฉบับลายมือ ด้านในมีที่คั่นหนังสือนอนอยู่ชิ้นหนึ่ง ฟู่เสวี่ยเยียนเก็บที่คั่นหนังสือมา จากนั้นหยิบที่คั่นหนังสืออีกชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้ววางลงไป หลังจากนั้นจึงปิดตำรา วางมันทิ้งไว้ที่เดิมแล้วลุกออกไป

ฟู่เสวี่ยเยียนคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่า เมื่อนางเดินมาถึงห้องโถงใหญ่ บุรุษผู้หนึ่งก็เดินเข้าประตูมาพอดี เขาเป็นคนที่ต่อให้สลายกลายเป็นขี้เถ้านางก็ยังจดจำได้

บุรุษผู้นั้นมองนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แววตาฉายแววตกตะลึงจางๆ ต่อจากนั้นมุมปากก็ยกโค้งขึ้นช้าๆ “เดินจนรองเท้าเหล็กทะลุหาไม่พบ พอจะได้มากลับมิต้องลงแรงแม้แต่น้อย ไม่พบหน้ากันนานนะน้องสาว ตั้งแต่จากกันสบายดีหรือไม่”

ซิ่วฉินรวบรวมความกล้าก้าวมาบังหน้าฟู่เสวี่ยเยียน “คุณหนูท่านหนีไปก่อนเจ้าค่ะ! ข้าจะรั้งเขาไว้เอง!”

“อย่างเจ้าน่ะหรือ” ชายหนุ่มหัวเราะหยัน ก่อนจะฟาดลมปราณฝ่ามือหนึ่งออกมาตบซิ่วฉินจนสลบฟุบกับพื้น

ฟู่เสวี่ยเยียนแววตาเย็นชา นางส่งผ้าแพรขาวออกมาตบชั้นหนังสือแถวหนึ่งจนล้มคว่ำ ชั้นหนังสือล้มลงไปหาชายหนุ่ม หนังสือและม้วนตำราร่วงลงมาใส่ใบหน้ากับศีรษะของเขา ชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อ ดีดชั้นหนังสือกับเล่มตำราทั้งหลายกระเด็นอกไป

จังหวะที่เขาสะบัดแขนเสื้อ ฟู่เสวี่ยเยียนก็หนีออกประตูหลังไปแล้ว

ชายหนุ่มมองเงาแผ่นหลังที่หายลับไปจากประตูด้านหลัง เขายกมุมปากขึ้นอย่างเย็นชา “คิดหนีหรือ ไม่ง่ายดายขนาดนั้นหรอก”

ประตูหลังของร้านหนังสือเป็นถนนที่ค่อนข้างพลุกพล่านสายหนึ่ง ฟู่เสวี่ยเยียนเดินเบียดเข้าไปท่ามกลางผู้คน ตอนนี้นางไร้หนทางจะอ้อมกลับไปนั่งรถม้าที่หน้าประตูร้านหนังสือ ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้อ้อมไปได้ ด้วยนิสัยของคนผู้นั้น รถม้าก็ไม่มีทางแล่นออกไปได้

นางซอกแซกไปท่ามกลางฝูงชน โดยที่รับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่ามีคนไล่ตามมา นางเร่งก้าวไปด้านหน้า แต่ด้านหน้ากลับมีคนขวางทางของนางอยู่

นางขยับหลบเข้าไปในตรอก จากนั้นใช้วิชาตัวเบาสลัดคนผู้นั้น

นางมาถึงปากตรอกแล้ว ตอนนั้นเองนางก็เห็นรถม้าทองคำของใต้เท้าเจ้าสำนักแล่นมาทางนี้ นางก้าวขาหมายจะเรียกเขา ไหนเลยจะคิดว่าเวลานี้เองฝ่ามือใหญ่เย็นเฉียบข้างหนึ่งก็ปิดปากของนาง แล้วกระชากนางกลับไปในตรอก

นางถูกคนรัดไว้ในอ้อมแขน มือของชายหนุ่มกอดนางไว้จากด้านหลัง ฝ่ามือใหญ่เลื่อนลงมากุมรอบลำคอของนาง น้ำเสียงเย็นชาแต่เปี่ยมเสน่ห์ดังอ้อยอิ่งที่ริมหู “อย่าขยับ หากเจ้าไม่อยากให้ท้องของเจ้าเป็นอะไรไป”

ฟู่เสวี่ยเยียนหลุบตาลงมองก็เห็นมืออีกข้างหนึ่งของเขาวางอยู่บนท้องของนางและกำลังกดลงมาอย่างช้าๆ

ฟู่เสวี่ยเยียนเลิกขัดขืนในพริบตา นางถูกชายหนุ่มใช้ผ้าคลุมกันลมคลุมร่างไว้ ได้แต่เบิ่งตามองรถม้าของใต้เท้าเจ้าสำนักแล่นผ่านปากทางเข้าตรอกไป

ชายหนุ่มพูดขึ้นมาว่า “กล้าหักหลังข้า หนีไปกับคนตระกูลจี เจ้าช่างใจกล้ามากขึ้นทุกทีแล้วจริงๆ …รู้หรือไม่ว่าข้าสิ้นเปลืองความคิดเพื่อเจ้าไปเท่าไร หืม แต่ต่อให้เปลืองอีกเท่าใดก็คุ้มค่า ผู้ใดให้ข้าสนใจเจ้าถึงเพียงนี้กันเล่า”

เขายิ้มอย่างชั่ววร้าย ขณะที่ปลายนิ้วลูบไล้พวงแก้มของนาง

ฟู่เสวี่ยเยียนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของเขาราวกับปลงแล้ว

ชายหนุ่มยิ้มหยัน หมุนร่างของนางไปชิดกับกำแพงแข็งที่เย็นเฉียบ เขาก้มตัวลงมาเล็กน้อย มองเข้าไปในดวงตาของนาง ระยะห่างใกล้จนแทบจะสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย “รู้หรือไม่ว่าการทรยศข้าจะมีจุดจบเช่นไร”

ฟู่เสวี่ยเยียนมองเขาอย่างเย็นชา

มือของชายหนุ่มลูบไล้หน้าท้องของนางแผ่วบา บนใบหน้าปรากฏความริษยาอย่างยากที่จะปิดบัง เขาขยุ้มเส้นผมด้านหลังศีรษะของนางแล้วบังคับให้นางเงยหน้าขึ้น

ฟู่เสวี่ยเยียนรู้ว่าเขากำลังจะทำสิ่งใด นางจึงยกมือขึ้นฟาดฝ่ามือ ชายหนุ่มจับมือของนางไว้อย่างรวดเร็ว “อย่าท้าทายความอดทนของข้า ข้าทำให้มันตายได้ง่ายดายเท่ากับฆ่ามดปลวกตัวหนึ่ง”

แววตาของฟู่เสวี่ยเยียนฉายแววเกลียดชังจางๆ

ชายหนุ่มยิ้มอย่างชั่วร้าย ไม่ปิดบังความปรารถนาในดวงตาอย่างสิ้นเชิง เขาอุ้มฟู่เสวี่ยเยียนขึ้นมาแล้วก้าวไปทางรถม้าของตนเอง รถม้าของเขาจอดอยู่ที่ปากทางเข้าตรอกอีกฝั่งหนึ่ง ตอนที่เดินทะลุตรอกกำลังจะขึ้นไปนั่งบนรถม้านั่นเอง จู่ๆ รถม้าสีทองอร่ามคันหนึ่งก็พุ่งเข้ามากวาดรถม้าของเขาจนพลิกคว่ำ

แววตาของเขาถมึงทึงทันที!

ใต้เท้าเจ้าสำนักกระโดดลงมาจากรถม้าสีทองอร่าม สายตายโสโอหังจับจ้องใบหน้าของเขา “ปล่อยนาง”

แพขนตาของฟู่เสวี่ยเยียนกระพือไหว