เล่ม 1 ตอนที่ 345-1 ตีแผ่ความจริง

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 345-1 ตีแผ่ความจริง

สวินหลันเลยได้อยู่ในบ้านตระกูลจีต่อด้วยประการฉะนี้ ได้ยินว่าเหล่าฮูหยินไม่พอใจเรื่องนี้มาก แม้แต่จีซั่งชิงมาเยี่ยมคารวะก็ปิดประตูไม่ยอมพบหน้า กลับเป็นเฉียวเวยที่หอบหิ้วเอาโสมเอยรังนกเอยไปไถ่ถามอาการของสวินหลันที่เรือนหลีฮวา ทั้งยังกำชับบ่าวไพร่สาวใช้ในเรือนว่าห้ามเมินเฉยต่อฮูหยินเป็นอันขาด ไม่ว่าฮูหยินอยากกินอะไรอยากใช้อะไรก็ต้องไปทำให้ด้วยความเคารพ หากในกองกลางไม่ก็ให้รีบไปขอจากนางที่บ้านชิงเหลียน หากที่นางไม่มีก็ให้เอาเงินไปซื้อหามาจากข้างนอก

หลังจากนั้นชื่อเสียงใจดีมีเมตตาของฮูหยินน้อยก็แพร่ไปทั่วจวนทันที

ทุกครั้งที่โจวมามาได้ยินเรื่องนี้เป็นต้องกรอกตาบนด้วยความดูแคลนทุกครั้งไป ใจดีมีเมตตาอะไรกัน ก็แค่เสแสร้งแกล้งทำไปอย่างนั้น โสมกับรังนกพวกนั้นเป็นของที่พวกเขาไม่เอาแล้วทั้งนั้น พวกหน้าโง่ไม่เอาไหนพวกนั้นถึงขั้นเห็นว่าเป็นของดีมีค่าไปจริงๆ เสียได้!

แน่นอนว่า ไม่ว่าในใจโจวมามาจะไม่พอใจเพียงใด แต่ก็ห้ามความเป็นจริงที่เฉียวเวยใช้สวินหลันเป็นหินรองเท้าเพื่อให้ได้ชื่อเสียงอันดีงามในเรือนไปได้

จีซั่งชิงอยู่ที่เรือนหลีฮวาติดต่อกันสองวันสองคืน หลังจากสวินหลันดื่มยาสงบจิตและหลับสนิทไปแล้ว เขาถึงได้ถอนหายใจยาวออกมา แล้วจึงเดินออกจากเรือนด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน เขาไม่ได้อยู่กับเจาหมิงมานานเพียงนี้ ในใจรู้สึกผิดยิ่งนัก ยังไม่รู้เลยว่าหากเจาหมิงถามขึ้นมา ตนจะอธิบายอย่างไรถึงจะไม่กระตุ้นอารมณ์นาง และไม่ปิดบังนางจนเกินไป ช่างน่าปวดหัวยิ่งนัก

ในขณะที่จีซั่งชิงกำลังกลับไปที่เรือนถงด้วยความปวดเศียรเวียนเกล้านั้น บ่าวจากเรือนนอกก็เดินเข้ามาหา “นายท่าน ข้างนอกมีคนมาบอกว่าอยากพบท่านขอรับ”

จีซั่งชิงชะงักฝีเท้า มองบ่าวผู้นั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “หาข้า? ใครกัน”

บ่าวผู้นั้นเอ่ยอย่างนอบน้อม “ไม่รู้จักขอรับ เขาบอกว่าเขาแซ่ไป๋ มีธุระอยากพบประมุขตระกูลขอรับ”

ในเมืองหลวงคนแซ่ไป๋มีอยู่ไม่มาก จีซั่งชิงเค้นหาจนหมดสมองก็ยังจำไม่ได้ว่าตนเคยรู้จักผู้ใดที่มาจากตระกูลไป๋ หากเป็นเช่นนี้ตามปกติเขาคงไล่ให้พ่อบ้านออกไปต้อนรับแล้ว แต่วันนี้ไม่รู้เหตุใด ผีสางตนใดเข้าเขาถึงได้ออกเดินไปที่โถงรับแขกด้วยตนเอง

ภายในโถงรับแขก เขาได้พบชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดกรุยกรายสีฟ้าอ่อน เขานั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ท่าทางดูเยือกเย็น แต่ที่ทำให้จีซั่งชิงสนใจไม่ใช่เพราะท่วงท่าที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา และไม่ใช้ใบหน้าที่ได้รับความเอ็นดูจากสวรรค์ของเขา แต่เป็นศีรษะของเขา…ผมดูสั้นติดศีรษะ ยังยาวออกมาไม่มาก

เหตุใดถึงมีคนตัดผมเสียสั้นเพียงนี้อยู่ด้วย

หรือว่า…เขาเป็นนักบวชที่เพิ่งลาสิกขากลับมา

จีซั่งชิงกดความสงสัยในใจลงแล้วก้าวขาเข้าไปในโถงรับแขก เขาได้เห็นใบหน้าด้านตรงของบุรุษผู้นั้น เป็นใบหน้าหล่อเหลาที่คมสันชัดเจนและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เขามีดวงตาที่ดูคล้ายสงบนิ่งแต่กลับล้ำลึกจนดูไกลสุดลูกหูลูกตา หากพูดถึงเรื่องรูปลักษณ์ เขาสู้บุตรชายทั้งสองคนของตนไม่ได้ แต่หากจับเขาไปอยู่ท่ามกลางฝูงชน คนแรกที่สะดุดตาจะต้องเป็นเขาแน่นอน มิหนำซ้ำหลังจากได้มองเขาครั้งหนึ่งแล้ว จะไม่มีวันลืมใบหน้านี้ได้อีกเลย

หลังจากมองประเมินอยู่ช่วงสั้นๆ จีซั่งชิงก็เอ่ยปากขึ้นอย่างนับว่าเกรงใจว่า “ได้ยินว่าคุณชายไป๋มีธุระอยากพบข้า?”

บุรุษผู้นั้นประสานมือตอบว่า “ข้าน้อยไป๋เช่อ อยากมาถามหาใครคนหนึ่งจากนายท่านจี”

“ใครกัน” จีซั่งชิงถาม

“ก่อนที่ข้าจะซักถาม มีของสิ่งหนึ่งที่อยากจะคืนให้เจ้าของเสียก่อน” ไป๋เช่อพูดพลางล้วงเอาป้ายที่เฟิ่งชิงเกอทำหล่นไว้บนเรือออกมา

ป้ายนี้เป็นป้ายเข้าออกที่ใช้กันในบ้านตระกูลจี มีหลายคนที่มีป้ายหน้าตาเช่นนี้ หลังจากจีซั่งชิงรับไปแล้วก็เอ่ยถามขึ้นว่า “นี่เป็นป้ายของจวนข้าจริง ไม่ทราบว่าคุณชายไปเก็บได้จากที่ใดหรือ”

ไป๋เช่อยังคงระบายยิ้มเช่นเดิม “ที่หน้าประตู ข้าบังเอิญเจอเข้าตอนเดินเข้ามา”

จีซั่งชิงจึงบอกว่า “คงเป็นบ่าวคนใดทำหล่นไว้ ขอบคุณคุณชายไป๋มาก”

ไป๋เช่อมองประเมินเขาไม่ละสายตา เห็นได้ชัดว่าตนเข้าใจความสำคัญของป้ายอันนี้ผิดไป แต่นั่นก็ไม่เป็นอุปสรรคในการซักถามเรื่องต่อจากนี้ เขาหยิบภาพวาดเหมือนอีกม้วนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วค่อยๆ กางออกบนโต๊ะ “นายท่านจีรู้จักคนผู้นี้หรือไม่”

จีซั่งชิงมองสตรีในภาพ ก่อนจะส่ายหน้าด้วยสายตานิ่งขรึม “ไม่รู้จัก” แค่รู้สึกคุ้นหน้าอยู่เล็กน้อยเท่านั้น คล้ายเคยเห็นที่ใดมาก่อน

ไป๋เช่อม้วนภาพนั้นเก็บด้วยความผิดหวัง

จีซั่งชิงไม่ใช่คนที่ควบคุมความอยากรู้ของตนไม่อยู่ แต่เมื่อนึกถึงดวงตาของคนในภาพ ก็มีผีสางเทวดาสั่งให้เขาถามออกไปว่า “นางเป็นอะไรกับเจ้าหรือ”

ไป๋เช่อตอบโดยไม่ต้องคิดว่า “สตรีของข้า”

สตรีของเขา ความหมายนี้ชัดเจนพอแล้ว

จีซั่งชิงถามต่อว่า “เจ้าคิดว่านางอยู่ในบ้านตระกูลจี?”

ไป๋เช่อเก็บภาพวาดกลับเข้าแขนเสื้อ “ข้าไม่รู้ว่านางอยู่ที่ใด”

เป็นพวกลุ่มหลงในความรักอีกแล้ว จีซั่งชิงรู้สึกเห็นใจขึ้นมาทันที “นางมีชื่อว่าอะไร”

ไป๋เช่อตอบว่า “เฟิ่งชิงเกอ”

เจ้านายในบ้านตระกูลจีไม่มีใครชื่อว่าเฟิ่งชิงเกอ แต่ชื่อเฟิ่งชิงเกอนี้ก็ไม่มีทางเป็นชื่อสาวใช้ จีซั่งชิงบอกว่า “ข้าสามารถให้ความกระจ่างแก่เจ้าได้ว่า แม่นางที่เจ้ากำลังตามหาไม่ได้อยู่ในบ้านตระกูลจี”

ไป๋เช่อจึงลุกขึ้น “รบกวนท่านแล้ว ข้าขอตัวก่อน”

จีซั่งชิงพยักหน้าแล้วให้บ่าวพาเขาออกไปส่ง

หลังจากออกจากจวนตระกูลจี ไป๋เช่อหันไปมองป้ายจวนที่อยู่เหนือศีรษะ เฟิ่งชิงเกอ เจ้าหลบข้าไปเลย หลบข้าให้ได้ตลอดนะ!

ด้านหลังต้นซิ่งฮวานอกโถงรับแขก โจวมามาดึงสายตากลับมา เดิมนางคิดจะออกไปหาซื้อด้ายมาทำรองเท้าให้สวินหลัน แต่กลับพบกับแขกที่มาหานายท่านพอดี ด้วยความอยากรู้นางจึงแอบฟังอยู่ข้างนอก แต่กลับไม่ได้ยินเรื่องที่น่าสงสัยอะไร นางยังรู้สึกแปลกๆ เลยไม่ได้ออกไปซื้อด้าย หมุนตัวกลับไปที่เรือนหลีฮวา

สวินหลันนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง มองดอกไม้สีแดงสดที่เบ่งบานอยู่เต็มสวนด้วยสายตาเรียบเฉย ลมฤดูร้อนพัดมาเป็นพักๆ พาเอากลิ่นเขียวของต้นไม้และกลิ่นหอมของดอกไม้เข้าสู่ใบหน้า ปรอยผมตรงข้างหูถูกลมพัดปลิว สายตาก็ดูคล้ายเหม่อลอยไปไกล

โจวมามาเข้ามาในห้อง เข้ามาปิดหน้าต่างพร้อมเอ่ยด้วยความหนักใจว่า “อยู่เดือนอยู่นะเจ้าคะ จะให้ถูกลมไม่ได้ เดี๋ยวจะป่วยเรื้อรังเสีย!”

“ข้าร้อน” สวินหลันเอ่ยเสียงเรียบ

“ร้อนก็ต้องทนไว้ก่อน จะตากลมไม่ได้!” โจวมามาพูดพลางหันไปเห็นน้ำแข็งที่อยู่ปลายเตียง นางหน้าบึ้งลง มองไปทางลานพลางเอ่ยตะคอกว่า “ใครเอาน้ำแข็งเข้ามา อยากให้ฮูหยินตายหรือไร”

สวินหลันบอกว่า “ข้าให้เอามาวางไว้เอง”

โจวมามายกก้อนน้ำแข็งออกไป ก็พอดีเห็นว่าหงเหมยกำลังยกถั่วเขียวต้มแช่เย็นเข้ามาพอดี นางได้ยินเสียงของโจวมามาก็รู้สึกได้แล้วว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี ในขณะที่กำลังจะหมุนตัวเดินกลับไปนั้น กลับถูกเสียงแหลมๆ ของโจวมามาเรียกเอาไว้ “หงเหมย!”

หงเหมยยิ้มแหยๆ “โจวมามา”

หงเหมยเป็นบ่าวซื่อๆ ที่มีอยู่ไม่มากนัก หลังจากเหล่าฮูหยินออกปากขับไล่สวินหลันออกจากบ้าน นางไม่เหมือนสาวใช้คนอื่นๆ ที่พร้อมจะเหยียบสวินหลันซ้ำในทันที และเพราะเหตุนี้ถึงทำให้นางมีโอกาสได้เข้ามารับใช้ใกล้ชิดสวินหลันอีกครั้งหลังนางกลับมาได้รับความโปรดปราน

โจวมามาพอเห็นในชามที่นางถืออยู่ก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงหยิกหัวไหล่อีกฝ่ายแรงๆ ทีหนึ่ง “เจ้าเด็กโง่นี่นะ เจ้าไม่รู้หรือว่าฮูหยินกำลังอยู่เดือน ยังกล้าเอาของเย็นๆ มาให้นางอีก อยากจะทำร้ายนางให้ถึงตายหรือไร! เจ้าไปรับเงินใครมากันถึงได้ทำร้ายฮูหยินเช่นนี้?!”

หงเหมยถูกหยิกจนน้ำตาเล็ด “ข้าเปล่า…”

โจวมามาตะคอกเสียงเข้ม “ยังจะกล้าเถียงอีก เดี๋ยวข้าก็ฉีกปากเจ้าให้หรอก!”

“โจวมามาจะฉีกปากใครกันหรือ”

เสียงของเฉียวเวยดังเอื่อยๆ มาจากหน้าประตู

หงเหมยพลันตาเป็นประกาย ถือชามที่น้ำแกงหกไปจนเหลือไม่เท่าไรไปหลบอยู่ด้านหลังเฉียวเวย

โจวมามาตามไปอย่างยังไม่หายโกรธ “เจ้าเด็กนี่! จะหลบไปไหน!”

ปี้เอ๋อร์เข้ามาขวางนางไว้ทันที ถลึงตาใส่นางพลางเอ่ยด้วยความโกรธว่า “ทำอะไรน่ะๆ อยู่ต่อหน้าฮูหยินน้อยยังกล้าวางอำนาจอีก นับวันยิ่งไม่รู้จักกฎระเบียบเข้าไปทุกทีแล้วนะ!”

โจวมามาไม่กล้ามีเรื่องกับปี้เอ๋อร์ต่อหน้า นางกลัวว่าหากแม่นางแซ่เฉียวไม่พอใจจะหาโอกาสเล่นงานนางเสีย นางหันไปเหลือบมองหงเหมย เอ่ยด้วยความโกรธแค้นว่า “เจ้าเด็กนี่ คอยดูเถิดข้าจะจัดการเจ้ายังไง!”

หงเหมยถึงกับตัวสั่น

เฉียวเวยมองโจวมามาด้วยสายตาเรียบเฉย “หงเหมยเป็นสาวใช้ของเหล่าฮูหยินที่ส่งมา จะลงโทษนางอย่างไรยังไม่ใช่ธุระกงการของโจวมามา”

โจวมามาหุบปากลงด้วยความขัดใจ

เฉียวเวยก้าวขึ้นบนระเบียงทางเดิน พอเข้าไปในห้อง หน้าต่างไม่รู้ถูกเปิดออกอีกครั้งตั้งแต่เมื่อไร สวินหลันนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างเงียบๆ คล้ายไม่รู้ว่ามีคนเข้ามาในห้อง

เฉียวเวยมองด้านหลังของนางแล้วเอ่ยว่า “หมิงซิวให้คนส่งลำไยจากทางใต้มาให้ข้า รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว ข้าเลือกที่ลูกใหญ่หน่อยมาให้เจ้าหลายจิน เจ้าค่อยๆ กินนะ หากกินหมดแล้วที่ข้ายังมีอีก”

สวินหลันไม่พูดอะไร

เฉียวเวยยิ้มเรียบๆ วางลำไยแล้วเดินออกไป

โจวมามาเดินเข้าไปหาสวินหลัน พอตั้งใจมองถึงได้เห็นว่าในมือนางมีผ้าเช็ดหน้ากำแน่นอยู่ จนผ้าเช็ดหน้านั้นแทบจะทะลุเป็นรู ฮูหยินที่เป็นคนสงบนิ่งเพียงนั้น แต่พอได้ยินชื่อนั้น ก็เปลี่ยนไปถึงขั้นควบคุมตนเองไม่ได้

“ฮูหยิน…” โจวมามาดึงมือนางออกด้วยความสงสาร เห็นเพียงปลายเล็บของนางทิ่มลงไปจนผ้าเช็ดหน้าทะลุ

ตัวของสวินหลันเริ่มสั่นสะท้านเบาๆ

โจวมามากอดนางไว้ เอ่ยด้วยความสงสารและจนใจว่า “เหตุใดต้องเป็นเช่นนี้ด้วย นางก็แค่ตั้งใจมายั่วโมโหท่าน ท่านอย่าได้หลงกลนางเลย”

โจวมามาพูดถูก เฉียวเวยตั้งใจมายั่วโมโหสวินหลันจริงๆ หมิงซิวยังอยู่ระหว่างทางไปหมู่บ้านบนภูเขาอยู่เลย หมู่บ้านบนภูเขาก็ไม่ได้อยู่ทางใต้ จะไปเอาลำไยมาจาที่ใด แต่เฉียวเวยก็ชอบที่จะเห็นท่าทางเป็นร้อนทุกข์ใจของนาง

ข้างล่างของสวินหลันมีเลือดไหลออกมาอีกแล้ว

โจวมามารีบประคองนางกลับขึ้นเตียง “ท่านไม่ต้องคิดมากแล้ว ท่านมาคิดอะไรพวกนี้ตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร รีบคิดว่าทำอย่างไรถึงจะกำจัดองค์หญิงตัวปลอมนั่นไปได้จะดีกว่า! หากองค์หญิงตัวปลอมนั่นยังอยู่ เรื่องที่พวกเรารับปากคนพวกนั้นไว้คงไม่มีวันสำเร็จ หากยังชักช้าต่อไปจนคุณชายใหญ่กลับมา คงยิ่งหาทางลงมือไม่ได้เข้าไปอีกนะเจ้าคะ!”

สวินหลันนอนหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียง ไม่ว่านางจะแสร้งทำเป็นเรียบเรื่อยสบายๆ เท่าไร ก็เปลี่ยนความจริงที่ว่าร่างกายนางบอบช้ำอย่างหนักไม่ได้

โจวมามาหยิบยาจากลิ้นชักมาให้นางกิน พลางบอกเล่าเรื่องราวที่ได้ยินมาจากโถงรับแขกให้นางฟังเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ “เมื่อครู่มีคนแซ่ไป๋มาหาแม่นางที่ชื่อเฟิ่งชิงเกอที่จวน”

“เจ้าว่าอะไรนะ” สวินหลันหันไปมองนาง

โจวมามาเลยเล่าซ้ำว่า “คุณชายแซ่ไป๋คนหนึ่ง”

สวินหลันเพ่งมองขณะถามว่า “แม่นางผู้นั้น เจ้าว่านางชื่ออะไรนะ”

“เฟิ่งชิงเกอ” โจวมามาเห็นสีหน้าสวินหลันแปลกๆ จึงถามด้วยความงุนงงว่า “ชื่อนี้มีอะไรแปลกหรือเจ้าคะ”

สวินหลันเอ่ยอย่างใช้ความคิด “เฟิ่งชิงเกอ เป็นคนของเขา”

“เขา? คุณชายใหญ่?” โจวมามาเบิกตาโตด้วยความตกใจ “ข้ารู้แล้วๆ องค์หญิงตัวปลอมผู้นั้น…ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเฟิ่งชิงเกอปลอบตัวมาก็ได้ เวลานี้บุรุษของเฟิ่งชิงเกอมาหาถึงที่นี่แล้ว นางกำลังจะเผยพิรุธออกมาแล้ว! ข้าจะไปบอกเรื่องนี้กับนายท่าน!”

“ไม่สิ” สวินหลันขมวดคิ้ว

“อะไรหรือเจ้าคะ ฮูหยิน” โจวมามาดึงขาที่ก้าวออกไปแล้วของตนกลับมา

สวินหลัน “เจ้าบอกว่ามีบุรุษมาตามหานาง?”

โจวมามพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ! บุรุษผู้นั้นบอกว่าเฟิ่งชิงเกอเป็นสตรีของเขา!”

สวินหลันเอ่ยเสียงเรียบ “เช่นนั้นคงไม่ใช่เฟิ่งชิงเกอ”

“เพราะเหตุใดเจ้าคะ” โจวมามาไม่เข้าใจ”

สวินหลันมองไปเหนือผ้าม่านด้วยสายตาเรียบเฉย “เฟิ่งชิงเกอเชี่ยวชาญด้านวิชายั่วสวาท บุรุษที่เคยข้องเกี่ยวกับนาง สุดท้ายแล้วไม่มีใครจำนางได้สักคน”