ตอนที่ 346 จุดจบของโจวมามา

เสี่ยวสี่เชว่มาอยู่บ้านตระกูลจีได้สามเดือนแล้ว พี่สะใภ้ของสามีของหลานสาวของน้องสาวท่านย่าของพี่สาวของท่านอาของนางเป็นมามาผู้ดูแลของตระกูลจี มีแซ่ว่าจาง จางมามาอยู่ในบ้านตระกูลจีมาหลายปี ในอดีตเลยรับใช้เหล่าไท่เหยีย ช่วงนี้มารับใช้คุณชายจิ่งอวิ๋น เรียกได้ว่าเป็นผู้ดูแลที่อยู่มาเก่าแก่แล้ว

ครอบครัวของเสี่ยวสี่เชว่ยากจน บิดาป่วยก็ไม่มีเงินรักษา ท่านอาของนางเลยไปหาสามีของหลานสาวของน้องสาวท่านยาของพี่สาวเขาให้ช่วยหาคนดีๆ ให้กับเสี่ยวสี่เชว่ หากนางแต่งงานออกไปจะช่วยแบ่งเบาภาระในบ้านได้มาก ที่บังเอิญก็คือจางมามาไปเจอนางที่บ้านของท่านอา นางเห็นว่าเสี่ยวสี่เชว่หน้าตาสะสวย ทั้งยังหัวไว เลยบอกว่าจะพามาทำงานที่บ้านตระกูลจี

ตระกูลจีเป็นตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวง ไปทำงานที่นั่นไม่เพียงจะได้เบี้ยหวัด แต่ต่อไปยังมีโอกาสได้แต่งงานmujดีขึ้น บิดาของเสี่ยวสี่เชว่จึงตอบตกลงทันทีโดยไม่ต้องหยุดคิด

จางมามาพาเสี่ยวสี่เชว่มาที่บ้านตระกูลจีแล้วจัดการให้นางไปทำงานอยู่ในห้องครัว หน้าที่หลักคือการล้างถ้วยชาม งานออกจะหนักอยู่บ้าง แต่หากเทียบกับแต่งงานออกไปตั้งแต่อายุสิบสามxu เสี่ยวสี่เชว่ยินดีที่จะตื่นแต่เช้ามาทำงานเสียมากกว่า

ในวันนี้เสี่ยวสี่เชว่ตื่นขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางตามปกติ เวลานั้นห้องครัวยังไม่เริ่มทำงาน นางเลยไปผ่าฟืน แล้วไปเด็ดผักจากในสวนมาตะกร้าใหญ่ จากนั้นก็ถือตะกร้าเอาผักไปล้างที่ริมทะเลสาบ

เรือเริงรมย์ที่นายท่านให้คนเอาออกมาจอด เทียบอยู่ที่ท่านั่นเอง ที่บอกว่าต้องซ่อมแซมอันที่จริงก็เป็นแค่การทาสีและตรวจดูอะไหล่เล็กๆ น้อย ๆ เท่านั้น เมื่อมาอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าใส มันดูงดงามจนไม่อยากละสายตา

เสี่ยวสี่เชว่มองมันอย่างใจลอย ไม่ทันได้ระวังว่าตรงปลายเท้าของตนมีเส้นผมสีดำขลับลอยมากระจุกหนึ่ง นางมองเรือเริงรมย์พลางเอาผักกาดขาวลงไปล้างในน้ำ ระหว่างที่ล้างอยู่นั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไป คล้ายว่ามีวัชพืชน้ำลอยมาพันนิ้วมือตน

นางก้มลงไปมองที่ผิวน้ำกลับเห็นเป็นเส้นผมสีดำ นางตกใจจนก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น!

เส้นผมนั้นยังพันนิ้วนางอีกด้วย พอนางล้มลง เลยลากเอาเส้นผมนั้นขึ้นมาจากน้ำไปด้วย

“กรี๊ด….กรี๊ด….กรี๊ดๆๆ……”

นางกรีดร้องสุดชีวิต คิดอยากสะบัดเส้นผมหรือศีรษะนั้นออกไปจากมือ แต่กลายเป็นว่าสะบัดไปโดนกระโปรงของตน ครานี้นางเลยยิ่งอยากกรีดร้องดังขึ้นไปอีก แต่ทั้งๆ ที่นางกลัวแทบขาดใจแต่ก็ยังอดเหลือบมองไปทางกระโปรงของตนไม่ได้ พอได้มองไปนางเลยค่อยๆ สงบลง

เป็นผมปลอม

เสี่ยวสี่เชว่ถอนหายใจยาว ใครกันหนอที่เอาของเช่นนี้มาโยนทิ้งในทะเลสาบ ช่างน่ากลัวเหลือเกิน

เสี่ยวสี่เชว่โยนเจ้าสิ่งนั้นไปที่หลุมขยะด้านข้าง จากนั้นก็เอาผักที่ล้างเสร็จแล้วกลับไปที่ห้องครัว ไม่รู้ว่าเพราะเมื่อครู่ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปหรือไร ตอนเดินกลับนางยังรู้สึกเย็นสันหวังวาบๆ ไม่หาย

เพื่อให้กลับถึงห้องครัวโดยเร็วที่สุด เสี่ยวสี่เชว่เดินตัดไปทางลัด ทางลัดเส้นนี้ต้องผ่านห้องเก็บของที่ถูกทิ้งร้างไว้หลายห้อง ตามปกติน้อยนักที่จะมีคนผ่านไปมา ระหว่างทางมีวัชพืชขึ้นเต็มไปหมด ดูวังเวงเล็กน้อย แต่แค่มองไปก็เห็นประตูหลังของห้องครัวแล้ว ดังนั้นนางจึงสบายใจขึ้นมาก

เสี่ยวสี่เชว่รีบเร่งฝีเท้า แต่แล้วจู่ๆ ขาก็ไปเกี่ยวถูกบางอย่าง นางเซไปหลายก้าวจนผักกาดขาวในตะกร้าหล่นออกมา นางเลยก้มลงไปหยิบ แต่กลับคว้าได้มือข้างหนึ่งแทน นางกรีดร้องเสียงหลง….

จางมามาได้ยินเสียงเลยถือเอาตะหลิววิ่งออกมา “มีอะไรๆ”

เสี่ยวสี่เชว่ชี้ไปยังคนที่อยู่ในพุ่มไม้

ในใจจางมามาก็นึกกลัวยิ่งนัก แต่ก็ยังทำใจกล้าเข้าไปแหวกหญ้าดู ชั่วขณะที่นางได้เห็นใบหน้าของคนผู้นั้น ตัวนางก็แข็งทื่อไปทั้งตัว “โจวมามา?”

บ้านชิงเหลียน เด็กน้อยทั้งสามกินข้าวเช้ากันเสร็จแล้ว สะพายกระเป๋าใบน้อยที่เสี่ยวเวยทำให้ด้วยตนเองยืนรอให้เฉียวเวยไปส่งพวกเขาเข้าเรียนอยู่หน้าประตูอย่างเรียบร้อยน่ารัก แต่ใครจะรู้ว่าหงเหมยที่อยู่เรือนหลีฮวาจะเดินเข้ามาพร้อมสีหน้าที่ดูร้อนใจอย่างยิ่ง เด็กน้อยทั้งสามได้แต่มองนางเดินเข้ามาในเรือนโดยที่นางไม่เห็นพวกเขาทั้งสามที่ยืนอยู่เลยสักนิด

หงเหมยเข้าไปในห้องของเฉียวเวย ไม่นานก็กลับออกมาใหม่

เด็กน้อยทั้งสามมองนางเดินผ่านหน้าตนออกจากเรือนไปเงียบๆ ครั้งนี้นางก็ยังไม่เห็นพวกเขาทั้งสามที่ยืนอยู่อยู่ดี

เฉียวเวยเดินเข้ามาลูบศีรษะวั่งซู “วันนี้แม่มีธุระ อาจารย์ตาจะไปส่งพวกเจ้าเข้าเรียนแทนนะ”

“ก็ได้” วั่งซูผายมือออกอย่างทำอะไรไม่ได้

จิ่งอวิ๋นมองมือมารดาตนที่ลูบอยู่บนศีรษะน้องสาว เลยยื่นศีรษะน้อยๆ ของตนไปบ้าง

ท่าทางเช่นนี้ดูคล้ายว่าเขากำลังมองหาบางอย่างที่พื้นยิ่งนัก

เฉียวเวยกะพริบตา “เจ้าทำอะไรหล่นหรือ”

จิ่งอวิ๋น “…”

ใต้เท้าเจ้าสำนักก็รู้ว่าเฉียวเวยไม่สามารถไปส่งเด็กน้อยทั้งสามเข้าเรียนได้ เขาเอาบันไดพาดเข้ากับกำแพง มองฟู่เสวี่ยเยียนที่กำลังตัดแต่งกิ่งไม้อยู่ในลานแล้วเอ่ยอย่างเป็นการเป็นงานว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ข้ามีธุระ จึงจะไหว้วานให้พวกเราสองคนไปส่งพวกจิ่งอวิ๋นเข้าเรียน”

ฟู่เสวี่ยเยียนเหลือบมองเขาทีหนึ่ง

คิ้วใต้เท้าเจ้าสำนักเลิกขึ้น เกือบคิดว่าตนเองถูกจับได้เสียแล้ว เขาพยายามตั้งสติ เบิกตาโตขณะบอกว่า “ไม่ได้หลอกเจ้าแน่นอน! ไม่เชื่อเจ้ามาดูเองสิ! พี่สะใภ้ใหญ่ข้าไปที่เรือนหลีฮวาแล้ว!”

พอพูดจบ เฉียวเวยก็เดินนำปี้เอ๋อร์ผ่านประตูของเสี่ยวอวี่เซวียนไป

ฟู่เสวี่ยเยียนวางกรรไกรลง กลับห้องไปใส่ผ้าปิดหน้า

ใต้เท้าเจ้าสำนักลอบหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง!

ใต้เท้าเจ้าสำนักอาศัยช่วงที่ฟู่เสวี่ยเยียนไปขึ้นรถ ลอบเหลือบมองไปยังกลอน “สายลมและแสงจันทร์” ที่เฟิ่งชิงเกอเขียนไว้ด้วยตนเอง

วรรคแรกของกลอน “สายลมและแสงจันทร์” นั้นเขียนไว้ว่า บุรุษที่เลี้ยงดูบุตรนั้นมากล้นเสน่ห์

ในบรรดาเด็กทั้งสาม คนที่ว่านอนสอนง่ายที่สุดคือจิ่งอวิ๋น ใต้เท้าเจ้าสำนักเลยอุ้มจิ่งอวิ๋นขึ้นรถม้าของตนโดยไม่มีลังเล เอาเจ้าเด็กอ้วนกับเจ้าเด็กขี้แย “ทิ้ง “ไว้บนรถม้าของอาจารย์ตาฮั่ว

ใต้เท้าเจ้าสำนักกระตุกมุมปากอย่างโอหัง ก้าวขึ้นรถม้าด้วยหน้าตามั่นใจเต็มเปี่ยม ตน จิ่งอวิ๋นกับนางยักษ์สามคนพ่อแม่ลูก จะต้องทำให้นางรู้สึกอบอุ่นมากเป็นแน่! จากนั้นจะได้ละลายจิตใจที่แข็งกระด้างมานานหมื่นปีของนางเสียที

ข้านี่ช่างหลักแหลมยิ่งนัก!

ด้านในรถม้ามีไข่มุกราตรีห้อยอยู่ แสงสว่างอบอวลและนุ่มนวล ต่อให้ปลดม่านลงก็ยังคงกระจ่างตา

ปากน้อยๆ ของจิ่งอวิ๋นขยับขมุบขมิบคล้ายกำลังพึมพำบางอย่าง ใต้เท้าเจ้าสำนักพยายามแสดงออกถึงความรักเด็กของตน จึงลูบศีรษะน้อยๆ ของจิ่งอวิ๋นอย่างอ่อนโยน “พึมพำอะไรของเจ้าอยู่หรือ”

จิ่งอวิ๋นเหลือบมองท่านอารองที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นใจดีขึ้นมากะทันหัน ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าท่านอารองเป็นอะไรแต่ก็ยังตอบไปตามจริงว่า “เมื่อวานอาจารย์ให้การบ้านคำนวณเอาไว้ข้อหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่าตนเองทำถูกหรือไม่ เลยกำลังทวนอยู่ขอรับ”

คำนวณทวนในใจ ถือว่าเก่งมากทีเดียว!

ใต้เท้าเจ้าสำนักเชิดคางขึ้นพลางถามว่า “คำถามคืออะไรหรือ บอกมาสิเดี๋ยวอาช่วยตรวจดูให้”

จิ่งอวิ๋น “ไก่ตัวผู้ตัวละห้าอีแปะ ไก่ตัวเมียตัวละสามอีแปะ ลูกไก่สามตัวหนึ่งอีแปะ เวลานี้ข้ามีเงินอยู่หนึ่งร้อยอีแปะ ซื้อไก่ไปทั้งหมดหนึ่งร้อยตัว คำถามคือในไก่หนึ่งร้อยตัวนี้แบ่งเป็นไก่ตัวผู้กี่ตัว ไก่ตัวเมียกี่ตัวและลูกไก่กี่ตัว”

สมองใต้เท้าเจ้าสำนักถึงกับหยุดทำงานไปเลย…

ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยถามเบาๆ ว่า “เจ้าคำนวณออกมาได้เท่าไร”

จิ่งอวิ๋นตอบว่า “แม่ไก่สี่ตัว พ่อไก่สิบแปดตัว ลูกไก่เจ็ดสิบแปดตัวขอรับ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักตบโต๊ะทันที “ถูกต้อง ข้าคิดได้เท่านี้เช่นกัน!”

จิ่งอวิ๋นรีบบอก “ไม่ใช่ๆ เมื่อครู่ข้าพูดสลับกัน เป็นพ่อไก่สี่ตัว แม่ไก่สิบแปดตัว ลูกไก่เจ็ดสิบแปดตัวขอรับ”

ใต้เท้าเจ้าสำนัก “…”

นี่ตั้งใจแกล้งข้ารึ…

“ถูกแล้วล่ะ” ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยกับจิ่งอวิ๋น

หลังจากนั้นก็คือจุดเริ่มต้นของการโดนเด็กเรียนบดขยี้ของใต้เท้าเจ้าสำนัก

จิ่งอวิ๋น “พี่สาวฟู่ เหตุใดเชื้อโรคจึงไม่รู้จักวันฮุ่ยซั่ว[1] จักจั่นไม่รู้จักฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วงหรือ”

ฟู่เสวี่ยเยียน “เพราะชีวิตพวกมันสั้นมาก มากจนอยู่ไม่ถึงหนึ่งเดือนหรือหนึ่งปีน่ะสิ”

ก่อนหน้านี้มีเพียงเด็กเรียนตัวน้อย เวลานี้มีผู้ใหญ่รักเรียนมาอีกคนแล้ว คนรักเรียนสองคนถามกันไปตอบกันมา เขาไม่มีโอกาสได้พูดแทรกเลย

เขานึกเสียใจยิ่งนัก หากรู้แต่แรกเขาคงอุ้มเจ้าเด็กอ้วนวั่งซูมาแทนแล้ว!

เจ้าเด็กอ้วนนั่นซื่อบื้อเพียงนั้น จะต้องส่งเสริมให้เขาดูฉลาดและยิ่งใหญ่เหลือประมาณเป็นแน่!

กว่าจะมาถึงสำนักศึกษา ใต้เท้าเจ้าสำนักอยากจะไล่ตะเพิดเจ้าตัวน้อยที่ทำเสียเรื่องนี่ไปจะแย่อยู่แล้ว จิ่งอวิ๋นรู้สึกเสียดายที่ได้เจอพี่สาวฟู่ช้าเกินไป เขากะพริบตาใสแจ๋วของตนขณะเพ่งมองพี่สาวฟู่ด้วยความลึกซึ้ง แล้วจึงทำความเคารพอย่างมีมารยาท “พี่สาวฟู่ พรุ่งนี้ท่านยังมาส่งข้าเข้าเรียนได้อีกหรือไม่”

ใต้เท้าเจ้าสำนัก: คงไม่ได้แล้วล่ะ!

เจ้าพูดจ้อไม่หยุดอยู่ที่นี่ แล้วข้าจะมาทำไม

รู้หรือไม่ว่าเจ้ามาแค่เป็นเครื่องประดับเท่านั้น?!

แต่เจ้าแย่งบทข้าไปจนหมดแล้ว!

นัยน์ตาฟู่เสวี่ยเยียนมีแววอบอุ่นวาบผ่าน “ได้สิ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักจะร้องไห้อยู่แล้ว

“แล้วพบกันใหม่พี่สาวฟู่ จิ่งอวิ๋นพูดพลางยื่นหน้าไปหอมแก้มฟู่เสวี่ยเยียนด้วยความเขินอายทีหนึ่ง

ใต้เท้าเจ้าสำนัก: อ๊ากๆๆ! ข้าอยากจะบ้าตาย!

เจ้าเด็กนี่ตัวแค่นี้ เกี้ยวหญิงเก่งกว่าเขาเสียอีก คนไปอาอย่างเขาละปวดใจยิ่งนัก

ใต้เท้าเจ้าสำนักกลับเรือนชิงเหลียนด้วยความปวดใจ

เฉียวเวยยังไม่กลับมาจากเรือนหลีฮวา

ตอนจางมามากับเสี่ยวสี่เชว่ไปเจอโจวมามานั้น พวกนางคิดว่านางตายไปแล้ว เพราะตัวนางแข็งทื่อไปหมดแล้ว แค่ใครจะรู้ว่าพอลองแตะที่จมูกกลับพบว่ายังมีลมหายใจอยู่ เลยรีบยกตัวนางไปที่เรือนหลีฮว่า จีซั่งชิงบังเอิญอยู่ด้วยพอดีเลยให้หงเหมยไปเรียกเฉียวเวยมาที่นี่

ครั้งนี้สวินหลันกลับไม่เรื่องมากเรื่องท่านหมออีก

โจวมามาเจ็บหนักเอาการทีเดียว อันที่จริงการที่บอกว่านางบาดเจ็บนั้นออกจากมองโลกในแง่ดีไปสักนิด ศีรษะของนางถูกกระแทกอย่างรุนแรงทำให้เลือดออกภายใน ด้วยมาตรฐานการรักษาในเวลานี้น่ากลัวว่านางคงไม่มีโอกาสได้กลับมาเป็นปกติอีกแล้วตลอดชีวิต ต่อให้นางฟื้นขึ้นมาได้ทำได้เพียงกลางเป็นผักไปเท่านั้น ไม่อาจเอื้อนเอ่ยได้และไม่อาจเคลื่อนไหวตัวได้

จุดจบเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับตายทั้งเป็นเลยทีเดียว

[1] วันฮุ่ยซั่วคือ วันสุดท้ายและวันแรกของเดือนจันทรคติ