WSSTH ตอนที่ 2,645 : ประมุขนิกายสือหังเซียน!

ได้ยินคำถามของประมุข มู่หรงปิงก็ได้แต่นิ่งเงียบไปพักหนึ่งไม่พูดจา…

“ปิงเอ๋อเจ้ามีอะไรในใจงั้นหรือ?”

สองตาประมุขนิกายสือหังเซียนทอแสงขึ้นวาบหนึ่ง มองถามมู่หริงปิงด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“อาจารย์ป้า…”

มู่หรงปิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พวงแก้มใต้ม่านผ้าบางสั่นระริก กล่าวออกเสียงเบา “ตั้งแต่ข้ายังเล็กถึงแม้ข้าจะไม่ใช่ศิษย์ของท่าน แต่ข้าก็เห็นท่านไม่ต่างอะไรจากอาจารย์คนที่สอง…”

“นอกจากนี้ในอดีตไม่ว่าเรื่องราวใดที่ข้าไม่กล้าบอกท่านอาจารย์ ข้าก็มีแต่ท่านที่คอยให้คำปรึกษา…ในใจของข้าแล้วท่านไม่ต่างอะไรจากมารดาแท้ๆของข้า”

กล่าวถึงท้ายประโยค น้ำเสียงของมู่หรงปิงก็เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกนัก

“ปิงเอ๋อเจ้า…เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?!”

สีหน้าท่าทีของประมุขนิกายสือหังเซียนเปลี่ยนเป็นตึงเครียดในฉับพลัน มองมู่หรงปิงอีกครั้งในแววตาก็มีแต่ความกังวลใจ!

นางย่อมได้ยินชัดเจน…ถึงความผิดปกติในน้ำเสียงของมู่หรงปิง!

และในใจของนางนั้น ได้เก็บงำความลับหนึ่งที่มีคนล่วงรู้แค่ไม่กี่คน…

นั่นก็คือ..

มู่หรงปิงที่อยู่เบื้องหน้าเป็นลูกสาวแท้ๆของพี่สาวฝาแฝดนาง! เป็นหลานสาวของนาง!!

ในตอนนั้นพี่สาวฝาแฝดของนาง เพราะไม่อาจทานรับความอยุติธรรมได้ไหว จึงเลือกที่จะฆ่าตัวตายแล้วทิ้งบุตรีอย่างมู่หรงปิงไว้เบื้องหลัง…

ในตอนนั้นตัวนางที่เป็นถึงศิษย์ปิดสำนักของอดีตประมุขนิกาย เช่นนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงคำครหาและการซุบซิบนินทาเรื่องความไม่เป็นธรรม นางจึงไม่สะดวกรับตัวมู่หรงปิงกลับมาเลี้ยงดูที่นิกายสือหังเซียนเป็นการส่วนตัว…

สุดท้ายนางก็ได้แต่อุ้มมู่หรงปิงที่ห่อไว้ด้วยผ้าอย่างดีใส่ตระกร้า แล้วนำไปวางทิ้งไว้หน้าประตูบ้านของศิษย์น้องนาง…

ศิษย์น้องของนาง ก็คืออาจารย์ของมู่หรงปิง!

นี่เป็นความลับที่ไม่ว่าจะเป็นตัวมู่หรงปิงหรือศิษย์น้องของนางก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ!

“อาจารย์ป้าข้า…”

เดิมทีมู่หรงปิงก็คิดจะกล่าวออกไป แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องความบริสุทธิ์ของนางย่อมทำให้บังเกิดความกระดากอายไม่กล้าพูด…

นางย่อมทำใจไว้แล้วว่าหากเรื่องนี้แพร่ออกไป นางสามารถเมินเฉิยถ้อยคำนินทาว่าร้าย เสียๆหายๆที่จะถาโถมใส่ตัวนางได้…

ทว่านางสามารถไม่นำพาเก็บเอามาใส่ใจ ก็ไม่ใช่ว่าอาจารย์ของนางจะไม่สนใจคำนินทาทั้งหลายเหมือนนางได้!

นางย่อมจินตนาการออกได้ทันที

หากอาจารย์ของนางล่วงรู้เรื่องนี้ล่ะก็ ไม่พ้นต้องบังเกิดความผิดหวังในตัวนางอย่างมาก เพราะสุดท้ายแล้วนางก็ได้ถูกอาจารย์สอนสั่งมาอย่างดี ถูกฟูมฟักเอาใจใส่เตรียมความพร้อมรับตำแหน่งว่าที่ประมุขของนิกายสือหังเซียนตั้งแต่ยังเล็ก

ทว่าตอนนี้นางได้เสียความบริสุทธิ์ไปเสียแล้ว เช่นนั้นหมายความว่านางได้ถูกชะตากำหนดไว้…ให้ไร้วันได้รับตำแหน่งวาที่ประมุขอีกตลอดกาล!

“ปิงเอ๋อมิว่าเจ้ามีเรื่องใดในใจเพียงบอกข้าเถิด…ไม่ว่ามันจะหนักหนาเพียงใดข้าจักอยู่ข้างเจ้าเสมอ และหากเจ้าไม่อยากให้อาจารย์เจ้ารู้ข้าก็จะไม่พูด”

ประมุขนิกายสือหังเซียน พอเห็นความลังเลใจของมู่หรงปิง ก็เสมือนให้ยานางได้ทันเวลา…

“ท่านอาจารย์ป้า…ข้า ร่างกายข้าไม่บริสุทธิ์อีกแล้ว…”

เมื่อเห็นว่าความห่วงใยและคววามกังวลใจในสีหน้าแววตาของประมุขนิกายสือหังเซียนยิ่งมายิ่งมาก มู่หรงปิงก็ไม่ลังเลใจอะไรสืบไป เลือกจะกล่าวบอกออกไปตามตรง

วูบ!

และแทบจะทันทีที่เสียงกล่าวของมู่หรงปิงดังจบคำ สีหน้าท่าทีของประมุขนิกายสือหังเซียนก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง แลดูอัปลักษณ์ปั้นยากนัก!

“ผู้ใด! ผู้ใดทำเจ้า!!”

แววตาของประมุขนิกายสือหังเซียนยามนี้ท่วมท้นไปด้วยเจตนาฆ่าฟันอันอำมหิตนัก

แน่นอนว่าเป้าของเจตนาฆ่าฟันอำมหิตดังกล่าวไม่ใช่มู่หรงปิง แต่เป็นบุรุษที่พรากความบริสุทธิ์ของมู่หรงปิงไป!

ในนิกายสือหังเซียนนั้น หากเสียความบริสุทธิ์ไม่ใช่หญิงพรหมจรรย์ ก็ไม่อาจขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขได้อีกต่อไป!!

ถึงแม้ตัวนางจะดำรงตำแหน่งประมุขนิกายสือหังเซียนอยู่ ก็ไม่อาจช่วยมู่หรงปิงให้รอดพ้นกฏเณฑ์ปฏิบัติแต่โบราณได้ เนื่องเพราะผู้ที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขนั้น ต้องถูกอาวุโสผู้เฒ่าหลายคนตรวจสอบพรหมจรรย์ก่อนเข้าสู่พิธีสืบทอด…

หากร่างกายไม่บริสุทธิ์ ไม่ใช่สตรีพรหมจรรย์ ก็ไม่มีวันได้ขึ้นเป็นประมุขนิกายสือหังเซียน!

นิกายสือหังเซียนในฐานะที่เป็นนิกายสตรีล้วน แม้จะไม่ค่อยได้ยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของเหล่าศิษย์มากนัก แต่ก็มีข้อห้ามเด็ดขาดสำหรับศิษย์สาวก…ว่าไม่ให้นำเรื่องส่วนตัวมาทำให้นิกายเสื่อมเสียเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวประมุข!

ประมุขนิกายต้องถือครองพรหมจรรย์เท่านั้น!

เพราะในตอนที่บรรพชนผู้ก่อตั้งนิกายตรากฏนี้ขึ้น ทั้งหมดเป็นเพราะรู้ดีว่าหากสตรีแต่งงานหรือมีคนรัก ย่อมไม่อาจอุทิศกายใจเพื่อนิกายสือหังเซียนได้ และสุดท้ายไม่พ้นนิกายสือหังเซียนต้องตกอยู่ในน้ำมือของบุรุษผู้เป็นสามีประมุขแน่…

สุดท้าย ‘รอยรั่วเท่ารูมด ยังทำให้ทำนบทลาย’ นิกายสือหังเซียนไม่พ้นต้องล่มสลายในสักวัน

“มันเป็นอุบัติเหตุ”

มู่หรงปิงถอนหายใจออกมาอย่างทดท้อ ในใจเริ่มปรากฏกร่างชายหนุ่มในชุดสีม่วงขึ้นมาอีกครั้ง และพอปรากฏขึ้นมา ใจก็ยากละวางไม่อาจลบเลือนให้หายไปโดยง่าย

เป็นเพราะร่างชายหนุ่มในชุดสีม่วงนี้เอง ที่ทำให้นางเกิด ‘มารในใจ’ ระหว่างบ่มเพาะพลัง เกือบทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกนางจนเสียสติหลายครั้ง…

“ถึงจะเป็นอุบัติเหตุ…แต่เจ้าเล่ามาให้อาจารย์ป้าฟังเถอะว่าที่แท้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

ประมุขนิกายสือหังเซียนกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

มู่หรงปิงพยักหน้า ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในตอนนั้นให้ประมุขนิกายสือหังเซียนฟัง

เป็นธรรมดาว่านางไม่เอ่ยนามของบุรุษผู้นั้นออกมา

เพราะนางรู้ดีว่าหากเอ่ยนามของอีกฝ่ายออกมา บุรุษผู้นั้นไม่พ้นต้องตายแน่…

“ที่แท้ต้นตอของปัญหาทั้งหมดล้วนเกิดจากไม้ปัดฝุ่นกวาโลกาของนิกายสือหังเซียนเรา…ปิงเอ๋อ เป็นนิกายที่สร้างปัญหาให้เจ้าแล้ว…”

ประมุขนิกายสือหังเซียนกล่าว

“เป็นข้าประมาทเกินไป หากข้าไม่ทำลายร่างกายของราชาอมตะนิกายสราญรมย์ผู้นั้นอย่างวู่วาม คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น…”

มู่หรงปิงส่ายหัว

“ปิงเอ๋อ แล้วบุรุษผู้นั้นเล่า มันเป็นใครมาจากไหน…เรียกว่าอะไร?”

ประมุขนิกายสือหังเซียนมองถามมู่หรงปิง

ในขณะที่กล่าวถาม ลึกลงไปในแววตาของนางก็เผยเจตนาฆ่าฟันออกมาชัดเจน

“ข้ามิรู้ว่ามันเป็นใครมาจากไหน…”

มู่หรงปิงส่ายหัวไปมาพลางกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจนปัญญา ทว่าขณะกล่าววาจาประโยคท้ายแววตานางสั่นไหวไปเล็กน้อย “ข้า…ไม่รู้กระทั่งชื่อของมัน”

“ปิงเอ๋อ แต่เล็กจนโตยามเจ้าโกหกอะไร แววตาเจ้าจะสั่นไหวตอนพูดเสมอ…ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้ชื่อของมัน”

ประมุขนิกายสือหังเซียนกล่าว

“อาจารย์ป้าทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้าเอง มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับมัน…มันไม่ได้บังคับข้า กระทั่งมันยังเป็นเหยื่อในเรื่องครั้งนี้”

มู่หรงปิงกล่าว

“ยาโถวน้อยเจ้าใจดีเกินไปแล้ว…กับบุรุษผู้นั้น มีแต่เจ้าต้องฆ่ามันทิ้งเสีย เพื่อที่มันจะไม่มีวันไปแพร่กระจายข่าวลือและทำลายชื่อเสียงของเจ้า!!”

ประมุขนิกายสือหังเซียนกล่าวออกเสียงเหี้ยม “ต่อไปเจ้าต้องเรียนรู้เรื่องหนึ่ง…เพื่อขจัดภัยซ่อนเร้นใดๆ ให้บีบคอทารกคาเปลก็ต้องทำ!”

“เจ้าบอกข้ามาเถอะว่าบุรุษผู้นั้นมันชื่ออะไร…หากเจ้าใจอ่อนมิอาจหักใจลงมือ เช่นนั้นอาจารย์ป้าจะเข่นฆ่ามันเพื่อมิให้เจ้าต้องเกิดปัญหาในภายภาคหน้าเอง!”

ขณะกล่าวกับมู่หรงปิง ในแววตาของประมุขนิกายสือหังเซียนก็ฟุ้งตลบไปด้วยเจตนาฆ่าฟันอันน่ากลัว

“อาจารย์ป้า ท่าน…ท่านอย่าได้บีบคั้นข้าเลย”

มู่หรงปิงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงขื่นขม

“ปิงเอ๋อ…เจ้า…เจ้าหลงบุรุษผู้นั้นเข้าแล้วหรือ!?”

ทันใดนั้นราวกับฉุกคิดอะไรขึ้นได้ สีหน้าท่าทีของประมุขนิกายสือหังเซียนเปลี่ยนไปใหญ่หลวงนัก

เนื่องเพราะมีแผลในใจเรื่องที่พี่สาวฝาแฝดฆ่าตัวตายจากไป นางจึงชิงชังบุรุษทั้งใต้หล้า! ขณะเดียวกันนางก็ไม่อยากให้หลานสาวของนางต้องกระทำผิดซ้ำรอยเดิมของพี่สาวฝาแฝดนางในตอนนั้น!!

มารดาต้องทนทุกข์ทรมานมาแล้วครั้งหนึ่ง…

อย่าให้ความทรมานดังกล่าวต้องมาเกิดขึ้นกับลูกสาวอีกเลย!

“หลง?”

ได้ยินคำของประมุขนิกายสือหังเซียน สอตางามของมู่หรงปิงก็สั่นไหวเล็กน้อย ค่อยกลายเป็นพร่ามัวเลื่อนลอย ในใจปรากฏร่างม่วงผุดขึ้นมาอีกครั้ง

ข้าหลงมันเข้าแล้วหรือ?

สุดท้ายนางที่ถามใจตัวเอง ก็ไม่อาจตอบคำถามข้อนี้ได้…

อย่างไรก็ตามมีเรื่องหนึ่งที่นางสามารถตอบได้อย่างมั่นใจ

ว่าหากบุรุษผู้นั้นอยู่เบื้องหน้า และอาจารย์ป้าของนางกำลังจะลงมือเข่นฆ่าสังหารอีกฝ่าย นางไม่พ้นต้องออกตัวปกป้องบุรุษผู้นั้นแน่นอน แม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตามที…

อาจเป็นเพราะ นางโทษว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของนาง…

อาจเป็นเพราะ……

นางถูกบุรุษที่พบกันเพียงครั้งแต่พรากความบริสุทธิ์ของนางไป ทำให้หลงเข้าแล้วก็เป็นได้…

“ลืมมันไปเถอะ…ในเมื่อเจ้าไม่อยากพูดก็อย่าได้พูดแล้ว”

เมื่อเห็นแววตาพร่ามัวเลื่อนลอยของมู่หรงปิง ประมุขนิกายสือหังเซียนก็ได้แต่ถอนหายใจ กล่าวออกมาด้วยสีหน้าแววตาอ่อนล้า “ปิงเอ๋อ อาจารย์ป้าเหนื่อยแล้ว…เจ้ากลับไปพักเถอะ”

“ค่ะ”

มู่หรงปิงที่คืนสติ ก็เร่งกล่าวตอบคำแล้วจากไป

ทว่าหลังจากที่มู่หรงปิงจากไปได้ไม่ทันไร สีหน้าแวววตาอ่อนล้าของประมุขนิกายสือหังเซียนก็หวนกลับมาดุดันเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า!

“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ใด…ข้าไม่มีวันยอมให้เจ้าทำร้ายปิงเอ๋อเด็ดขาด!”

“ต่อให้ข้าต้องขุดดินลึก 3 ฉื่อเพื่อหาเจ้า ข้าก็จะหาเจ้าให้พบแล้วฆ่าเจ้าให้ตาย ตัดปัญหาในวันหน้า!!”

ในแววตาของประมุขนิกายสือหังเซียนเต็มไปด้ววยเจตนาฆ่าฟันอันน่ากลัวนัก ราวกับหากไม่ได้เข่นฆ่าศัตรูร้อยคนพันคน ก็ยากระงับเจตนาฆ่าฟันดังกล่าวได้

“ประเทศอมตะอวิ๋นเหยียน พระราชวังฉิน มณฑลจิ่วโยว เมืองเฉวี่ยโยว…”

ทันใดนั้นปากของประมุขนิกายสือหังเซียนก็เริ่มกล่าวพึมพำออกมาไม่กี่คำ ขณะกล่าวจิตสังหารในแววตายังลุกโชนขึ้นมาดั่งไฟลามทุ่ง ปานจะผลาญเผาสรรพสิ่งให้มอดไหม้!

วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน

ณ ค่ายกองทัพมังกรเงิน เมืองเฉวี่ยโยว

ในกระโจมผู้บัญชาการของกองทัพมังกรเงิน เหมียวไหลหลง วันนี้ปรากฏร่างคน 3 คนยืนอยู่หน้าร่าหนึ่งที่นั่งอยู่

“เจ้า…เจ้าแน่ใจว่าต้วนหลิงเทียนนั่นมันเป็นแค่ผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนเมื่อ 2 ปีก่อน และเป็นแค่เซียนอมตะสวรรค์?!”

ภายในกระโจม ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เพียงคนเดียวกำลังมองจ้องไปยัง 1 ใน 3 ร่างที่ยืนอยู่ จี้ถามออกไปเสียงเข้ม

หากมีคนของกองทัพมังกรเงินมาอยู่ตรงนี้สักคน ย่อมบอกได้ทันทีว่าผู้ที่ถูกชายหนุ่มจี้ถามอยู่ตอนนี้ก็คือ ผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินของพวกมัน เหมียวไหลหลง

ทว่าเหมียวไหลหลง ผู้บัญชาการที่เคยสง่างามน่าเกรงขามของพวกมัน ต่อหน้าชายหนุ่มคนนี้กลับก้มหัวกล่าววาจาสุภาพ แลดูเรียบๆร้อยๆนัก

ไม่ต่างอะไรกับกำลังเผชิญหน้ากับเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวอย่างหลิ่วเฟิงกู่!

“นายน้อยเฟย เรื่องนี้ข้าแน่ใจนัก…หากท่านไม่เชื่อข้า เช่นนั้นข้าสามารถพาท่านไปพบเหล่าผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนพร้อมกันกับต้วนหลิงเทียนเมื่อ 2 ปีก่อนได้ พวกมันย่อมไม่กล้าโกหกท่านแน่นอน นายน้อย!”

เหมียวไหลหลงกล่าวรับประกัน

หากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่ตรงนี้เขาคงจดจำได้ทันที

ว่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในกระโจมผู้บัญชาการคนนี้ ก็คือโจวเฟยที่เขาตัดแขนตัดขามันไปจนอาการสาหัส!

นอกจากนั้นมันยังเป็นบุตรชายบุญธรรมของ โจวทง ผู้พิทักษ์อันดับ 1 ของจวนผู้ว่าการมฑลจิ่วโยว!

ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างๆเหมียวไหลหลงทั้ง 2 คนก็คือ…น้องสาวแท้ๆเหมียวไหลเฟิ่งกับน้องเขยมันหยางกงผิง!