เล่ม 1 ตอนที่ 348-2 ชาติกำเนิด กลวิธีของหมิงซิว (2)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 348-2 ชาติกำเนิด กลวิธีของหมิงซิว (2)

จีหมิงซิวไม่แปลกใจสักนิด เพียงตอบอืมเรียบๆ “สมัยนั้นที่คนเยี่ยหลัวสามารถรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งได้ก็ไม่ใช่เพราะอาศัยดวงเท่านั้น ชนเผ่าของพวกเขาเก่งกาจการทำสงครามมาตั้งแต่เกิด มีความมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่ น้อยนักที่จะง้างปากของพวกเขาออกมาได้”

เยี่ยนเฟยเจว๋กะพริบตาปริบๆ “เจ้ากล่าวเช่นนี้ข้ากลับนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ยังจำครั้งนั้นที่นายท่านเฉียวกับเจ้าตกลงไปในหุบเขาได้รึไม่ เจ้าถูกนักฆ่ากลุ่มหนึ่งลอบทำร้าย สือชีจับเป็นมาได้คนหนึ่ง แต่ไม่ว่าพวกเราจะสอบปากคำเท่าไรก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรจากปากเขาเลย คนผู้นั้น…คงไม่ใช่คนเยี่ยหลัวด้วยเหมือนกันกระมัง”

จีหมิงซิวเอ่ยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “เป็นคนที่ฉินปิงอวี่ส่งมาให้เอาชีวิตข้า”

เยี่ยนเฟยเจว๋กัดฟัน “ไอเจ้าชั่วนั่น! ข้ายังคิดว่าเป็นคนจากจวนยิ่นอ๋องเสียอีก ตอนนั้นข้ายังงงอยู่เลย องครักษ์ของจวนยิ่นอ๋องกระดูกแข็งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร เพียงแต่…เขาจะฆ่าเจ้าไปไย เขาไม่กลัวว่าหากฆ่าเจ้าแล้วจะไม่ได้กระบี่โหราจารย์กลับมาอีกหรือ”

จีหมิงซิวไม่ได้ตอบคำถามแต่เอ่ยประชดว่า “บุรุษเมื่อนึกริษยาขึ้นมาก็น่ากลัวมากเช่นกัน”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่เข้าใจจนนิดเดียว

จีอู๋ซวงกลับฟังเข้าใจแล้ว เจ้าคนชั่วฉินปิงอวี่นั่นมีใจให้สวินหลันอย่างมาก แต่กระนั้นในใจสวินหลันก็มีเพียงนายน้อยของตนแต่เพียงผู้เดียว ฉินปิงอวี่นึกริษยาจนปีศาจเข้าสิงถึงได้ลงมือสังหารนายน้อย แต่หลังจากเกิดเรื่องคิดว่าเขาคงนึกเสียใจทีหลัง จึงไม่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นเป็นครั้งที่สองอีก

จีหมิงซิววางถ้วยลง “พาข้าไปพบเขาที”

จีอู๋ซวงเปิดประตูทางเขาสระเหมันต์ ไอเย็นยะเยือกพัดมาใส่หน้า ส่วนด้านหลังเป็นฤดูร้อนที่ร้อนระอุ เมื่อยืนอยู่หน้าประตูจึงให้ความรู้สึกคล้ายด้านหลังเป็นภูเขาไฟส่วนด้านหน้าเป็นธารน้ำแข็ง

จีหมิงซิวเดินเข้าไปยังสระที่ส่งไอเย็นยะเยือก ฉินปิงอวี่มีโซ่คล้องแขนขาเอาไว้ ตัวเขากว่าครึ่งแช่อยู่ในสระเหมันต์ที่เยือกแข็ง สองแขนวางอยู่บนพื้นพร้อมลมหายใจที่รวยริน เส้นผมและขนตาของเขามีน้ำค้างแข็งเกาะอยู่ ริมฝีปากเป็นสีม่วง ขอบตาลึกโบ๋ ปากสั่นฟันกระทบกันตลอดเวลา

รองเท้าพื้นขาวสองข้างที่สะอาดและประณีตเดินเข้ามาสู่สายตาเขา ฝีมือการทำรองเท้าคู่นั้นดีเลิศจนไร้ที่ติ เหนือรองเท้าขึ้นไปเป็นชายอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ ดูเผินๆ เหมือนเป็นเนื้อผ้าธรรมดาๆ แต่กลับสอดแทรกไว้ด้วยทองคำ

ฉินปิงอวี่เงยหน้าขึ้นอย่างอ่อนระโหย อาจเพราะร่างกายอ่อนแอเกินไป สายตาเขาจึงไม่สู้ดีนัก แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นเขาก็ยังดูออกว่าคนที่มาเป็นใคร เขาส่งยิ้มให้อย่างอ่อนแรง “เจ้ามาเสียที”

จีหมิงซิวกดสายตาลงมองอีกฝ่าย “ตัวข้ามาแล้ว แค่ไม่รู้ว่าเจ้ามีอะไรอยากบอกรึไม่”

ฉินปิงอวี่เลิกคิ้ว เขาพยักหน้าอย่างใสซื่อแต่จริงจัง “มี…มี…”

“มีก็ดี” จีหมิงซิวสีหน้าเรียบเฉย

ฉินปิงอวี่มองหน้าเขา ระบายยิ้มอ่อนล้าแต่เจือแววประหลาด “เพียงแต่…เจ้าอยากรู้เรื่องอะไรกันแน่”

จีหมิงซิวมองตอบสายตาที่เจือแววท้าทายระคนโอหังไร้ความเกรงกลัวของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย แรงกดดันอันแข็งแกร่งทำให้ความโอหังที่เขาฝืนแสดงออกมาพังทลายอยู่บนหน้าเขานั้นเอง เขาได้แต่ก้มหน้าลงอย่างยอมจำนน จากนั้นก็ได้ยินจีหมิงซิวถามว่า “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าเจ้ารู้อะไรบ้างแล้ว”

ฉินปิงอวี่ “หากเจ้าอยากถามเรื่องมารดาของเจ้า ข้าคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ นอกจากรู้ว่านางก็คือฉางเฟิงสื่ออีกคนของเยี่ยหลัวแล้ว ข้าก็ไม่รู้อะไรอีก”

เยี่ยนเฟยเจว๋ตะคอกขึ้นว่า “เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร พวกเจ้าไม่ได้ถูกส่งมาจากเยี่ยหลัวทั้งคู่หรอกหรือ นายเหนือหัวเจ้าเป็นใคร ก็เป็นนายเหนือหัวนางเช่นกันมิใช่หรือ”

ฉินปิงอวี่ส่ายหน้า ความเยือกแข็งทำให้ความเร็วในการพูดของเขาช้าลงไปหลายเท่า “ข้าบอกพวกเจ้าตามตรง ข้าไม่รู้กระทั่งว่านายเหนือหัวข้าเป็นใคร ทุกครั้งทางฝั่งนั้นจะเป็นฝ่ายติดต่อข้ามาก่อน บางครั้งมีการนัดพบ บางครั้งก็ไม่มี ส่วนคนเหล่านั้นที่ข้าพบ โดยมากก็มักไม่ใช่คนเดียวกัน ทุกคนที่มาปฏิบัติหน้าที่ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักกันทั้งสิ้น”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยอย่างใช้ความคิด “เรื่องนี้ฟังดูน่าสนใจอยู่นะ”

เขาพูดต่อว่า “เดิมทีข้าเพียงได้รับคำสั่งว่าจะต้องให้ความร่วมมือกับเบื้องบน จัดการฉางเฟิงสื่อที่ทรยศหักหลังเยี่ยหลัว ส่วนฉางเฟิงสื่อมีความเป็นมาอย่างไรในเยี่ยหลัวกันแน่นั้น ข้าไม่รู้เลย”

จีหมิงซิวจับจ้องเขาตาไม่กะพริบ ไม่ปล่อยให้สีหน้าใดๆ ของอีกฝ่ายเล็ดรอดสายตาไปได้ เมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกจึงถามต่อว่า “ครั้งนี้เยี่ยหลัวส่งคนมาพบเจ้าอีก เจ้าก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครงั้นหรือ”

ฉินปิงอวี่ “ไม่รู้”

จีหมิงซิว “เป็นบุรุษหรือสตรีก็ไม่รู้?”

ฉินปิงอวี่ถอนหายใจทีหนึ่ง “เดิมทีข้าจะได้พบคนผู้นั้นอยู่แล้ว แต่น่าเสียดายเมื่อตอนข้าไปถึงโรงเตี๊ยม เขาก็ทำร้ายข้าออกมา ข้าเดาว่าคงไปเจอเหตุการณ์ที่เขาไม่สะดวกเข้าเลยถอยออกมาก่อน หลังจากนั้นเรื่องของข้าก็ถูกพวกเจ้ารู้เข้า เลยไม่มีโอกาสได้ไปพบเขาอีกเลย”

คำบอกเล่าของเขาสอดคล้องกับสถานการณ์ในวันนั้น ฟู่เสวี่ยเยียนนัดเขาไปพบที่โรงเตี๊ยม แต่จับพลัดจับผลูไปถูกหมิงเยี่ยวางยาเข้า ฟู่เสวี่ยเยียนมัวแต่วุ่นกับการใช้หมิงเยี่ยแก้พิษ จึงย่อมไม่อาจให้เขาเห็นตนในสภาพนั้นได้

จีหมิงซิวหยิบภาพวาดภาพหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ คลี่ออกแล้วถามเขาว่า “เจ้าเคยเจอพวกเขาเหล่านี้หรือไม่”

ฉินปิงอวี่หรี่ตา พยายามมองอยู่นานถึงได้บอกว่า “สตรีนางนี้ข้าไม่เคยพบมาก่อน แต่บุรุษผู้นั้นข้ารู้จัก”

จีหมิงซิวถามด้วยสีหน้าคงเดิมว่า “เขาเป็นใคร”

“เขาคือซื่อจื่อของจวนมู่อ๋อง “เจ้ามองดูให้ดี มั่นใจว่าไม่ได้จำคนผิด?”

ฉินปิงอวี่ “ข้ามั่นใจ ข้าเคยพบเขาหลายครั้งเมื่อตนอยู่ที่เยี่ยหลัว จำเขาได้แม่นทีเดียว ไม่มีทางจำผิดแน่นอน”

จีหมิงซิวทำหน้าไม่เชื่อ “เจ้าไม่ได้กลับไปเยี่ยหลัวมายี่สิบกว่าปีแล้วนะ”

ฉินปิงอวี่พยักหน้า “ใช่ แต่ข้าจำไม่ผิดแน่”

จีหมิงซิวนิ่งไปพักหนึ่งคล้ายกำลังใคร่ครวญว่าที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงหรือหลอก ผ่านไปชั่วครู่เขาก็เปลี่ยนเรื่องไปว่า “เขามีบุตรหรือไม่”

ฉินปิงอวี่นิ่งคิดก่อนตอบว่า “ได้ยินว่ามีบุตรชายคนหนึ่ง เวลานี้เขาน่าจะสืบทอดตำแหน่งอ๋องเป็นท่านอ๋องแล้ว”

“บุตรชายของเขาชื่อว่าอะไร” จีหมิงซิวถาม

“มู่ชิวหยาง” ฉินปิงอวี่ตอบ

จีหมิงซิวเหลือบมองภาพเหมือนของศิษย์พี่ฟู่ทีหนึ่ง พอจะมั่นใจแล้วว่าฟู่ชิวหยางก็คือมู่ชิวหยาง “ในบ้านพวกเขาไม่มีบุตรสาว?”

ฉินปิงอวี่ใช้ความคิด “บุตรสาวแท้ๆ เลยไม่มี แต่มีบุตรบุญธรรมอยู่คนหนึ่ง”

“บุตรบุญธรรมมีประวัติความเป็นมาอย่างไร”

ฉินปิงอวี่ “นางเป็นลูกกำพร้าจากตระกูลกู่”

จีหมิงซิวเอ่ยต่อว่า “เกี่ยวกับตระกูลกู่ มีเรื่องอะไรที่น่าเอ่ยถึงหรือไม่”

นัยน์ตาฉินปิงอวี่มีแววประหลาดวาบผ่าน “ดูเหมือนจู่ๆ เจ้าก็รู้เรื่องเกี่ยวกับเยี่ยหลัวขึ้นมามากทีเดียว”

จีหมิงซิวไม่ตอบเขา เพียงทำมือบอกให้พูดต่อไป

ฉินปิงอวี่ถอนใจแล้วเอ่ยว่า “มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่าตระกูลกู่คือทายาทสืบสายเลือดหงส์ บุตรสาวของตระกูลนี้ชะตาได้กำหนดไว้แล้วว่าจะต้องเป็นฮองเฮาของเยี่ยหลัว แต่ตระกูลกู่ไม่ได้ให้กำเนิดบุตาสาวมานานปีแล้ว อุตส่าห์ให้กำเนิดมากับเขาสักคนก็ไม่รู้ไปผิดใจกับใครเข้า ถูกฆ่าล้างตระกูลภายในชั่วข้ามคืน มู่อ๋องเป็นคนเก็บเด็กผู้นั้นมาเลี้ยง”

ฉินปิงอวี่ไม่ใช่คนโง่ ไม่นานก็ก็ดูออกว่าคนในภาพไม่ใช่มู่อ๋องคนที่ตนเคยพบ “สตรีนางนี้ก็คือบุตรกำพร้าของตระกูลกู่? เช่นนั้นบุรุษผู้นี้…คือบุตรชายของมู่อ๋อง? เจ้าไปเอาภาพเหมือนของพวกเขามาจากที่ใด”

จีหมิงซิวเก็บภาพวาดนั้นแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ด้วยสถานะของเจ้าในเวลานี้ ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าได้ซักถามเรื่องที่ไม่ควรซักถามจะดีกว่า เยี่ยหลัวมีท่านอ๋องอยู่ทั้งหมดกี่คน”

ฉินปิงอวี่ตอบอย่างยอมจำนนว่า “สี่คน ท่านอ๋องสายหลักคือท่านอ๋องสาม ท่านอ๋องใหญ่กับท่านอ๋องรองล้วนเกิดจากอนุของฮ่องเต้ทั้งสิ้น ฐานะไม่สูงนัก”

“เจ้ายังไม่ได้เอ่ยถึงท่านอ๋องสี่” จีหมิงซิวเอ่ยเตือน

“ท่านอ๋องสี่…” ฉินปิงอวี่สีหน้ามีแววหนักใจขึ้นมา “เขาเป็นบุตรที่นายเหนือหัวให้กำเนิดอยู่ข้างนอก ไม่มีใครรู้ว่ามารดาผู้ให้กำเนิดเขาเป็นใคร แต่นายเหนือหัวรักใคร่เขามาก ที่ควรบอกข้าบอกไปหมดแล้ว เวลานี้จะทำตามที่รับปากข้าไว้ได้หรือยัง…ช่วยให้ข้าหมดทุกข์เสียที”

จีหมิงซิวเอ่ยช้าๆ ว่า “ไม่รีบ แช่ต่อไปอีกสักสองวัน”

“เจ้า…” ฉินปิงอวี่โกรธจนเกือบหยุดหายใจ “เจ้ากลับกลอกเช่นนี้ได้อย่างไร”

จีหมิงซิวมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย นัยน์ตามีแววหยอกเย้าระคนเฉยชา “เจ้ามั่นใจหรือว่าเป็นข้าที่กลับกลอก”

ฉินปิงอวี่หนาวจนตัวสั่นสะท้านไปหมด “ไม่ใช่เจ้า…แล้วเป็นข้างั้นหรือ วันนี้ที่ข้าพูดไป…ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น!”

จีหมิงซิวมองหน้าเขา “ข้าไม่นึกสงสัยว่าเจ้าจะโกหก เพียงแต่เจ้ายังไม่ได้บอกเล่าความจริงทั้งหมดออกมา เจ้าพูดความจริงตั้งมากมายเพียงนั้นเพื่อปั่นหัวข้า เพียงเพื่อให้ข้าผ่อนคลายความระแวดระวังในตัวเจ้า เจ้าจะได้รักษาความลับนั้นของเจ้าเอาไว้ได้”

ขนตาฉินปิงอวี่สั่นไหว ก้มหน้าลงจนตาอยู่ติดกับผิวน้ำ “ข้าไม่มีความลับอะไรแล้ว”

จีหมิงซิวจัดแขนเสื้อด้วยท่าทีสบายๆ “อย่างนั้นหรือ หวังว่าหลังจากนี้สองวัน เจ้าจะยังคงพูดเช่นนี้”