ตอนที่ 353-2 จัดการท่านพ่อจี
ภายในห้องที่ใหญ่โตเหลือเพียงคณะของจีหมิงซิว
ใต้เท้าเจ้าสำนักโต้เถียงอยู่เป็นนานก็ไม่รู้ผลแพ้ชนะเสียที แต่พอพี่ใหญ่ออกโรงก็จัดการจีซั่งชิงได้ทันที เขาไม่มีทางยอมรับว่าในใจตนเต็มไปด้วยความอิจ (เลื่อม) ฉา (ใส)!
ใต้เท้าเจ้าสำนักหันไปเห็นฟู่เสวี่ยเยียนกำลังมองประเมินจีหมิงซิวอยู่ ใบหน้าหล่อเหล่าพลันบึ้งตึง เข้าไปบังสายตานางไว้จนมิด
เฉียวเวยกระแอมไอเบาๆ ใช้เท้าเตะมุมโต๊ะหลายครั้งก่อนบอกว่า “เรื่ององค์หญิง…”
จีหมิงซิวจับปรอยผมตรงข้างหูไปทัดไว้ด้านหลังให้นาง “ข้ารู้ ไม่ต้องอธิบายหรอก เจ้าทำได้ดีมาก”
“จริงหรือ” เฉียวเวยถามคล้ายไม่เชื่อ
จีหมิงซิวพยักหน้าอย่างอ่อนโยน ดูราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่ที่ไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น ทุกรูขุมขนบนตัวเขา ราวกับว่ามีไออุ่นแผ่ออกมาจนทั่ว “เจ้าปกป้องตัวเองได้ดีมาก ปกป้องพวกหมิงเยี่ยได้ดีมากเช่นกัน”
ส่วนเรื่องอื่น ให้เขาจัดการก็พอ
เฉียวเวยพลันตาโค้งลง ระบายยิ้มด้วยความยินดี
จีหมิงซิวพอเห็นนางยิ้ม มุมปากก็พลอยโค้งขึ้นตามไปด้วย
ใต้เท้าเจ้าสำนักทนดูต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ เขากับนางยักษ์แค่จะจับมือกันยังต้องคอยหาโอกาสเลย พวกเขาสองคนส่งตาหวานให้กันต่อหน้าต่อตาเขาเช่นนี้มันใช่เรื่องหรือ
“แค่กๆๆ!” เขาขัดบรรยากาศหวานเชื่อมระหว่างพวกเขาสองคนอย่างไม่มีเกรงใจ “นี่ๆ พวกเจ้าไม่รู้สึกว่าเจ้าคนนั้นดูไม่ปกติหรือ ท่าทางเขาอย่างกับถูกผีเข้าแหน่ะ!”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องจริงจัง สีหน้าเฉียวเวยก็ดูเคร่งเครียดขึ้นมา “ก็ใช่น่ะสิ ท่านพ่อดูราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน เขาจะเป็นเหมือนเฟิ่งชิงเกอที่เป็นตัวปลอมรึเปล่า”
จีหมิงซิวคิดแล้วบอกว่า “ไม่เหมือน”
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยปากบอกว่า “เขาถูกพิษไสยเวท”
“พิษไสยเวท?” พิษไสยเวทไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเฉียวเวย ตั้งแต่เมื่อครั้งที่นางอยู่ชนเผ่าลึกลับ ท่านตาของนางก็ถูกตำหนักธิดาเทพลอบวางยาพิษไสยเวทใส่แล้ว ในตัวสือจีกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็มีพิษเช่นนี้อยู่เช่นกัน แต่พิษไสยเวทประเภทนี้ไม่รุนแรงถึงชีวิตแลจะไม่ทำให้คนที่โดนมีลักษณะนิสัยเปลี่ยนไป พิษตัวที่จีซั่งชิงโดนเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ประเภทเดียวกัน “เป็นพิษไสยเวทประเภทใด”
ฟู่เสวี่ยเยียนบอกว่า “ชื่อเรียกว่าอะไรข้าไม่รู้ แต่ข้าเคยเห็นจอมเวทย์ใช้ยานี้ควบคุมคนที่ไม่เชื่อฟังมาก่อน อาการเหมือนที่นายท่านจีเป็นเมื่อครู่นี้เลย”
เฉียวเวยลูบคาง “ยังมีวิชามารเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ ผู้ใดเป็นคนคิดค้นขึ้นมากัน”
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยช้าๆ ว่า “พิษไสยเวทมีมาตั้งแต่สมัยที่เยี่ยหลัวยังรวมใต้หล้าไม่สำเร็จแล้ว แต่มีต้นกำเนิดมาจากชนเผ่าใดนั้นก็ไม่เคยมีใครกล่าวเอาไว้ แรกเริ่มเดิมทีพิษไสยเวทอยู่คู่กับพิษแมลงกู่ ทุกอย่างที่เรียกว่าไสยศาสตร์ไม่มีการแบ่งแยก ที่กล่าวถึงก็คือสิ่งเดียวกัน แต่พิษทั้งสองประเภทนี้ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการร่ำเรียน ตอนหลังจึงค่อยๆ แตกเป็นสองแขนง ผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านพิษไสยเวทจะเรียกว่าอาจารย์ไสยเวท ส่วนคนที่เชี่ยวชาญเรื่องพิษกู่จะเรียกว่าอาจารย์กู่”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตบหน้าอก “ข้าก็คืออาจารย์กู่ที่เก่งกาจที่สุดในชนเผ่าถ่าน่า!”
เฉียวเวยมุมปากกระตุก ใช่สิ เจ้าจะไม่เก่งที่สุดหรือ อาจารย์กู่ท่านอื่นมีหรือจะเลี้ยงแมลงกู่ลักเพศได้เช่นเจ้า
ฟู่เสวี่ยเยียน “อาจารย์กู่ยังนับว่าพบเห็นได้บ่อยๆ”
น้ำเย็นๆ หนึ่งถังสาดโครมลงมา ใต้เท้าเจ้าสำนักหน้าตาพลันบูดบึ้ง
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยต่อว่า “อาจารย์ไสยเวทกลับมีอยู่น้อยนัก ในเยี่ยหลัวของพวกเรามีเพียงตระกูลที่อยู่สูงสุดเท่านั้นถึงจะมีอาจารย์ไสยเวทเป็นของตนเอง อาจารย์ไสยเวทแต่ละคนล้วนเป็นบุคคลมีค่าของวงศ์ตระกูล สำคัญกว่ากองทัพทหารเสียอีก”
จีหมิงซิวเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ “ดังนั้นนั่นคืออาจารย์ไสยเวทจากตระกูลมู่ของพวกเจ้า?”
ฟู่เสวี่ยเยียนดูอึ้งงันไป
ใต้เท้าเจ้าสำนักอ้าปากเอ่ยว่า “เจ้าเป็นคนของจวนอ๋อง?”
ฟู่เสวี่ยเยียนหลุบตาลง ไม่ตอบคำถามเขาเพียงพูดขึ้นเงียบๆ ว่า “หากไม่จำเป็นจริงๆ อาจารย์ไสยเวทจะไม่ออกจากตระกูล เพราะถึงแม้อาจารย์ไสยเวทจะเก่งกาจด้านการวางยาพิษ แต่โดยมากแล้วร่างกายของพวกเขาจะอ่อนแออย่างหนัก นี่คงเป็นเพราะพวกเขาต้องคลุกคลีอยู่กับพิษชนิดรุนแรงอยู่ตลอดเวลา”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างมีความคิดบางอย่าง “เมื่อวานตอนกลางวันข้ายังเห็นเขาดีๆ อยู่เลย ตอนกลางคืน…ตอนกลางคืนได้ยินเฟิ่งชิงเกอบอกว่าเขาหลับสนิทมาก เนื้อตัวมีแต่ไอร้อน แต่ไม่ได้ร้อนเหมือนจะไม่สบาย เฟิ่งชิงเกอเลยไม่ได้ใส่ใจอะไร เวลานี้มาคิดดู เขาคงถูกพิษตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”
ปี้เอ๋อร์บอกว่า “เมื่อวานสวินซื่อไม่สบาย นายท่านไปเยี่ยมนางที่เรือนหลีฮวา ทั้งยังเรียกท่านหมอหลูกับเด็กต้มยาของเขาให้เข้ามาช่วยรักษาให้ด้วย”
เฉียวเวยพลันขมวดคิ้ว “เด็กต้มยา?”
พ่อสามีที่เลอะเลือนนี่นะ! นางอุตส่าห์กันเด็กต้มยาไว้ข้างนอกแทบตาย เขากลับดีพอสวินหลันแกล้งป่วยเข้าหน่อย เขาก็ให้คนผู้นั้นเข้ามาแล้ว!
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องเป็นฝีมือเจ้าเด็กต้มยาผู้นั้นเป็นแน่!
“พิษชนิดนี้แก้ได้หรือไม่” เฉียวเวยถาม
ฟู่เสวี่ยเยียน “ต้องตามหาคนที่วางยาถึงจะแก้ได้”
“นายน้อย!” ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่นั้น เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็จับตัวใครคนหนึ่งเข้ามา คนผู้นั้นอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว รูปร่างผ่ายผอม ระหว่างทางที่ถูกจับตัวมาคงจะโดนรังแกมาไม่น้อย เส้นผมหลุดลุ่ย ใบหน้าตรงนั้นเขียวตรงนี้ม่วง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอาตัวเขามาโยนลงกับพื้น
เฉียวเวยเพิ่งสายตามอง “ท่านหมอหลู?”
แต่ไหนแต่ไรมาจีหมิงซิวไม่เคยมารู้เรื่องราวโดยละเอียดหลังมาถึงจุดเกิดเหตุแล้ว ระหว่างทางมานี่เขาได้ส่งคนมาถามข่าวที่จวนโดยละเอียดไว้แล้ว ย่อมเดาได้ว่าเจ้าแซ่หลูผู้นี้กระทำเรื่องอะไรลงไปบ้าง
ท่านหมอหลูล้มจนสภาพดูไม่ได้ เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งตัว แต่ที่น่าหนาวสะท้านมากกว่าความเจ็บปวดก็คือสายตาของบุรุษผู้นี้ เขาไม่กล้าเหลือบมองมาก รีบก้มหน้าลงทันที
จีหมิงซิวกดสายตาลงมองคนบนพื้น “เด็กต้มยาผู้นั้นเล่า”
ท่านหมอหลูอ้ำๆ อึ้งๆ “เด็ก เด็กต้มยาอะไรกัน ข้าไม่เข้าใจ!”
จีหมิงซิวเอ่ยเสียงเรียบ “เยี่ยนเฟยเจวี๋ย ทำให้เขาเข้าใจ”
“รับทราบ!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหยิบดาวกระจายออกมาจากอกเสื้อ เล็งตรงไปที่จุดชีพจรใหญ่ตรงสันหลังใต้เท้าหลูแล้วทิ่มลงไปอย่างไม่มีเกรงใจ
ภายในห้องมีเสียงร้องโหยหวนราวกับเชือดหมูดังลั่นขึ้นทันที
“ข้าบอก! ข้าบอก! ข้าบอก…” ใต้เท้าหลูหน้าตาซีดขาว เจ็บจนหน้าตาบิดเบี้ยว “เขาอยู่ที่บ้านหลังเล็กสุดถนนเซียงจางทางตะวันตกที่อยู่ทางใต้ของเมือง…”
สือชีใช้วิชาตัวเบากระโดดออกไปทันที
ภายในบ้านหลังเล็กบนถนนเซียงจาง มู่ชิวหยางได้ทราบข่าวว่าจีหมิงซิวกลับมาและยอดฝีมือทั้งสามสิบกว่าคนที่ตนส่งออกไปไม่เหลือรอดเลยสักคนเดียวก็โกรธจนทุบโต๊ะแหลกไปหนึ่งตัว “ไม่ได้บอกว่าเดือนหน้าเขาถึงจะกลับมาหรอกหรือ เหตุใดถึงกลับมาเร็วเพียงนี้”
หลินชวนบอกว่า “คนของพวกเราสะกดรอยตามเขาอยู่ตลอด เขาไปที่หมู่บ้าน กลับออกจากหมู่บ้านก็ไม่เคยคลาดกัน แต่ทว่า…ใครจะคิดว่าเขาจะใช้วิชาพรางตา คนที่เข้าไปในหมู่บ้านเป็นเขา! แต่คนที่กลับออกมากลับไม่ใช่! พวกเราสะกดรอยตามรถม้าผิดคัน!”
เจ้าคนแซ่จีนี่ช่างเจ้าเล่ห์แสนกลเหลือเกิน น่ากลัวว่าคงรู้ตัวว่ามีคนสะกดรอยตามตั้งแต่ตอนไปที่หมู่บ้านแล้วจึงแสร้งทำเป็นสลัดพวกเขาหลุดได้หลายครั้ง แต่ทุกครั้งพวกเขาก็จะกลับมาตามเจอได้ทุกครั้งไป เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาเลยยิ่งระวังตัว เมื่อยิ่งระวังตัวก็ยิ่งรู้สึกว่าตนสะกดรอยตามได้ดี ไหนเลยจะรู้ว่าพวกเขาจะเร้นกายหนีไปตั้งแต่อยู่ที่หมู่บ้านแล้ว!
หลินชวนเอ่ยโน้มน้าวว่า “ซื่อจื่อ แผนพวกเราล้มเหลวแล้ว เป็นไปได้มากที่ร่องรอยของพวกเราจะถูกเปิดเผย รีบไปจากที่นี่ ไปจากเมืองหลวงกันดีกว่าขอรับ!”
มู่ชิวหยางกำหมัดแน่น “เสียหายคนไปตั้งมากเพียงนั้น เจ้าจะให้ข้ามีหน้ากลับไปพบเสด็จพ่อได้อย่างไร”
หลินชวนอยากจะบอกว่าเขาเป็นถึงบุตรชายของสตรีนางนั้นเชียวนะ หากรับมือได้ง่ายเพียงนั้น เยี่ยหลัวคงไม่รู้จะจัดการกับตระกูลจีอย่างไรมาตั้งนานปีเช่นนี้!
“ไปกันเถิดซื่อจื่อ! พวกมันรู้ตัวแล้ว!”
ออกไปจับตัวคนตามถนนข้างนอกก็แล้วไปเถิด แต่นี่วิ่งเข้าไปสร้างความวุ่นวายให้เขาถึงในบ้าน คนเขาข่มกลั้นโทสะไว้ได้สิแปลก รีบอาศัยช่วงที่จีหมิงซิวยังไม่เริ่มลงมืออะไร ดึงตัวถอยกลับไปจะดีกว่า!
ขาดแค่เพียงก้าวเดียวเท่านั้น หากจีหมิงซิวมาช้ากว่านี้แค่เพียงครึ่งชั่วยาม เขาก็จะทำสำเร็จแล้ว! มู่ชิวหยางทุบหมัดลงอย่างไม่ยอมแพ้ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ กดข่มโทสะในใจเอาไว้ “เรียกอาจารย์ไสยเวทไปด้วย”
หลินชวนรีบเปิดประตูจะไปเรียกอาจารย์ไสยเวท แต่ผู้ใดจะรู้ว่ายังไม่ทันก้าวข้ามธรณีประตู ก็ถูกพลังอันมหาศาลซัดจนตัวกระเด็นไปกระแทกกับกำแพง
มู่ชิวหยางสายตาพลันเปลี่ยนเป็นดุดัน เบี่ยงหลบก่อนจะก้าวออกไป แต่น่าเสียดายที่ช้าไปก้าวหนึ่ง ลูกน้องเขาถูกเด็กหนุ่มในอาภรณ์สีน้ำตาลจับตัวไปเสียแล้ว