ตอนที่ 354-1 หวานๆๆ ทารุณสวินหลัน

เฉียวเวยรู้อยู่แล้วว่าวิชาตัวเบาของสือชีนั้นล้ำเลิศ แต่กลับไม่รู้ว่าจะล้ำเลิศเพียงนี้ มิน่าเล่าเยี่ยนเฟยเจวี๋ยถึงมักบ่นว่าตอนสือชีเป็นยอดฝีมือขั้นสาม เขาเป็นยอดฝีมือขั้นหนึ่ง ตอนสือชีเป็นยอดฝีมือขั้นสองเขายังคงเป็นขั้นหนึ่ง จนสือชีล้ำหน้าเขาไปแล้ว เขาก็ยังเป็นขั้นหนึ่งอยู่ร่ำไป!

ความรวดเร็วในพัฒนาการของสือชีเป็นที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก

ยังไม่ทันดื่มชาหมดถ้วย สือชีก็จับคนผู้นั้นโยนเข้ามาในห้องราวกับโยนลูกไก่

เฉียวเวยมองบุรุษที่กลิ้งไปกับพื้นสองตลบจนมาหยุดอยู่ข้างเท้านางแล้วหรี่ตาเอ่ยว่า “เป็นเจ้าจริงๆ เสียด้วย”

หากไม่ใช่เด็กต้มยาผู้นั้นยังจะเป็นผู้ใดได้อีก

เด็กต้มยา ไม่สิ อาจารย์ไสยเวทขยับลุกขึ้น จ้องมองเฉียวเวยรวมถึงทุกคนภายในห้องด้วยความระมัดระวัง จังหวะที่สายตาเขาเลื่อนไปสบกับฟู่เสวี่ยเยียนนั้น อารมณ์ก็ปั่นป่วนไปหมด เขาตะเบ็งเสียง ““%@¥&!”

เฉียวเวยงงงวย “…”

เขาพูดอะไรของเขา

จีหมิงซิวเอามืออ่อนนุ่มของนางไปจับ แปลให้ฟังว่า “เขาบอกว่าเจ้าทรยศต่อเยี่ยหลัวจริงๆ ด้วย เจ้ามันคนทรยศ”

เฉียวเวยร้องอ้อแล้วถามด้วยความสงสัย “ภาษาที่เขาพูดใช่ภาษาที่ธิดาเทพใช้พูดกับเหอจั๋วหรือไม่”

จีหมิงซิวพยักหน้า “เป็นภาษาโบราณของเยี่ยหลัวเหมือนกัน”

ใต้เท้าเจ้าสำนักส่งเสียงหึอย่างไม่สบอารมณ์ เหตุใดไอเจ้านี่ถึงฟังเข้าใจ ออกจากท้องมารดาเดียวกันแท้ๆ จะต่างกันเพียงนี้เชียวหรือ จีหมิงซิวต้องไม่ใช่บุตรในอุทรของมารดาแน่!

ฟู่เสวี่ยเยียนถกเถียงกับอาจารย์ไสยเวทอยู่เป็นนานแต่เป็นตายอย่างไรอาจารย์ไสยเวทก็ไม่ยอมเอายาถอนพิษออกมาให้ สือชีกลับเอากระเป๋ายาทั้งหมดของเขามาด้วย แต่ยาตัวใดที่ถูกโรคและสามารถแก้พิษตัวนี้ได้ มีเพียงเขาที่เป็นคนปรุงยาเท่านั้นที่รู้

อาจารย์ไสยเวทเชิดหน้าขึ้น เห็นได้ชัดว่ามั่นใจมากว่าคนกลุ่มนี้ไม่สามารถทำอะไรเขาได้

เฉียวเวยมองสีหน้าที่แสนจะโอหังของเขาแล้วทำเสียงจึ๊ๆ พลางส่ายหน้า “เขาไม่กลัวว่าพวกเราจะฆ่าเขาหรือ”

จีหมิงซิวบอกว่า “เขาไม่กลัวตาย”

เฉียวเวยลูบคาง “ช่างกระดูกแข็งนัก”

“เฟิ่งชิงเกอ” จีหมิงซิวเอ่ยเรียก

เฟิ่งชิงเกอขยับตัวฉับเข้ามาทันที รวดเร็วเสียยิ่งกว่ากระต่าย

มุมปากเฉียวเวยกระตุก ไหนบอกว่าจะกลับชั้นฟ้าอย่างไร ไหนบอกว่าเกียรติยศของดอกโบตั๋น เอาเข้าจริงก็รออยู่ข้างนอกมาตลอดหรอกหรือ!

เฟิ่งชิงเกอมองหน้าจีหมิงซิวแล้วยิ้มแหยๆ “นายน้อย ท่านเรียกข้า?”

จีหมิงซิวเหลือบมองอาจารย์ไสยเวทที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่าง

เฟิ่งชิงเกอเข้าใจทันที เลยเดินบิดสะโพกเข้าไปหาอาจารย์ไสยเวท นางตบบ่าฟู่เสวี่ยเยียนเบาๆ เอาตัวเข้าไปบังฟู่เสวี่ยเยียนไว้โดยไม่ให้ผู้ใดรู้ แล้วจึงสะบัดพัดออกดังพรึ่บ เอาขึ้นปิดหน้าครึ่งหนึ่ง เผยออกมาเพียงดวงตาที่วาวใสเป็นประกาย

เฉียวเวยรู้ว่าเฟิ่งชิงเกอจะใช้วิชายั่วสวาท นางอยากรู้ว่าวิชาประเภทนี้กับวิชาสะกดจิตในยุคปัจจุบันนั้นต่างกันที่ตรงใด เลยจ้องเขม็งไปที่อีกฝ่าย แต่ยังไม่ทันได้เห็นอะไรก็ถูกจีหมิงซิวเอามือเข้ามาปิดตาไว้เสียก่อน

“อย่ามอง” เขาบอกเสียงเบา

เฉียวเวยเลยไม่มองอย่างว่าง่าย

ใต้เท้าเจ้าสำนักเบ้ปากด้วยความดูแลน ทีอย่างนี้ล่ะว่าง่ายเชียว ตอนซ้อมข้าเหตุใดถึงเก่งนัก!

จีหมิงซิวหันไปมองใต้เท้าเจ้าสำนัก “เจ้าก็อย่ามอง”

ใต้เท้าเจ้าสำนักเลยเดินอาดๆ เข้าไปหาฟู่เสวี่ยเยียน ดึงนางมาใช้มือหนึ่งปิดตาตนเอง อีกมือหนึ่งปิดตานางตามอย่างพี่ชาย

ฟู่เสวี่ยเยียนก็ไม่ได้ปัดป้อง

ใต้เท้าเจ้าสำนักนึกยินดียิ่ง วิธีการนี้ใช้ได้ผลเสียด้วย!

การจะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของตระกูลหนึ่งได้ อาจารย์ไสยเวทจะต้องมีความหนักแน่นที่คนทั่วไปไม่อาจต้านทานได้แน่นอน เฟิ่งชิงเกอต้องใช้พลังมหาศาลจนเกือบทำตัวเองบาดเจ็บภายในกว่าจะสะกดเขาเอาไว้ได้

แต่อีกปัญหาหนึ่งก็ตามมา

เขาผู้นี้ฟังภาษาจงหยวนไม่เข้าใจเลยแม้แต่คำเดียว แล้วตนจะออกคำสั่งเขาได้อย่างไร!

“เอายาแก้พิษออกมา”

อาจารย์ไสยเวทยังนิ่ง

“ยาแก้พิษ!”

อาจารย์ไสยเวทก็ยังนิ่ง

เฟิ่งชิงเกอบีบคอเขา “เอายาแก้พิษมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยเบาๆ ขึ้นสองสามคำ เฟิ่งชิงเกอเข้าใจทันที จึงเอ่ยตามที่ฟู่เสวี่ยเยียนบอกกับอาจารย์ไสยเวท

อาจารย์ไสยเวทหยิบขวดกระเบื้องสีขาวใบเล็กออกมาจากกล่องยาด้วยสีหน้าเหม่อลอย

เฟิ่งชิงเกอยื่นมือไปรับ

ในชั่วขณะที่กำลังจะได้มาไว้ในมือนั้น อาจารย์ไสยเวทก็ได้สติ!

เฟิ่งชิงเกอลอบกระทืบเท้า วิชายั่วสวาทของนางอย่างน้อยต้องมีฤทธิ์อยู่ได้หนึ่งชั่วยามเต็มๆ แต่เจ้านี้แค่เพียงพริบตาก็กลับมามีสติเหมือนเก่าแล้ว ช่างน่าประหลาดนัก!

เฟิ่งชิงเกอรีบแย่งขวดนั่นไป แต่จู่ๆ อาจารย์ไสยเวทก็ปล่อยมือ เฟิ่งชิงเกอคว้าได้แต่อากาศ จะใช้เท้ารับก็สายไปเสียแล้ว

เพียงชั่วอึดใจ แสงสีขาววูบหนึ่งก็แวบผ่านหัวไหล่ของอาจารย์ไสยเวทไป อาจารย์ไสยเวทรู้สึกขนลุกไปหมด แสงสีขาวแวบผ่านเร็วเกินไป เข้ามางับขวดกระเบื้องเคลือบที่กำลังจะหล่นลงกระทบพื้นได้อย่างเฉียดฉิว จากนั้นก็วิ่งเข้าไปสู่อ้อมแขนของเฉียวเวย

ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เฉียวเวยรับขวดยาไป

เสี่ยวไป๋เบ่งกล้ามด้วยความโอหัง

อาจารย์ไสยเวทอับอายจนกลายเป็นความโกรธ ขยับอ้าปากพึมพำสบถด่าไปคำรบใหญ่

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยฟังไม่ออกสังคำ รู้สึกเพียงรำคาญหูยิ่งนักเลยสกัดจุดเป็นใบ้เขาไว้เสียแล้วถามจีหมิงซิวว่า “จะจัดการเขาอย่างไร”

จีหมิงซิวนิ่งไป หันไปมองเฉียวเวยแล้วบอกว่า “อยากได้ทองคำรึไม่”

เฉียวเวยพยักหน้าหงึกๆ ราวกับสับกระเทียม

“อยากได้เท่าไร” จีหมิงซิวถาม

เฉียวเวยหรี่ตา มองประเมินอีกฝ่ายรอบหนึ่ง ในมือเขาเป็นอาวุธสังหารลับของจวนมู่อ๋อง คิดแล้วคงมีค่าไม่น้อยทีเดียว “ทองคำหนึ่งหมื่นตำลึง ไม่มีการเจรจา”

ทองคำหนึ่งหมื่นตำลึงก็เท่ากับหนึ่งแสนตำลึงเงิน การจะแลกเปลี่ยนกับตัวประกันสักคนเรียได้ว่าคุ้มค่าทีเดียว

จีหมิงซิวหันไปบอกเยี่ยนเฟยเจวี๋ย “บอกท่านอ๋องน้อยมู่ว่าหนึ่งแสนตำลึงทองคำ เงินมา ตัวประกันไป”

เฉียวเวย “….”

สามีข้าโหดกว่าข้าจริงๆ เสียด้วย!

ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือเมืองหลวง ถือเป็นถิ่นของจีหมิงซิว การจะหาคนที่หลบหนีไปไม่ใช่เรื่องยาก

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอาป้ายคำสั่งของจีอู๋ซวงไปขอศิษย์จากพรรคโลหิตพิฆาต พอตกบ่ายก็ตามหาร่องรอยของมู่ชิวหยางพบ

โบราณว่าไว้ได้ดีนัก มังกรผงาดหรือจะสู้งูดิน มู่ชิวหยางไม่ว่าจะวรยุทธ์ก็ดีหรือสติปัญญาก็ดี อาจจะไม่เป็นรองจีหมิงซิว แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นถิ่นของจีหมิงซิว ส่วนเขาไม่คุ้นเคยกับทั้งผู้คนและสถานที่ ตั้งแต่ก่อนเข้ามาเมืองหลวง หลินชวนเคยเตือนแล้วหลายครั้งว่าอย่าหว่านแหใส่ตนเอง อย่าบุกลึกเข้าไปในถ้ำเสือ เขาก็เอาแต่คิดว่าตนเองเก่งกาจ ไม่เห็นตระกูลจีและเฉียวเวยอยู่ในสายตา

สำหรับเขาแล้วการที่เฉียวเวยสามารถเอาชนะผู้อาวุโสทั้งสามได้นั้นเป็นเพราะความโชคดีทั้งสิ้น หากไม่ใช่เพราะตนยอมอ่อนให้ ไม่ว่าอย่างไรเฉียวเวยก็เอาชนะผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสใหญ่ไม่ได้ สตรีเช่นนี้ถึงแม้จะเก่งกาจกว่าสตรีทั่วไปอยู่เล็กน้อย แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้มีอะไรน่ากลัว