WSSTH ตอนที่ 2,664 : สิงโตปากกว้าง!

ปง! ปง! ปง! ปง!

ประทับฝ่ามือที่ตบฟาดมาทางต้วนหลิงเทียนนั้น เมื่อเจียนปะทะฟาดร่างต้วนหลิงเทียน ก็จำต้องปะทะเข้ากับรังสีกระบี่นับพันๆที่อยู่ๆก็ระเบิดออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียนเสียก่อน!

ตูม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!

เสียงระเบิดดังสนั่นปานสะท้านโลกหล้าอุบัติขึ้นระรัว! คลื่นลมวิปริตหอบคลื่นกระแทกอันร้ายกาจเริ่มปะทุซัดกวาดออกไประลอกแล้วระลอกเล่าไม่ต่างคลื่นสมุทรคุ้มคลั่ง! ให้ความรู้สึกประหนึ่งอสูรกายร้ายที่หลับไหลอยู่ๆก็โจนทะยานพรวดขย้ำเหยื่อ!!

ครืน! ครืน! ครืน! ครืน! ครืน!

เสียงระเบิดสนั่นเพียงดังกังวานสะท้านโลกหล้าอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็เงียบดับไป

เป็นรังสีกระบี่นับพันรอบกายต้วนหลิงเทียนสามารถทำลายประทับฝ่ามือที่ตบฟาดเข้ามาอย่างดุร้ายของชายชราได้อย่างหมดจด! ประทับฝ่ามือเกรี้ยวกราดก่อนหน้า สลายหายไปดั่งหมอกควันต้องลม!!

“ดะ…ได้อย่างไร!?”

ห่างออกไปไม่ไกล ชายชราที่ถูกเรียกห่า ลุงหลี่ ที่โจนทะยานตบฟาดพลังฝ่ามือมีสภาพอันเขื่องด้วยพลังทั้งหมด พอพบว่าเมื่อปะทะหักหาญเข้ากับรังสีกระบี่นับพันทั่วกายชายหนุ่มชุดม่วง ไม่เพียงไม่อาจทำลายลงไปฆ่าคน แต่พลังฝ่ามือของมันกลับเป็นฝ่ายสิ้นท่าลงอย่างง่ายดาย หน้ามันก็อดเปลี่ยนสีไปไม่ได้!!

สองตาสีโคลนมันแต่เดิมที่ฉายแววกระหยิ่มยิ้มย่องไปด้วยความมั่นใจ บัดนี้สลายหาย กลายเป็นถูกความตื่นตระหนกตกใจเข้ามาแทนที่!

ตอนนี้หากมันยังไม่รู้ตัวว่า ‘เตะตอเหล็ก’ เกรงว่าชีวิตที่อยู่มาหลายปีคงไร้ค่าไม่ต่างอะไรกับชีวิตสุนัข!

“หาที่ตาย”

วาจาเสียงเรียบของต้วนหลิงเทียนดังขึ้นเข้าหูผู้ชรา หากทว่าถ้อยคำดังกล่าวเสมือนเสียงกระซิบของยมทูตสำหรับชายชราก็ไม่ปาน พาลให้หน้ามันเปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง ปากเริ่มเผยอ คล้ายจะกล่าวคำอะไรด้วยความแตกตื่น….

อนิจจาเพียงปากชายชราเริ่มเผยอออก…

ไม่ทันที่วาจาใดจะได้เอ่ยเอื้อน รังสีกระบี่นับพันที่ปะทุออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียน ก็ควบรวมก่อเกิดค่ายกลกระบี่หนึ่ง พุ่งไปปกคลุมร่างชายชราฉับไว! เชือดเฉือนหั่นร่างของมันแหลกเป็นชิ้นๆ สุดท้ายก็กลับกลายเป็นซากเนื้อเลอะเลือน โลหิตสาดกระจายดั่งห่าพิรุณ พร่างพรมหล่นมาเจิ่งนองไปทั่วตรอก…

หลังสะบั้นป่นร่างชายชราจนกลายเป็นซากเนื้อเลอะเลือนแล้ว เพียงหนึ่งห้วงคิดของต้วนหลิงเทียน ค่ายกลกระบี่ดังกล่าวก็อันตรธานสาบสูญไปในอากาศราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน…

ตุบ!!

หลิวจั่วหลินที่พึ่งจะได้สติฟื้นคืน พอเห็นฉากคนทั้งคนกลายเป็นชิ้นเนื้อราวถูกพายุคมมีดปั่น ทั้งโลหิตที่กระเซ็นเปื้อนไปทั้งตรอก สองขาที่เคยยืนหยัดอย่างห้าวหาญเสมือนอ่อนยวบเป็นน้ำเหลว คนทรุดลงไปคุกเข่าร่างสั่นระริก…

และยิ่งสูดดมได้กลิ่นคาวคลุ้งเสียดจมูก แผ่นหลังจึงรู้สึกเสมือนมีไอเย็นเยียบสายหนึ่งแล่นผ่าน!

ครู่ต่อมาใต้ร่างหลิวจั่วหลินที่ทรุดลงไปคุกเข่าตัวสั่น ก็ปรากฏสายธารเหลืองอ๋อยค่อยๆเจิ่งไหลเป็นทาง ส่งกลิ่นฉุนกึกออกมาคลุกเคล้าไปกับกลิ่นคาวโลหิต บังเกิดเป็นกลิ่นอุบาทว์ไม่ชวนให้สูดดมกลิ่นหนึ่ง มันที่แท้เยี่ยวราดแล้ว!

“เมื่อกี้เจ้าบอกว่า…ไม่ใช่แค่จะรั้งข้าไว้คุย แต่จะตีข้าให้ตายเลยเหรอ?”

ต้วนหลิงเทียนมองไปยังหลิวจั่วหลินด้วยสายตารังเกียจ กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ตอนนี้ในเมื่อคนของเจ้าก็ตายแล้ว…งั้นเจ้าก็ตามไปให้มันรับใช้ต่อเลยแล้วกัน”

“เจ้า…เจ้า…”

ได้ยินวาจาเฉยเมยของต้วนหลิงเทียน หลิวจั่วหลินที่หวาดกลัวจนตัวสั่นถึงขั้นไม่อาจอั้นปัสสาวะ ก็เร่งเงยหน้าขึ้นมามองต้วนหลิงเทียนด้วยความตื่นตระหนก กล่าวออกเสียงสั่นว่า “เจ้า…เจ้าไม่อาจฆ่าข้า…หากเจ้าฆ่าข้า…ตระกูลหลิวไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่!!”

“บะ…บิดาข้าเป็นผู้นำตระกูลหลิว!!”

ถ้อยคำที่กล่าวออกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือของหลิวจั่วหลิน ได้ยกอ้างบิดาผู้เป็นประมุขตระกูลหลิว อันเป็น 1 ใน 5 ตระกูลใหญ่ของมณฑลจิ่วโยวออกมาคุ้มภัย!

“ตระกูลหลิว?”

ได้ยินคำกล่าวของหลิวจั่วหลิน ต้วนหลิงเทียนก็ฉีกยิ้มออกมาทันที “ดูเหมือนว่าเจ้าจะมั่นใจตระกูลหลินที่คุ้มกะลาหัวเจ้าอยู่ไม่น้อยเลยนี่…งั้นข้าจะให้โอกาสเจ้ากลับตระกูลหลินแล้วกัน”

วาจาขอต้วนหลิงเทียนพอดังเข้าหูหลิวจั่วหลิน ก็ทำให้มันอึ้งไปแล้วจริงๆ

“เจ้า…เจ้าจะปล่อยข้ากลับบ้านหรือ?”

สองตาหลิวจั่วหลินเริ่มสั่นไหว มันมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยความหวาดกลัว

“ใช่แล้ว…อ่อ ไม่เพียงข้าจะปล่อยเจ้ากลับบ้าน ข้ายังจะติดตามเจ้าไปตระกูลหลินของเจ้าด้วย”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวเสริม

วูบ!

แทบจะทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาดังกล่าวจบคำ หน้าหลิวจั่วหลินก็เปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง เร่งถามออกมาเสียงสั่นเครือ “เจ้า…เจ้าเป็นผู้ใด…เจ้าที่แท้เป็นผู้ใดกันแน่!!”

ถึงแม้มันจะโง่งม แต่ยังไม่โง่งมถึงขั้นสิ้นหวัง

ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าไม่เพียงแต่จะปล่อยให้มันกลับบ้านตระกูลหลิว แต่อีกฝ่ายออกปากว่าจะกลับไปพร้อมกับมันด้วย เช่นนั้นหมายความว่าอีกฝ่ายไม่ได้เกรงกลัวตระกูลหลิวของมันเลย!

ตอนนี้ให้มันหัวช้าแค่ไหน มันก็รู้ดีว่าตนเตะเอาตอเหล็กเข้าอย่างจัง!

ยิ่งไปกว่านั้น ตอเหล็ก ที่ว่า…ยังไม่ได้หวาดกลัวตระกูลหลิวที่อยู่เบื้องหลัง อันเป็นถึง 1 ใน 5 ตระกูลใหญ่ของมณฑลจิ่วโยวแม้แต่น้อย!

“ถ้าเจ้าไม่อยากกลับบ้านตระกูลหลิวของเจ้าก็ได้นะ…งั้นข้าจะช่วยส่งเจ้าลงนรกไปอยู่เป็นเพื่อนตาแก่นั่นให้”

ถูกหลิ่วเฟิงกู่กล่าวถามไม่เลิก เสียงต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น พาลให้ร่างของหลิวจั่วหลินสะท้านไปอย่างแรง มันรีบลุกขึ้นพรวด ซอยเท้ายิกๆวิ่งกลับตระกูลหลิวหน้าตั้ง สร้างความตกใจให้ผู้คนตามรายทางที่มันวิ่งผ่านไม่น้อย

“เฮ่ย เดี๋ยวนะ…ที่ชนข้าเมื่อครู่มันนายน้อยตระกูลหลิวไม่ใช่เหรอ?”

“ใช่จริงๆด้วย ไฉนมันหน้าตาตื่นขนาดนั้นเล่า…เกิดอะไรขึ้นกัน?”

“ข้าไม่รู้…แต่ไฉนมีกลิ่นฉี่โชยมาหลังมันวิ่งผ่านเช่นนี้เล่า?”

“บัดซบ! กลิ่นเยี่ยวผู้ใดกันเหม็นยิ่ง!!”

ทุกที่ทางที่หลิวจั่วหลินวิ่งผ่าน ล้วนบังเกิดเสียงอุทานบ้างก็ด่าทอทำนองดังกล่าวดังขึ้นระงม

และไม่มีใครทันสังเกตเลย ว่าบนฟ้าสูงเหนือศีรษะหลิวจั่วหลิน ก็มีร่างชายหนุ่มในชุดสีม่วงเหาะตามมันไปอย่างไม่รีบไม่ร้อนดั่งเงาตามตัว จนเมื่อติดตามหลิวจั่วหลินมาถึงคฤหาสน์ตระกูลหลิว ร่างดังกล่าวก็ค่อยๆลดเพดานบินลง

“นายน้อย…ท่าน…เกิดอะไรขึ้นขอรับ?!”

ด้านนอกประตูคฤหาสน์หลังเขื่องสกุลหลิว ยามเฝ้าประตูที่แลเห็นท่าทางสภาพดูไม่ได้ของหลิวจั่วหลิน ทั้งได้กลิ่นปัสสาวะฉุนกึกจากร่างหลิวจั่วหลินก็ถามออกมาด้วยท่าทางตกใจอย่างอดไม่ไหว

นับเป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่มันได้เห็นนายน้อยตระกูลหลิว ตกอยู่ในสารรูปน่าสมเพชขนาดนี้

อย่างไรก็ตามหลิวจั่วหลินเมินคำถามยามเฝ้าประตู คนรีบร้อนวิ่งเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลหลิวอย่างตื่นตระหนก บึ่งตรงไปหาบิดา ผู้นำตระกูลหลิวทันที

“ข้าจะรอพวกเจ้าอยู่หน้าโถงหลักตระกูลหลิว…”

ในขณะที่หลิวจั่วหลินวิ่งมาหาบิดายังโถงหลักตระกูลหลิวด้วยอาการตื่นตระหนก ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยประโยคดังกล่าวกับมันผ่านพลัง

จังหวะนี้ หลิวจั่วหลินอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวจับใจ ร่างสั่นระริกไปราวองค์ลง!

‘มัน…มันเป็นผู้ใดกันแน่!?’

ถึงแม้ก่อนหน้านี้หลิวจั่วหลินจะเคยมั่นใจในพลังอำนาจของตระกูลหลิวมันมากแค่ไหน แต่พอเจอกับต้วนหลิงเทียนที่ไม่ได้แลดูหวาดกลัวตระกูลหลิวของมันแม้แต่น้อย ใจของมันก็เริ่มถูกความสิ้นหวังกัดกิน!

อย่างไรก็ตามแม้ตอนนี้ความสิ้นหวังจะกัดกินใจ แต่มันรู้ดีว่าตอนนี้มันไม่เหลือทางเลือกอื่นอีกแล้ว

“ตระกูลหลิว…ด้วยฐานะ 1 ใน 5 ตระกูลใหญ่ของมณฑล สมควรมีเงินเก็บไว้ไม่น้อยเลยสินะ?”

ต้วนหลิงเทียนที่เหาะตามมาถึงห้องโถงหลักกลางคฤหาสน์สกุลหลิว พึมพำกับตัวราวกับที่มาคราวนี้เพราะความร่ำรวยของตระกูลหลิวโดยเฉพาะ

และมันก็เป็นเพราะสาเหตุนั้นจริงๆ!

หาไม่แล้วต้วนหลิงเทียนคงไม่เสียเวลาติดตามหลิวจั่วหลินจนมาถึงตระกูลหลิวแบบนี้หรอก!

ราวๆ 1 เค่อต่อมา!

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

บังเกิดเสียงหวีดหวิวแหวกอากาศมาแต่ไกล 2 สำเนียง พริบตาแหล่งกำเนิดเสียงหวิวดังกล่าวก็บรรลุถึงน่านฟ้าเหนือห้องโถงหลักสกุลหลิว หยุดลงไม่ห่างจากร่างต้วนหลิงเทียนสักเท่าไหร่

“ท่านพ่อ…เป็นมัน!”

หลังได้ยินเสียงของหลิวจั่วหลิน ต้วนหลิงเทียนที่หลับตาลอยร่างรอคอยอย่างเงียบงัน ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน…

พอมองไป ต้วนหลิงเทียนก็พบว่านอกจากหลิวจั่วหลินแล้ว ข้างๆยังปรากฏร่างในรูปลักษณ์ชายวัยกลางคนที่มีเค้าโครงใบหน้าละม้ายคล้ายหลิวจั่วหลินอยู่ 6-7 ส่วน

ให้เทียบกับหลิวจั่วหลินแล้ว ชายวัยกลางคนผู้นี้แลดูนิ่งกว่ามาก

“คุณชายท่านนี้…หากบุตรชายของข้าล่วงเกินอันใดต่อท่าน หวังว่าท่านจักเมตตาไม่ถือสาหาความบุตรไม่รู้ความของข้าสักครา และหากท่านยินดีละเว้นชีวิตบุตรชายของข้า ตัวข้ายินดีตอบแทนด้วยหินอมตะระดับสูง 1,000 ก้อน…มิทราบคุณชายท่านคิดเห็นเช่นไร?”

ชายวัยกลางคนป้องมือประสานโค้งคารวะไปทางต้วนหลิงเทียน ด้วยท่าทีนอบน้อม

“เจ้าคือผู้นำตระกูลหลิว…หลิวตงผิง?”

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามเสียงเบา

“มิผิด”

หลิวตงผิงพยักหน้า

“เจ้านับว่าฉลาดกว่าลูกชายไม่น้อย”

ต้วนหลิงเทียนมองพินิจหลิวตงผิงเล็กน้อยค่อยเอ่ย

“ขอบคุณสำหรับคำชม”

หลิวตงผิงคลี่ยิ้มเนือยๆ

“หากก่อนหน้าลูกชายของเจ้าคิดปล้นหินอมตะหรือสมุนไพรที่ข้ามีโดยไม่ได้คิดจะฆ่าข้า…เจ้าชดใช้ด้วยหินอมตะระดับสูงให้ข้า 1,000 ก้อนนับว่าพอจะถูไถได้อยู่…”

ต้วนหลิงเทียนพูดถึงตรงนี้ ก็เหลือบมองไปทางหลิวจั่วหลิน เสียงกล่าวกลายเป็นเยียบเย็น “ เพียงแต่…มันกลับคิดฆ่าข้า!”

“ข้ามีนิสัยเสียอยู่ประการหนึ่ง…ใครคิดฆ่าข้า มันผู้นั้นต้องตาย!”

“ผู้นำหลิว…แล้วเจ้าว่าชีวิตลูกชายของเจ้ามีค่าแค่หินอมตะระดับสูงพันก้อนหรือไม่?”

เอ่ยถึงประโยคท้ายๆ สายตาของต้วนหลิงเทียนก็ละออกจากร่างหลิวจั่วหลินไปตกยังร่างหลิวตงผิง สายตายังมองจ้องกล่าวถามเสียงหนัก

“มิทราบคุณชายท่าน…ต้องการหินอมตะเท่าใด?”

ขณะกล่าวประโยคนี้ใบหน้าหลิวตงผิงก็กระตุกไม่น้อย แววตายังเต็มไปด้วยโทสะ เห็นชัดว่ามันกำลังระงับไว้เต็มทน

ถึงแม้มันจะไม่รู้จักพื้นเพความเป็นมาของชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า

อย่างไรก็ตามพอพิจารณาจาเรื่องเล่าที่ลูกชายมันประสบพบเจอ มันก็ตัดสินได้ทันทีว่าชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้ หากไม่ใช่ยอดคนอันมีความเป็นมายิ่งใหญ่ ก็เป็นคนที่กำลังเสแสร้งวางมาดลี้ลับ!

ในฐานะที่มันเป็นถึงผู้นำตระกูลหลิวมันย่อมไม่กล้าเสี่ยงทำอะไรผลีผลาม ดังนั้นมันเชื่อว่าชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าสมควรมีความเป็นมาไม่ธรรมดาจริงๆ

ตอนนี้อีกฝ่ายถึงกับกล้าติดตามมาคนเดียวเห็นชัดว่าแค่ต้องการหินอมตะระดับสูงเพื่อจบปัญหาที่บุตรชายมันไปก่อไว้…

ถึงแม้ ภูมิหลังอีกฝ่ายอาจไม่ได้เกินมือมัน

อย่างไรก็ตามมันไม่กล้าเสี่ยง

“สักแสนหินอมตะระดับสูงแล้วกัน…ตราบใดที่ผู้นำตระกูลหลิวมอบหินอมตะระดับสูงให้ข้าสักแสนก้อน ข้าจะพิจารณาเรื่องไว้ชีวิตมันดู”

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออกเสียงเบา กล่าวถึงท้ายประโยคก็หันไปมองยังร่างหลิวจั่วหลิน!

แสนหินอมตะระดับสูง!

ที่ต้วนหลิงเทียนเสนอราคาออกไปเท่านี้ เขาดูจากจำนวนหินอมตะระดับสูงที่อยู่ในแหวนพื้นที่ของต้าหลัวจินเซียนอย่างโจวทง ผู้พิทักษ์อันดับ 1 ของจวนผู้ว่าการมณฑลจิ่วโยว!

ในแหวนพื้นที่ของโจวทง มีหินอมตะระดับสูงเก็บไว้ 50,000 ก้อน…

“หินอมตะระดับสูงหนึ่งแสนก้อน…!?”

ได้ยินข้อเรียกร้องของต้วนหลิงเทียน หลิวจั่วหลินก็ตกใจไม่น้อย สีหน้าของหลิวตงผิงยังเปลี่ยนไปทันที

“คุณชาย…”

ไม่ว่าจะยังไงแต่หลิวตงผิงก็เป็นชนชั้นผู้นตระกูลหลิว 1 ใน 5 ตระกูลใหญ่ของมณฑลจิ่วโยว แม้มันจะไม่ได้อวดโอ่ แต่ยังมีความทะนงทั้งถือดีในตัว

พอได้ยินต้วนหลิงเทียนเรียกร้องประหนึ่งสิงโตอ้าปากกว้าง มันก็ไม่อาจระงับโทสะในใจอีกต่อไป!

(สิงโตอ้าปากกว้าง = ละโมบโลภมาก)

“ท่านอย่าได้ทำตัวเป็นสิงโตปากกว้างให้มันมากนัก!”

หลิวตงผิงมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนเสียงหนัก “หินอมตะระดับสูง 2,000 ก้อน…ขาให้ท่านได้มากสุดแค่ 2,000 หินอมตะระดับสูง หากท่านยังไม่ยอมรับ ข้า…”

กล่าวถึงท้ายประโยค หลิวตงผิงก็หยุดลงไม่พูดต่อ

อย่างไรก็ตามสายตาที่มันใช้มองต้วนหลิงเทียนตอนนี้ นอกจากโทสะแล้ว ยังเต็มไปด้วยการคุกคามไม่น้อย…