เล่ม 1 ตอนที่ 357-2 สาแก่ใจนัก

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 357-2 สาแก่ใจนัก

เฉียวเวยพูดต่อว่า “ลืมถามท่านไปเลย ท่านไม่ได้จับมู่ชิวหยางได้แล้วหรอกหรือ จีอู๋ซวงว่าอย่างไร เขาสามารถแก้พิษฝ่ามือในกายท่านได้หรือไม่”

พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา จีอู๋ซวงมาแล้ว

เฉียวเวยให้ปี้เอ๋อร์เชิญเขาเข้ามา ทั้งสองไปพบเขาที่ห้องหนังสือ ที่เขามาในครั้งนี้ก็ด้วยเรื่องแก้พิษในตัวจีหมิงซิว

“นายน้อย” เขาประสานมือ

จีหมิงซิวเห็นสีหน้าเขาก็พอจะเดาผลลัพธ์ได้ เขายกถ้วยชาขึ้นจิบเรียบๆ สีหน้าเรียบเฉย

เฉียวเวยถามอย่างทนรอไม่ไหวว่า “เป็นอย่างไรบ้าง เขาสามารถแก้พิษฝ่ามือในตัวหมิงซิวกับหมิงเยี่ยได้หรือไม่”

จีอู๋ซวงส่ายหน้าด้วยความจนใจ

เฉียวเวยขมวดคิ้ว “เหตุใดจึงไม่ได้ เขาไม่ได้ใช้ฝ่ามือเก้าสุริยันเป็นหรือ”

จีอู๋ซวง “วรยุทธ์เขาไม่สูงพอ แก้ไม่ได้”

เฉียวเวยเอามือเท้าคาง “วรยุทธ์เขายังไม่พอ เช่นนี้ฟู่เสวี่ยเยียนก็คงยิ่งไม่พอเข้าไปใหญ่…”

จีอู๋ซวงพยักหน้า “เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น หากคิดจะแก้พิษฝ่ามือในตัวนายน้อย คงต้องทำตามขั้นตอนวิธีการเดิม ไม่ฝึกวิชาเองจนได้ถึงขั้นเก้าก็ต้องหาคนร้ายในตอนนั้นให้เจอ”

เฉียวเวยขมวดคิ้วบอกว่า “ในตำราลับมีถึงขั้นห้าเท่านั้น ไม่รู้ว่าอีกสี่ขั้นที่เหลือหรือคนร้ายอันไหนจะหาพบก่อนกัน”

“คุณหนู” เสียงปี้เอ๋อร์ดังขึ้นที่หน้าประตู “แม่นางฟู่ให้ซิ่วฉินนำของสิ่งหนึ่งมาให้ บอกว่าแทนคำขอบคุณที่ท่านดูแลนางดีเพียงนี้เจ้าค่ะ”

“เข้ามาเถิด” เฉียวเวยบอก

ซิ่วฉินเดินถือกล่องผ้าไหมเข้ามาแล้วเอาวางไว้ที่โต๊ะ

เฉียวเวยเปิดกล่องออกดู หยิบตำราที่เขียนอะไรไว้ข้างในออกมาด้วยสีหน้างุนงง “เป็นภาษาเยี่ยหลัวอีกแล้ว เขียนว่าอย่างไรกันนี่”

จีหมิงซิวรับมาอ่านก่อนบอกว่า “ขั้นที่หกและเจ็ดของวิชาฝ่ามือเก้าสุริยัน”

เฉียวเวยมองซิ่วฉินด้วยสายตาประหลาด ซิ่วฉินเอ่ยยิ้มๆ ว่า “คุณหนูของข้าได้ยินคุณชายรองบอกว่าใต้เท้าอัครเสนาบดีกำลังฝึกวิชาฝ่ามือเก้าสุริยันอยู่ แต่ฝึกได้ถึงเพียงขั้นห้า ยังต้องฝึกอีกสี่ขั้นถึงจะแก้พิษฝ่ามือในกายได้ คุณหนูของข้าทำอะไรเป็นไม่มากนัก วิชาสองขั้นนี้แอบไปลักมาจากคุณชายทางนั้น หวังว่าจะพอช่วยอะไรให้ใต้เท้าอัครเสนาบดีหายป่วยในเร็ววันได้บ้าง”

เฉียวเวยระบายยิ้มเล็กน้อย “ฝากขอบคุณคุณหนูของเจ้าแทนข้าด้วย”

ซิ่วฉินเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าสำนักเฉียวเกรงใจแล้ว ท่านดูแลคุณหนูของข้าดีเพียงนี้ ทั้งยังให้คุณหนูข้ายืมของรักของหวงไว้ป้องกันตัวอีก นางจะทำอะไรเป็นการขอบคุณบ้างก็ถือเป็นเรื่องสมควร หากไม่มีอะไรแล้วข้าจะไม่อยู่รบกวนพวกท่านแล้ว ขอตัว”

เฉียวเวยพยักหน้า “ปี้เอ๋อร์ ไปส่งแม่นางซิ่วฉิน”

ปี้เอ๋อร์ออกไปส่งซิ่วฉินด้วยความยินดี

เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้าแช่มชื่น “เวลาหาแทบตายหาไม่เจอ แต่พอไม่หากลับมาให้ถึงที่เสียอย่างนั้น เวลานี้ได้มาเพิ่มอีกสองขั้นแล้ว เขยิบเข้าใกล้การแก้พิษไปอีกก้าวใหญ่ทีเดียว ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ต้องหาคนร้ายให้พบก็สามารถแก้พิษได้เองจริงๆ ก็เป็นได้!”

จีหมิงซิวไม่ได้พูดอะไร

เฉียวเวยกะพริบตาแล้วบอกว่า “ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ”

“ไม่มีอะไร” จีหมิงซิวชี้ไปยังนาฬิกาทรายบนโต๊ะ “ยังอีกครึ่งชั่วยามถึงจะไปรับเด็กๆ ข้าไปนั่งเล่นที่ห้องท่านย่าก่อนนะ จะไปบอกเรื่องท่านพ่อกับนางด้วย”

เรื่องใหญ่อย่างการที่จีซั่งชิงถูกไล่ออกจากบ้านย่อมปิดบังจีเหล่าฮูหยินไม่อยู่ ตั้งแต่วินาทีที่จีหมิงซิวกลับมาบ้าน จีเหล่าฮูหยินก็คาดเดาจุดจบของสวินหลันได้แล้ว แต่นางคิดไม่ถึงว่าจีหมิงซิวจะไล่กระทั่งบุพการีของตนออกไปด้วย

นางรู้ว่าสองคนพ่อลูกนี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกันนัก แต่ต่อให้ไม่ดีอย่างไรนนก็ยังเป็นบุพการีของเขา เขาจะไล่บุพการีตนเองออกไปเช่นนี้ได้อย่างไร ถึงแม้นางเองก็อยากสั่งสอนบุตรไม่รักดีของนางให้หนักสักครั้งก็ตาม

นางเอ่ยอย่างไม่ได้อย่างใจว่า “ให้ตายสิ เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าไล่บิดาตนเองออกจากบ้านไปได้อย่างไร เจ้าไม่กลัวว่าหากเรื่องนี้แพร่ออกไปจะถูกผู้คนด่าว่าเอาหรือ หากเจ้าจะไล่เขาไปจริงๆ ก็ให้ข้าทำสิ! ข้าเป็นแม่เขา จะไล่เขาไม่ใช่เรื่องผิดอะไร! เจ้ามาไล่อะไรเขาเช่นนี้”

“ท่านย่าสั่งสอนได้ถูกต้อง” ท่าทางยอมรับผิดทำได้ดียิ่งนัก!

จีเหล่าฮูหยินได้รับบทเรียนจากจีซวงมาพอแล้ว พอถึงคราวจีซั่งชิงก็ไม่อยากทำอะไรเลอะเลือนเช่นนั้นอีก ยิ่งไปกว่านั้นบุตรสาวต้องทะนุถนอม บุตรชายต้องเข้มงวด หลักคิดนี้อย่างไรนางก็ยังเข้าใจ “ให้เขาไปเถิด ไปลำบากสักสามสี่วันก็คงรู้แล้วว่านางหมายปองในตัวเขาหรือฐานะประมุขตระกูลของเขากันแน่แล้ว!”

บุตรทั้งชายและหญิงไม่เจอทางตันไม่ยอมหันหลังกลับจริงๆ ช่างน่าโมโหโดยแท้!

จีหมิงซิวอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนเหล่าฮูหยินอีกพักหนึ่งก็ปลอบนางจนสงบลงได้

จีเหล่าฮูหยินอันที่จริงก็สงสารบุตรชายอยู่บ้าง แต่เมื่อมีสติทุกอย่างนางก็เข้าใจว่าเหตุใดหลานชายจึงกระทำเช่นนี้ เพราะถึงอย่างไรคนที่เป็นภัยร้ายเช่นนั้นไม่ได้เป็นภัยต่อจีซั่งชิงคนเดียว แต่เป็นทั้งตระกูลจี หากรากฐานนับร้อยๆ ปีของตระกูลจีป่นปี้ลงด้วยน้ำมือของสตรีนางนั้น นางคงไม่มีน่าไปพบท่านปู่ของหมิงซิวแล้ว!

ด้วยกลัวว่าเรื่องราวจะใหญ่โตจนยากจะจัดการ จีเหล่าฮูหยินเลยให้คนไปสั่งบ่าวไพร่ให้ปิดปากให้สนิท ไม่อนุญาตให้เรื่องอะไรแพร่ออกไปทั้งสิ้น แต่น่าเสียดายที่ในโลกหล้านี้ไม่มีกำแพงที่ลมลอดผ่านไม่ได้ ในคืนนั้นเองผู้อาวุโสของตระกูลหลายคนที่พักอยู่ในเมืองหลวงก็ได้ทราบข่าวนี้ – จีหมิงซิวขับไล่จีซั่งชิงออกจากบ้านตระกูลจีไปแล้ว นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าตกใจยิ่งนัก จีซั่งชิงเป็นประมุขของคนทั้งตระกูลจี แม้แต่เหล่าฮูหยินยังไม่แน่ว่าจะมีอำนาจไล่เขาออกไป แค่เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งเหตุใดจึงกล้า

เหล่าผู้อาวุโสตระกูลสืบทราบถึงสถานที่ที่จีซั่งชิงไปพักอยู่ นั่นเป็นบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งที่ร้างราจากการทำนุบำรุงมานาน ทำเลไม่นับว่าเลวร้ายแต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครพักอยู่มานานและไม่มีคนคอยปัดกวาด จึงสกปรกรุงรังจนดูไม่ได้เลยทีเดียว

หงเหมยไปตักน้ำมาเช็ดถูภายในห้องจนเหงื่อไหลเป็นน้ำ

สวินหลันร่างกายอ่อนแอเลยไปนอนอยู่บนเตียงที่ปูด้วยผ้าห่มเก่าๆ

ห้องน้ำชายังไม่ได้จัดการทำความสะอาด จีซั่งชิงเลยจำต้องกางฉากกั้นตรงหน้าเตียง แล้วต้อนรับผู้อาวุโสตระกูลที่ตรงนั้น

ผู้อาวุโสเหล่านี้ไม่ใช่ผู้อาวุโสตระกูลที่สละกำลังภายในเพื่อช่วยจีหมิงซิวในตอนนั้น เหล่าผู้อาวุโสที่สละกำลังภายในให้ต่างตายตกตามกันไปในช่วงสิบปีหลังจากนั้นแล้ว บุคคลเหล่านี้เป็นทายาทของพวกเขาอีกที ด้วยเพราะบิดาของพวกเขาเคยสร้างคุณงามความดีเอาไว้ ฐานะของพวกเขาในตระกูลจึงค่อนข้างสูงตามไปด้วย

ผู้อาวุโสทั้งสามมองห้องที่สภาพซอมซ่อเต็มที ใบหน้ามีแววรังเกียจแวบผ่านให้เห็น ผู้อาวุโสสามเอ่ยด้วยสีหน้าเห็นใจเหลือแสนว่า “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร จีหมิงซิวกระทำเกินไปแล้ว! ตอนนั้นที่ท่านพ่อข้าช่วยเขาไว้ ไม่ใช่เพื่อให้เขามาไล่บิดาตนเองออกจากบ้านเช่นนี้!”

“ก็ใช่น่ะสิ ทำเกินไปแล้ว” ผู้อาวุโสรองก็เออออตาม “ไม่ว่าเขาจะเป็นอัครเสนาบดีคนปัจจุบันหรือไม่ แต่เมื่ออยู่ในตระกูลจี เขาก็เป็นเพียงคุณชายเท่านั้น! เจ้าต่างหากที่เป็นประมุขของตระกูล ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะไล่เจ้าออกจากบ้านได้ หากจะไล่ก็ต้องเป็นเจ้าที่ไล่เขาออกไป”

ผู้อาวุโสใหญ่ “หรือไม่เขาก็ต้องมาคุกเข่าขอร้องให้เจ้ากลับไป ไม่ก็ตำแหน่งนายน้อยนี้เขาไม่ต้องเป็นมันแล้ว! เจ้าไม่ได้มีบุตรชายถึงสามคนหรือ ทั้งหมดล้วนเป็นบุตรสายหลักทั้งสิ้น ให้ใครมาเป็นได้ทั้งนั้น!”

ตำแหน่งประมุขตระกูลที่จีหมิงซิวไม่ยอมเอา ใต้เท้าเจ้าสำนักยิ่งไม่เอาเข้าไปใหญ่ เช่นนั้นสุดท้ายก็ต้องตกไปอยู่กับหลิวเกอร์แล้ว หลิวเกอร์อายุเพียงเท่านั้น ยังไม่ประสาเรื่องทางโลก ไม่รู้ว่าผู้สืบทอดแท้จริงแล้วมีความหมายเช่นไร คงไม่มีทางปฏิเสธแน่ ฮูหยินนาง…ก็คงไม่ยอมให้หลิวเกอร์ปฏิเสธเช่นกันกระมัง หงเหมยคิดเช่นนี้ในใจ นางเหลือบมองไปด้านหลังฉากกั้น สวินหลันนอนอย่างสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น คล้ายว่าหลับไปแล้ว หงเหมยเลยก้มหน้าเช็ดถูพื้นต่อไปอย่างขมักเขม้น

จีซั่งชิงถูกบุตรชายของตนทำให้โมโหเอามากๆ จริงๆ บอกตามตรงว่าหากตอนนั้นในมือเขามีไม้กระบองอยู่ เขาคงได้ฟาดลูกทรพีนั่นให้เจ็บตัวไปแล้ว แต่ต่อให้โกรธเคืองอย่างไร นั่นก็เป็นบุตรของเขากับเจาหมิง เขาจะทำใจปลดเขาออกได้อย่างไร

“ผู้อาวุโสทั้งหลายอย่าเพิ่งเดือดดาลไป เรื่องนี้อันที่จริงไม่ใช่…”

“แค่กๆ…” ด้านหลังฉากกั้นมีเสียงไอต่ำๆ ของสวินหลันดังขึ้น

“รอสักครู่” จีซั่งชิงมองผู้อาวุโสทุกคนด้วยสายตาขอโทษแล้วเดินอ้อมฉากกั้นไปที่เตียง เขามองสวินหลันแล้วถามว่า “ใช่ว่าเสียงดังรบกวนเจ้าหรือไม่”

สวินหลันใบหน้าขาวซีด “มิได้ ข้าเพียงอยู่ดีๆ ก็เกิดแน่นหน้าอก ไม่ค่อยสบายเท่าไรนัก”

จีหมิงซิวบอกว่า “ข้าจะให้หงเหมยไปเชิญท่านหมอมาดูอาการให้”

สวินหลันส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ใช้เงินประหยัดหน่อยเถิด เดิมทีก็ไม่ได้เอาเงินติดตัวมาด้วยมากนักอยู่แล้ว”

จีซั่งชิงก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด ในยามที่บุรุษไม่มีกระทั่งค่าหมอให้สตรีคงไม่คู่ควรจะเป็นบุรุษสักนิดกระมัง

เขาเดินหน้าเคร่งเครียดออกมาจากฉากกั้น

“เมื่อครู่เจ้าจะว่าอะไรนะ” ผู้อาวุโสใหญ่ถาม

จีซั่งชิงทำท่าคล้ายอยากจะพูดบางอย่าง นัยน์ตาเขามีแววซับซ้อนวาบผ่านก่อนจะหลุบตาลง “ไม่มีอะไร”

ผู้อาวุโสใหญ่ทำสีหน้าจริงจัง “หากไม่มีอะไรเรื่องนี้ก็ตกลงเช่นนี้แล้วกัน พรุ่งนี้พวกข้าจะไปที่บ้านตระกูลจีเพื่อเอาคำอธิบาย ทางที่ดีเจ้าเด็กนั่นต้องมารับเจ้ากลับไปอย่างนอบน้อม หากไม่มารับกลับ ตำแหน่งผู้สืบทอดนั่น…เขาก็ไม่ต้องเป็นมันแล้ว!”