ตอนที่ 358-2 ความแตก ท่านพ่อจีรู้ความจริง (1)
เมื่อครู่คนที่ออกมาก็คือผู้อาวุโสสามของตระกูลจี เฉียวเวยยังไม่เคยพูดคุยกับเหล่าผู้อาวุโสตระกูลมาก่อน แต่นางอยู่ในบ้านตระกูลจีมานาน มากน้อยอย่างไรก็พอเข้าใจถึงฐานะของผู้อาวุโสเหล่านี้ แทบจะเรียกได้ว่าอยู่ใต้คนเพียงหนึ่ง อยู่เหนือคนนับหมื่นทีเดียว นอกจากประมุขตระกูลโดยแท้จริงแล้ว พวกเขาสามารถไม่สนใจคำพูดใครได้ทั้งสิ้น หากคิดจะขัดขวางพวกเขาก็ต้องให้จีซั่งชิงเป็นคนลงมือ
ถึงแม้นางจะไม่ได้รู้สึกว่าจีหมิงซิวอยากได้ใคร่มีในตำแหน่งประมุขตระกูล แต่ของที่ควรเป็นของตน เหตุใดจึงจะต้องปล่อยให้คนอื่นได้ไป
ผู้อาวุโสทั้งสามกลับกันไปแล้ว เฉียวเวยก็พาใต้เท้าเจ้าสำนักเดินไปทางสนามด้านหลัง
หงเหมยกำลังทำอาหารเย็นอยู่ในห้องครัว จีซั่งชิงนั่งอยู่ในห้อง เงาของเขาตกกระทบลงมายังกระดาษตรงกระจก ในบ้านมีเพียงห้องนี้ที่มีไฟสว่างอยู่ คิดดูแล้วสวินหลันก็น่าจะอยู่ที่นี่เช่นกัน ต้องหาทางล่อจีซั่งชิงออกมาให้ได้เสียก่อน “ข้าจะไปล่อท่านพ่อเจ้าออกมา เจ้าไปใส่ยานะ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักพยักหน้า
เฉียวเวยเดินออกไปหลายก้าว แล้วจู่ๆ ก็หันกลับมาเอ่ยด้วยความไม่วางใจว่า “ยานี้ของเจ้าไว้ใจได้หรือไม่”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตบหน้าอกตนเอง “เชื่อได้สิ! เจ้าวางใจเถิด ข้ารับประกันว่าหากใช้แมลงกู่น้อยของข้าแล้ว จะไม่มีคำโกหกหลุดออกจากปากนางอีกเลย! ถึงตอนนั้นนางคงเปิดเผยเรื่องที่นางสมคบคิดกับพวกเยี่ยหลัวออกมา ดูสิว่าอีตาแซ่จีนั่นจะทำอย่างไร!”
เฉียวเวยพยักหน้า ตบบ่าอีกฝ่ายด้วยความหนักแน่นแล้วปีนข้ามกำแพงสนามอ้อมไปทางประตูแล้วยกมือเคาะ
หงเหมยกำลังทำกับข้าวเลยไม่ได้ยิน
จีซั่งชิงเป็นคนได้ยินเลยเดินออกมา เขาเปิดประตูสนาม มองไปข้างหน้าเห็นเป็นสตรีแปลกหน้าคนหนึ่ง “เจ้าคือ…”
เฉียวเวยถึงจะไม่ได้ใส่หน้ากากหนังคน แต่นางแปลงโฉมมาแล้ว ซ้ำยังแต่งกายให้ดูอวบอ้วน เลยยากที่จะดูออก เฉียวเวยคลี่ยิ้ม แสดงท่าทางเจนจัดเต็มที่ “สวัสดีพี่ชาย พอดีข้าผ่านมาทางนี้ อยากขอน้ำดื่มสักหน่อย”
ใต้เท้าเจ้าสำนักรีบย่องเข้าไปในห้อง
จีซั่งชิงตอบอย่างมีมารยาทว่า “เจ้าเข้ามาสิ ในห้องครัวมีน้ำอยู่”
เฉียวเวยเขย่งเท้าทำความเคารพแล้วบอกว่า “ขอบคุณมาก”
จีซั่งชิงพาเฉียวเวยเข้ามาในตัวบ้านแล้วก็ชี้บอกตำแหน่งของห้องครัวแล้วจึงหมุนตัวเดินไปทางห้องนอน ตอนนั้นใต้เท้าเจ้าสำนักยังไม่ออกมา หากเขาเข้าไปก็ไม่จับได้พอดีหรอกหรือ เฉียวเวยตาเป็นประกาย เอามือกุมท้องร้องโอดโอยเสียยกใหญ่
จีซั่งชิงหันกลับมา “เจ้าเป็นอะไรไป”
เฉียวเวยทำท่าเหมือนปวดท้องจนยืดตัวไม่ขึ้น เอาแต่ร้องโอดโอยไม่หยุด
ในตอนนั้นใต้เท้าเจ้าสำนักออกมาจากในห้องแล้วรีบเร้นกายไปอยู่ด้านหลังภูเขาจำลอง
เฉียวเวยเลยยืดตัวตรงขึ้นทันที ฉีกยิ้มสดใส “ปวดท้องน่ะ เป็นมานานแล้ว อาการกำเริบเป็นพักๆ ไม่นานก็หายเช่นนี้แหละ”
“อ้อ” จีซั่งชิงไม่ได้พูดอะไรอีก ก้าวเท้าเข้าห้องไป
ไม่เสียแรงที่เป็นคนไม่เคยผ่านชีวิตที่ยากลำบากมาก่อน เลยไม่กลัวคนแปลกหน้าเข้ามาขโมยของในบ้าน ช่างเถิด เห็นว่าเจ้าจนหรอกนะ ไม่ขโมยก็ได้!
เฉียวเวยไปที่ห้องครัว ขอน้ำหงเหมยดื่มชามหนึ่ง หงเหมยกำลังวุ่นวายอยู่กับการทำกับข้าวเลยไม่ได้สนใจว่านางจะไปแล้วหรือยัง เฉียวเวยเดินวนอยู่หน้าประตูรอบหนึ่งก็กลับเข้ามาใหม่
ทั้งสองอ้อมไปอยู่ใต้หน้าต่าง ตั้งใจฟังความเคลื่อนไหวด้านใน
“ซั่งชิง”
นั่นเป็นเสียงของสวินหลัน
ใต้เท้าเจ้าสำนักเลิกคิ้วให้เฉียวเวย รอเดี๋ยว อีกเดี๋ยวก็สารภาพหมดเปลือกแล้ว!
“ท่านมานี่ที ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย”
ใต้เท้าเจ้าสำนักทำหน้าทำตาด้วยความตื่นเต้น
จีซั่งชิง “มีเรื่องอะไรพรุ่งนี้ค่อยว่ากันเถิด วันนี้เจ้าเหนื่อยแล้ว พักก่อนดีกว่า”
สวินหลัน “ข้าต้องพูดวันนี้ให้ได้ อันที่จริงข้า….อื้อ~”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตาค้าง!
“ข้า…ร้อนมาก…”
ตัวของเฉียวเวยพลันแข็งค้าง เสียงนี้เหตุใดจึงฟังดูแปลกๆ
ใต้เท้าเจ้าสำนักส่งเสียงเอ๊ะด้วยความงุนงงแล้วหยิบขวดสีแดงเล็กๆ อีกขวดขึ้นมาวางเทียบด้วยกัน ก่อนจะหน้าถอดสี
เฉียวเวยถึงขั้นอยากฟาดเขาให้ตายขึ้นมาเลยทีเดียว นางให้เขาทำให้ทั้งสองแยกจากกัน เขากลับดีด เอาตัวนางถวายขึ้นเตียงให้จีซั่งชิงเสียได้ กิ่งไม้แห้งกับประกายไฟเช่นนี้ หากเกิดเป็นการโรยเมล็ดตัวอ่อนขึ้นมาจะทำอย่างไร
เฉียวเวยเจาะรูกระดาษตรงหน้าต่างแล้วแอบมองเข้าไปข้างใน นางเห็นเพียงจีซั่งชิงถูกสวินหลันจับกดไว้กับเก้าอี้ สีหน้าจีซั่งชิงดูตกใจมาก ตัวแข็งเกร็ง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วต้องได้ยินเสียงอื้อๆ อ้าๆ แน่
เฉียวเวยดึงเสื้อใต้เท้าเจ้าสำนักแล้วจับเขาโยนออกไปทันที!
“อ๊าก…” ตัวใต้เท้าเจ้าสำนักไปกระแทกเข้ากับประตูของจีซั่งชิงจนร้องลั่นออกมา
จีซั่งชิงพอได้ยินเสียงบุตรชายก็ผลักสวินหลันออก พอลุกไปเปิดประตูก็เห็นบุตรชายคนเล็กล้มแผ่อยู่กับพื้น กำลังพยายามลุกขึ้นมาแต่กลับตัวแข็งค้างไปเพราะเขาเปิดประตูออกมา เขาเผยอปากเอ่ยขึ้นว่า “หมิงเยี่ย เจ้ามาได้อย่างไร”
“ข้า…” ใต้เท้าเจ้าสำนักเหลือบมองประตูตรงสวน “ประตูเปิดอยู่…ข้า…ก็เลยเข้ามา”
ในหน้าจีซั่งชิงพลันฉายแววยินดี “เจ้ามาหาข้าหรือ เจ้าตั้งใจมาเองหรือพี่ใหญ่เจ้าเป็นคนให้เจ้ามากัน”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเหลือบมองไปตรงทางเดิน เฉียวเวยกำลังเดินช้าๆ เข้ามา
จีซั่งชิงมองสภาพเสื้อผ้าที่ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยของตนแล้วกระแอมเบาๆ อย่างทำตัวไม่ถูก “เจ้ารอก่อน ข้าจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อย”
ตอนนั้นเฉียวเวยเดินไปอยู่ด้านหลังเขาพอดี!
ใต้เท้าเจ้าสำนักพลันคิ้วกระตุก รีบคว้าตัวเขาเอาไว้
จีซั่งชิงตัวเกร็งไปทั้งตัว บุตรชายคนเล็กกลับมาตั้งนานเพียงนี้ เขาไม่เคยทำตัวสนิทสนมเช่นนี้กับตนมาก่อน หรือว่าบุตรชายคนเล็กจะนึกสงสารตนขึ้นมา?
ใต้เท้าเจ้าสำนัก: เจ้าคิดมากเกินไปแล้วจริงๆ…
เฉียวเวยแทรกตัวเข้าไปในห้อง
ใต้เท้าเจ้าสำนักปล่อยตัวเขา
จีซั่งชิงหน้าตามีสีเลือด ตื่นเต้นจนพูดไม่ถูก “ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า…เจ้าดื่มชารอก่อนนะ…ข้าลืมไปว่าในบ้านไม่มีชา เจ้ารอเดี๋ยว ข้าจะต้มน้ำชามาให้!”
ต้มกะผีน่ะสิ!
นางยักษ์ยังอยู่ข้างในอยู่เลย!
“ไม่ต้องต้ม!”
จีซั่งชิงตกใจกับเสียงตะคอกของบุตรชาย “เป็นอะไรไป หมิงเยี่ย?”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกระแอมเบาๆ “มานี่หน่อย ข้ามีอะไรจะคุยกับเจ้า”
จีซั่งชิงระบายยิ้ม “ได้สิ!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินนำเขาไปตรงประตูสนาม ใต้เท้าเจ้าสำนักหันหน้าเข้าหาประตู ส่วนอีกฝ่ายหันหลังให้ประตู จากมุมของใต้เท้าเจ้าสำนัก เขามองเห็นเงาของเฉียวเวยกับสวินหลันจากกระดาษตรงหน้าต่างได้พอดี
เริ่มด้วยเงาของเฉียวเวยคว้าเงาของสวินหลันเอาไว้ ตามด้วยเงาของเฉียวเวยหลบเงาของสวินหลัน จากนั้นเงาของสวินหลันก็โผเข้าหาเงาของเฉียวเวยจนล้มไป
ใต้เท้าเจ้าสำนักทนดูต่อไม่ไหว
ไม่นานเฉียวเวยก็ลุกขึ้น เงาของนางตกกระทบลงบนกระดาษตรงหน้าต่างอีกครั้ง แต่ไม่อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยเช่นเดิมอีก ผมเผ้านางหลุดลุ่ย เสื้อผ้าก็แหวกออก
เงาของสวินหลันขยับลุกขึ้น ไม่มีเสื้อผ้าติดกายอีก…
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอามือปิดตา
เงาของเฉียวเวยหายไปจากหน้าต่าง ตัวนางวิ่งหนีออกมาทางช่องประตู แต่วิ่งไปได้แค่ไม่กี่ก้าวก็ถูกแขนเปลือยเปล่าคว้าขาเอาไว้จนล้มพลั่กลงกับพื้น จากนั้นนางพยายามตะกายสู้ แต่สุดท้ายก็ถูกแขนสองข้างนั้นดึงกลับเข้าไปอีก…
“ข้าเหมือนได้ยินเสียงบางอย่าง” จีซั่งชิงพูดพลางจะหันกลับไปมอง
ใต้เท้าเจ้าสำนักสละร่างกายของตนอีกครั้ง โผเข้าไปกอดเขาไว้แน่น
ใจของจีซั่งชิงพลันอ่อนยวบ
เงาของทั้งสองปรากฏขึ้นตรงหน้าต่างอีกครั้ง เงาของสวินหลันกดทับอยู่บนตัวเฉียวเวย ถอดเสื้อผ้าอีกฝ่ายออกทีละชิ้น
เงากับเงาตรงหน้าต่างแนบแน่นอยู่ด้วยกัน เงาหยดน้ำสองลูกของคนด้านบนทำให้เกิดเป็นภาพที่งดงาม
พอได้ยินเสียงดังพลั่ก เงาทั้งสองก็กลิ้งตกจากโต๊ะหนังสือ
ตอนเฉียวเวยวิ่งหนีออกมาจากห้องอีกครั้ง ตามใบหน้านางมีแต่รอยริมฝีปากสีแดง
สวินหลันก็วิ่งออกมาด้วย
ใต้เท้าเจ้าสำนักหลับตาปี๋ แย่แล้วๆ ตาจะเป็นกุ้งยิงแล้ว…
“หมิงเยี่ย เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดอะไรเล่า เจ้ามีเรื่องทุกข์ใจมากใช่หรือไม่” ถึงแม้เขาจะชอบความรู้สึกที่บุตรชายต้องการพึ่งพิงเขา แต่พฤติกรรมของบุตรชายออกจากผิดแผกไปจากธรรมดามากเกินไปหน่อย เขาเลยเป็นกังวลว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับบุตรชาย
ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่มีเวลาจะพูดอะไร เขาเห็นเฉียวเวยวิ่งมาทางพวกเขาในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย นางใกล้จะวิ่งมาถึงหน้าประตูเต็มที ตอนที่นางอยู่ห่างจากพวกเขาเพียงแค่หนึ่งก้าว สวินหลันก็ตามมาทัน นางคว้าขาเฉียวเวยไว้จนเฉียวเวยล้มลงกับพื้น มือของเฉียวเวยจับถูกชายเสื้อของจีซั่งชิงแล้ว แต่กลับคว้าเอาไว้ไม่อยู่ เลยถูกสวินหลันลากกลับไป
ในใจใต้เท้าเจ้าสำนักแทบอยากจะเป็นบ้า…
“หมิงเยี่ย หมิงเยี่ย?” จีซั่งชิงนึกงุนงงในใจ และเตรียมจะผลักบุตรชายออก
ด้วยอารามร้อนใจ ใต้เท้าเจ้าสำนักเลยตะโกนขึ้นว่า “ท่านพ่อ…”
จีซั่งชิงพลันอ่อนปวกเปียก
ใต้เท้าเจ้าสำนักเห็นเฉียวเวยถูกลากตัวไป ก็อยากจะร้องไห้ออกมาเช่นกัน!
เฉียวเวยพยายามหนีให้หลุดจากสวินหลันเลยปีนขึ้นต้นไม้
สวินหลันก็ปีนขึ้นตามไปด้วยแล้วจับตัวเฉียวเวยกดลงบนกิ่งไม้ เป็นภาพที่ถึงกับบรรยายไม่ถูก!
ใบไม้ถูกเขย่าจนร่วงกราวลงมา ก่อนกิ่งไม้จะรับน้ำหนักไม่ไหวอีกแล้วคักลงมาดังแคร่ก ทั้งสองร่วงลงมาอยู่กับพื้น สวินหลันถูกกระแทกจนสลบไป
เฉียวเวยก็หมดสิ้นเรี่ยวแรง นอนแผ่อยู่กับพื้นพร้อมยกมือเช็ดหน้าหน้าผาก จากนั้นนางก็จับเสื้อผ้าให้เข้าที่ แล้วลากเอาตัวที่เกือบเปลือยเปล่าของสวินหลันเข้าห้องไป
…
สวินหลันมีความลับเล็กๆ อยู่ข้อหนึ่ง เพื่อเก็บงำความลับข้อนี้ นางจึงไม่เคยนอนหลับกับใครมาก่อน แม้แต่หลิวเกอร์ก็ยังต้องข่มใจให้ไปนอนที่ห้องของแม่นม ในวันที่จีซั่งชิงมานอนที่ห้องของนาง นางก็มักจะไม่ข่มตาหลับเลยตลอดคืน
ตามปกติในเวลานี้ นางมักจะลืมตาโต มองยอดผ้าม่านของนางไปเงียบๆ แต่ในวันนี้เพราะนางถูกกระแทกจนสลบ จึงหลับสนิทไป กลับเป็นจีซั่งชิงที่ถูกบุตรชายกอดเอาไว้นานทั้งยังเรียกท่านพ่อ ที่ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ เขาลงนอนบนเตียง มองยอดผ้าม่านที่สกปรกเต็มไปด้วยฝุ่นแล้วเอาแต่ยิ้มออกมาอยู่คนเดียว
อันที่จริงหากเขาหลับไป เขาคงไม่ได้ยินเสียงหลังจากนี้
แต่กระนั้นพอเขานึกถึงเสียงที่บุตรชายเรียกตนว่าท่านพ่อ เขาก็ยิ้มกว้างจนปากแทบจะฉีกไปถึงท้ายทอย ไหนเลยจะยังเหลือความง่วงงุนอีก
“อื้อๆ…” สวินหลันส่งเสียงละเมอออกมา
จีซั่งชิงอึ้งไป “เจ้าเรียกข้าหรือ”
สวินหลันพลิกตัวตามเสียง แทรกตัวเข้ากับอกคนข้างกายแล้วยิ้มหวาน “หมิงซิว”
จีซั่งชิงคิดว่าตนเองฟังผิดไป
สวินหลันกอดคอเขาไว้ เอ่ยเสียงออดอ้อนว่า “หมิงซิว ข้าชอบเจ้า ชอบมานานแล้ว…”
สายฟ้าเส้นหนึ่งฟาดลงมากลางใจจีซั่งชิงจนตัวเกร็งไปทั้งตัว