ตอนที่ 357-1 สาแก่ใจนัก

จีซั่งชิงตกใจจนอึ้งไปกับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า เขาที่เป็นถึงนายท่านใหญ่แห่งตระกูลจี อดีตบันฑิตข้าราชการผู้ยิ่งใหญ่ถึงขั้นถูกบุตรชายของตนขับไล่ออกจากตระกูล?

เจ้าเด็กนี่…กล้าดีอย่างไร!

เขาไม่กลัวว่าหากเรื่องนี้คนเอาไปพูดต่อจะกลายเป็นเรื่องขบขันให้คนทั้งใต้หล้าหรือ แล้วยังหมวกขุนนางบนหัวเขานั่นอีก ไม่อยากได้แล้วใช่รึไม่?

ต้าเหลียงปกครองแคว้นด้วยบัณฑิต การกระทำของจีหมิงซิวนับได้ว่าเป็นการกระทำนอกรีต ผิดแผกไปจากขนบธรรมเนียมอย่างแน่นอน หากเรื่องนี้ใหญ่โตไปถึงวงราชการหรือเชื้อพระวงศ์ จะต้องถูกใช้เป็นข้ออ้างเพื่อเอามาเล่นงานแน่นอน

“เจ้าลูกทรพี! เปิดประตูเดี๋ยวนี้!” จีซั่งชิงตะคอกเสียงก้อง เพราะโกรธเกรี้ยวมาก เส้นเลือดตรงขมับของจีซั่งชิงเลยปูดออกมาให้เห็นเป็นเส้นๆ สีหน้าบูดบึ้งจนน่าตกใจ บ่าวไพร่ที่ดูเรื่องสนุกอยู่โดยรอบพลันกระจายตัวกันไปทันที เหลือเพียงสารถีที่ยืนกล้าๆ กลัวๆ อยู่ข้างรถม้า คิดในใจว่าตนได้เห็นเรื่องน่าขันของนายท่าน อีกเดี๋ยวนายท่านจะสังหารตนทิ้งหรือไม่…

จีซั่งชิงตะโกนจนคอแทบแตก ประตูก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เขากำหมัดแน่น เน้นเสียงหนักขึ้นไปอีก “เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ใช่แล้วหรือไม่ เจ้ารู้รึไม่ว่าทำเช่นนี้จะได้รับผลอย่างไร ตำแหน่งอัครเสนาบดีของเจ้ายังอยากเป็นอยู่หรือไม่!”

ครึก—

ประตูใหญ่เปิดแง้มออกเล็กน้อย

ยังนึกกลัวจริงๆ เสียด้วย! จีซั่งชิงส่งเสียงหึเย็นๆ จัดระเบียบเครื่องแต่งกายตนเองแล้วจะเดินเข้าไปข้างใน แต่จู่ๆ ห่อผ้าห่อหนึ่งก็ถูกโยนออกมาจากซอกประตูมาหล่นอย่างน่าสงสารตรงข้างเท้าเขา ไม่นานหงเหมยก็ถูกผลักออกมาอีกคน จากนั้นประตูใหญ่ก็ถูกปิดอีกครั้งอย่างไร้เยื่อใย

จีซั่งชิง “…”

จีหมิงซิวกับเฉียวเวยเดินกลับไปที่บ้านชิงเหลียน ระหว่างทางไม่มีบ่าวไพร่ให้เห็นสักคน ไม่รู้หนีไปหลบอยู่ที่ไหนกันหมด ตามปกติวันๆ หนึ่งมีแต่กลัวว่าจะไม่มีเรื่องสนุกอะไรให้ดู แต่เรื่องสนุกในวันนี้ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าดูทั้งสิ้น

เฉียวเวยเหลือบมองประตูใหญ่ที่ปิดสนิทแล้วเอ่ยด้วยความงุนงงว่า “ทำเช่นนี้จะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ”

จีหมิงซิวจับมืนาง ความอบอุ่นของฝ่ามือเริ่มมีไอเย็น “ถ้าเขายังลุ่มหลงอย่างไร้สติ ข้าก็ไม่มีทางเลือก”

เฉียวเวยคิดดูแล้วก็เห็นว่าจริง ถึงแม้บุตรชายขับไล่บุพการีเป็นเรื่องที่ผิดต่อขนบธรรมเนียม แต่จะว่าไปเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องระหว่างพวกเขาสองคนพ่อลูกอีก ครั้งนี้สวินหลันไม่ใช่แค่สร้างเรื่องในบ้านธรรมดาๆ นางก่อเรื่องไปไกลจนถึงเยี่ยหลัวแล้ว เยี่ยหลัวกับตระกูลจีเป็นอริกันมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์เทียนฉี่ พวกเขาคิดจะจัดการตระกูลจีทั้งตระกูล แค่ปลาร้ายเพียงตัวเดียว รากฐานนับหลายร้อยปีของตระกูลจีเป็นอันต้องราพณาสูรเป็นแน่

พอคิดเช่นนี้ ความเป็นความตายและเกียรติยศของจีซั่งชิงก็ดูจะไม่สลักสำคัญอีก แน่นอนว่าจีหมิงซิวไม่มีทางเล่นเขาถึงชีวิต แต่การให้เขาออกไปลำบากบ้างนั้นถือเป็นสิ่งจำเป็น ใครใช้ให้เขาเอาแต่ปกป้องสวินหลันแบบไม่ลืมหูลืมตาเล่า

จึ๊ บุรุษหนอบุรุษ!

จีหมิงซิวเห็นคนข้างกายส่ายหน้า ก็หลุดหัวเราะพร้อมถามว่า “คิดอะไรอยู่หรือ”

เฉียวเวยใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งก็บอกออกไปตามจริง “ข้ากำลังคิดถึงว่า หากวันหนึ่งท่านไปเจอ…คนเช่นนั้นบ้าง เจ้าจะเลอะเลือนเช่นเดียวกับบิดาเจ้าหรือไม่”

จีหมิงซิวมองไปยังท้องฟ้าที่ไร้ขอบเขต เอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “คนอื่นข้าไม่รู้ แต่หากคนผู้นั้นเป็นเจ้า ข้าคงเป็นแน่”

เฉียวเวยกลั้นลมหายใจอุ่นร้อนไว้ในอก ใครบอกว่าอัครเสนาบดีกล่าวคำหวานไม่เป็นกัน เรียกได้ว่าเป็นบรรพบุรุษด้านการกล่าวคำหวานเลยต่างหาก

นางสูดหายใจเข้าลึกๆ กดข่มความสั่นไหวในใจเอาไว้ “สวินหลันมาถูกไล่ออกไปเช่นนี้ ท่านไม่สงสารเพื่อนในวัยเด็กของท่านสักนิดเลยจริงๆ หรือ”

สายตาอันตรายของจีหมิงซิวหยุดมองที่ใบหน้านาง เฉียวเวยถูกมองจนหัวใจน้อยๆ ของนางเต้นระส่ำ จึงเบือนหน้าหนี พึมพำอย่างไม่ยอมอ่อนให้ว่า “หึงนิดหึงหน่อยไม่ได้เลยหรือ”

จีหมิงซิวหัวเราะออกมาเรียบๆ “นางมีอะไรควรค่าให้เจ้าหึงหวงกัน”

เฉียวเวยบอกว่า “ข้าก็อยากโตมากับท่านบ้าง”

จีหมิงซิวเอ่ยล้อว่า “หากเจ้าคิดเช่นนี้ คนที่เจ้าไม่ชอบใจคงมีมากทีเดียว คนในจวนที่โตมาพร้อมกับข้าอย่างน้อยต้องมีสิบกว่าคน หากเจ้าตามหึงพวกเขาทุกคน น่ากลัวว่าคงต้องหึงถึงปีหน้าทีเดียว”

สายตาเป็นประกายของเฉียวเวยพลันเปลี่ยน “ท่านไม่เคยหวั่นไหวกับเพื่อนในวัยเด็กของท่านเลยจริงหรือ ข้าไม่ใช่คนที่ไม่ใจกว้าง หากท่านเคยหวั่นไหวมาก่อน ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไร”

จีหมิงซิวคล้ายส่งเสียงอือออกมา สีหน้าดูคิดหนัก “เมื่อครู่ใครกันที่บอกว่าหึงข้านะ”

เฉียวเวยโกรธจนหัวเราะออกมา

จีหมิงซิวหยุดเดิน ดึงตัวนุ่มนิ่มของเฉียวเวยมากอด ยกมือประใบหน้าที่ขาวผ่องแล้วบอกเสียงเบาว่า “นางอาศัยอยู่ในจวนแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น แต่พวกเรากลับมีหลายสิบปี”

เฉียวเวยขมวดคิ้วน้อยๆ ของตนด้วยความงุนงง “หลายสิบปี…นานเพียงนั้นเชียว…”

รังเกียจว่านานไปด้วยหรือ! ใต้เท้าอัครเสนาบดีหน้าบึ้งลงโดยพลัน!

พวกเขาสองคนกลับไปถึงบ้านชิงเหลียนก็ได้รู้ว่าใต้เท้าเจ้าสำนักกลับมาแล้ว แต่ถูกซิ่วฉินอุ้มกลับมา ไม่รู้ว่าหลับไปหรือว่าสลบไป เฉียวเวยกับจีหมิงซิวเลยตรงไปที่ห้องใต้เท้าเจ้าสำนักทันที นายบ่าวฟู่เสวี่ยเยียนเฝ้าอยู่ในห้อง พอเห็นทั้งสองคนมาก็รีบลุกขึ้นทักทาย

เฉียวเวยเข้าไปช่วยตรวจอาการให้เจ้าคนซื่อบื้อ เลยได้รู้ว่าเขาสลบไปจริงๆ แต่ไม่มีร่องรอยของลมหายใจที่ปั่นป่วน ไม่เหมือนผ่านการใช้กำลังภายในมาเลยอดถามไม่ได้ว่า “นี่เขาเป็นอะไรไป สลบไปอีกแล้วหรือ”

ออกไปครั้งหนึ่งสลบกลับมาครั้งหนึ่ง ความโชคร้ายระดับนี้เสี่ยงว่าสูสีกับบิดาผู้ให้กำเนิดเขาแล้ว!

ฟู่เสวี่ยเยียนบอกว่า “เขาไปช่วยข้าซื้อขนมเกาลัด พอซื้อกลับมาก็สลบไปเลย อาจจะเป็นไข้แดดก็เป็นได้”

สายตาจีหมิงซิวค่อยๆ เลื่อนมามอง ฟู่เสวี่ยเยียนสงบนิ่งดั่งผิวน้ำ สีหน้าไร้แวววูบไหวใดๆ

เฉียวเวยเปิดเปลือกตาเขาดูแล้วบอกว่า “ไม่ได้เป็นอะไรมาก นอนสักตื่นก็คงหายแล้ว แม่นางฟู่ไม่ต้องกังวลไป”

ฟู่เสวี่ยเยียนบอกว่า “ไม่เป็นอะไรก็ดี เช่นนั้นข้ากลับก่อนล่ะ”

เฉียวเวยบอกอีกว่า “เย็นนี้อยากกินอะไรหรือไม่”

“อะไรก็ได้” ฟู่เสวี่ยเยียนบอก

เฉียวเวยพยักหน้า ฟู่เสวี่ยเยียนเลยพาซิ่วฉินออกจากห้องไป ตอนเดินผ่านจีหมิงซิวนั้น จีหมิงซิวมองนางอย่างล้ำลึกทีหนึ่ง นางเดินผ่านไปเฉยๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

พอเดินพ้นจากบ้านชิงเหลียน ซิ่วฉินก็จับแขนฟู่เสวี่ยเยียนแล้วเอ่ยอย่างนึกกลัวว่า “เมื่อครู่เล่นเอาข้าตกใจแทบแย่ สายตานายน้อยตระกูลจีน่ากลัวเกินไปแล้ว คล้ายว่าพวกเราถูกเขาอ่านออกอย่างทะลุปรุโปร่งกระนั้น!”

ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อย่าทำให้ตัวเองกลัวสิ”

ซิ่วฉินยังคงไม่วางใจ “หากคุณชายรองตระกูลจีตื่นแล้ว บอกว่าเห็นพวกเราอยู่กับคนอื่นจะทำอย่างไร”

ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หากเขาตื่นจะต้องมาหาข้าก่อนแน่ ข้าจะบอกเขาว่าอย่าพูดออกไปก็ไม่มีอะไรแล้ว”

ซิ่วฉินเกาศีรษะ “ก็ได้เจ้าค่ะ แต่ว่า…หากคนของเยี่ยหลัวถามขึ้นมาจะทำอย่างไร”

ฟู่เสวี่ยเยียนนิ่งไป “เรือเมื่อเจอสะพานย่อมหาทางไปได้เอง”

ฟู่เสวี่ยเยียนกับซิ่วฉินออกไปได้ไม่เท่าไร จีหมิงซิวกับเฉียวเวยก็กลับมาที่ห้องของตน จีหมิงซิวมองแขนเสื้อเฉียวเวยแล้วถามว่า “กริชที่แม่ทัพน้อยมู่ให้เจ้าไว้เล่า”

เฉียวเวยบอกว่า “ท่านหมายถึงกริชเฝินเทียนหรือ ข้าให้แม่นางฟู่ยืมใช้ป้องกันตัวน่ะ ทำไมหรือ เหตุใดจู่ๆ ถึงถามขึ้นมา”

จีหมิงซิว “ไม่มีอะไร แค่ถามไปอย่างนั้น”

นัยน์ตาเฉียวเวยพลันเปลี่ยน ถามขึ้นว่า “ใช่สิ แม่นางฟู่มีฐานะเช่นไรกันแน่ ฉินปิงอวี่ยอมสารภาพรึยัง”

จีหมิงซิวส่ายหน้าเล็กน้อย “สารภาพแล้ว นางเป็นคุณหนูจากตระกูลกู่ ตระกูลกู่เป็นชนเผ่าใหญ่ของเยี่ยหลัว มีฐานะยิ่งใหญ่อยู่ในเยี่ยหลัว แต่อยู่มาวันหนึ่งถูกสังหารล้างตระกูล คุณหนูตระกูลกู่เลยกลายเป็นกำพร้า ตอนหลังได้รับการอุปการะจากจวนแม่ทัพมู่ กลายเป็นลูกบุญธรรมของท่านอ๋อง ศิษย์พี่ฟู่เป็นซื่อจื่อของจวนอ๋อง มีนามจริงว่าฟู่ชิวหยาง”

เฉียวเวยกระจ่างแจ้งโดยพลัน “ที่แท้ก็เช่นนี้เอง” แล้วกลับสูดอากาศเย็นๆ เข้าไปก่อนเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “เขายังเป็นท่านอ๋องน้อยเสียด้วย มิน่าเล่าเหล่าผู้อาวุโสของซู่ซินจงถึงได้ทำตามคำสั่งเขา แต่ว่าที่ว่าฟู่เสวี่ยเยียนเกิดมาเพื่อเป็นฮองเฮานั่นเล่าหมายความเช่นไร”

จีหมิงซิว “เป็นข้อตกลงระหว่างตระกูลอย่างหนึ่งเท่านั้น เมื่อสืบทอดมาถึงปัจจุบันเลยกลายเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ไป บอกว่าตระกูลกู่นั้นเป็นหงส์โดยแท้จริง บุตรในท้องของคุณหนูตระกูลกู่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขหงส์โดยแท้จริง”

เฉียวเวยเดาะลิ้น จึ๊ เรื่องงมงายอีกแล้ว

พอคิดอะไรได้นางก็ลูบคางเอ่ยว่า “หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่แปลกที่ตระกูลมู่จะจับตัวฟู่เสวี่ยเยียนกลับไป แต่ข้าเห็นว่าที่ฟู่เสวี่ยเยียนกับพี่ชายของนางมีสัมพันธ์ที่ไม่สู้ดีต่อกันนักไม่ใช่เพียงเพราะพี่ชายนางไม่เห็นด้วยเรื่องของนางกับหมิงเยี่ย เหตุผลที่แท้จริงคืออะไรข้าก็บอกไม่ถูก แต่แค่รู้สึกว่าฟู่เสวี่ยเยียนไม่ชอบพี่ชายตัวเองเอามากๆ เลยไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับจวนอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง”

จีหมิงซิวได้ยินเช่นนี้ก็เผยสีหน้าใคร่ครวญออกมาให้เห็น