ตอนที่ 362-2 คลอดแล้ว หนึ่งครรภ์สองบุตร
วั่งซูเห็นพี่ชายเล่นกับเด็กน้อยอย่างสนุกสนานก็เลยยื่นมือออกไปบ้าง มือนางเนื้อแน่นอวบอ้วน มองดูแล้วน่ารักยิ่งนัก
แม่นมเห็นว่าพี่ชายยังอ่อนโยนเพียงนี้ น้องสาวจะต้องอ่อนโยนด้วยเป็นแน่
มือของวั่งซูวางลงบนศีรษะของทารกคนน้อง นางแค่เพียงลูบเบาๆ เท่านั้น เท่านั้นจริงๆ แต่กลับทำให้ผมของทารกหลุดติดมือ ศีรษะของทารกคนน้องเลยล้านโล่ง…
ทารกคนน้องร้องไห้จ้า!
วั่งซูพอเห็นเขาร้องก็คิดอยากจะปลอบ เลยเข้าไปหอมแก้มเขา หลังจากนั้นแก้มน้อยๆ ที่ใสเด้งของเด็กน้อยก็เห็นว่าบวมเป่งขึ้นมาทันตา
ทารกคนน้องเลยยิ่งร้องไห้หนักขึ้นด้วยความเสียใจ!
ท่าทางกรีดร้องนั้นคล้ายกำลังบอกว่าตนไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจมากันแน่ เหตุใดคนที่ลูบพี่ชายตนถึงเป็นพี่ชายที่แสนดี แต่คนที่ลูบเขากลับเป็นพี่สาวผู้แสนประหลาดไปได้!
วั่งซูเหลือบไปเห็นหนอนน้อยตรงหว่างขาเขาอีก นางจึงเอ่ยด้วยความประหลาดใจว่า “เอ๋? นี่คืออะไรหรือ”
นางพูดพลางยื่นมือไปจับ
แม่นมตกใจจนเกือบเป็นลมไป ลูบผมจนร่วงหายหมดก็แล้วไปเถิด แต่หากลูบเจ้านี่แล้วหายไปอีกอันคงเป็นอันจบเห่แน่!
แน่นอนว่าสุดท้ายแล้ววั่งซูไม่ได้ลูบอย่างที่ใจหวัง เพราะพี่ชายนางคว้ามือนางไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
…
วั่งซูชื่นชอบน้องชายทั้งสองคนนี้มาก ชอบยิ่งกว่าจวิ้นเกอร์เสียอีก
ระหว่างทางกลับบ้าน วั่งซูเอ่ยด้วยความอิจฉาว่า “ท่านแม่ ท่านมีน้องชายตัวเล็กๆ ให้ข้าได้หรือไม่”
เฉียวเวยลูบศีรษะบุตรสาวด้วยความขบขัน “มีน้องชายอีกคนยุ่งจะตาย แค่พวกเจ้าสามคนก็เอะอะกันแทบแย่แล้ว หากมีอีกคนหนึ่งผู้ใดจะเลี้ยงเล่า”
วั่งซูยกมือป้อมๆ ของตนขึ้นทันที “ข้าไงๆ! ข้าเอาเขาไปไว้ในกรงนกของท่านปู่ได้ ไปป้อนอาหารให้เขากินได้ทุกวันเลย”
เฉียวเวยถึงกับมุมปากกระตุก แม่หนูน้อย เจ้าทรมานน้องชายเจ้าเช่นนี้จะดีจริงๆ หรือ
รถม้าเคลื่อนตัวไปตามถนนที่กว้างขวาง เด็กทั้งสามเล่นกันมาทั้งบ่ายจนไม่ได้นอนกลางวัน รถม้าโยกคลอนไปมาอยู่พักหนึ่งก็คอเอียงหลับไปด้วยกันแล้ว
เฉียวเวยกลับไม่รู้สึกง่วงงุนเท่าไรนัก นางเลิกผ้าม่านขึ้น มองออกตามถนนข้างทาง เวลานี้ฟ้ามืดสนิทแล้ว แต่เมืองหลวงไม่เสียแรงที่เป็นเมืองหลวง ตามท้องถนนยังมีรถม้าเคลื่อนตัวไปมา ผู้คนเดินเฉียดหัวไหล่กัน เป็นที่คึกคักยิ่งนัก
สารถีดึงสายบังเหียนไว้แน่น ค่อยๆ ผ่อนความเร็วรถม้าลง “ฮูหยินน้อย ข้างหน้ามีถังหูลู่ขาย อยากซื้อสักหน่อยหรือไม่ขอรับ”
เด็กๆ ไม่ได้กินถังหูลู่กันมานานแล้ว เฉียวเวยจึงพยักหน้า “ดี เจ้าหยุดรถหน่อย ข้าจะลงไปซื้อ”
สารถีเลยหาตรอกด้านข้างแล้วเอารถม้าเข้าไปจอด เฉียวเวยลงจากรถม้า เดินตรงไปยังร้านขายถังหูลู่ ร้านนี้ถึงจะไม่ได้เก่าแก่อย่างร้านเหล่าจื้อที่อยู่แถวถนนชิ่งเฟิง แต่กลับทำอร่อยกว่าร้านอื่นมากแล้ว
เฉียวเวยซื้อทีเดียวสิบไม้
เถ้าแก่บอกว่า “อันละหกอีแปะ ทั้งหมดก็หกสิบอีแปะ”
เฉียวเวยชะงักไปเล็กน้อย “ขึ้นราคาแล้วหรือ คราก่อนข้ายังซื้อห้าอีแปะอยู่เลย”
เถ้าแก่ส่งยิ้มจริงใจ “ทุกคนเขาขึ้นราคากันหมดแล้ว ท่านเป็นลูกค้าเก่า ข้าแถมให้อันหนึ่ง!”
“ขอบคุณมาก” เฉียวเวยรับถังหูลู่มา จ่ายเงินแล้วหมุนตัวเดินไปขึ้นรถม้า
รถม้าเคลื่อนตัวต่อไปอีกพักหนึ่ง จู่ๆ ก็หยุดลง เฉียวเวยเช็ดน้ำลายให้วั่งซูกับหลิวเกอร์แล้วถามว่า “มีอะไรหรือ”
สารถีบอกว่า “มีคนของสองร้านทะเลาะกันขอรับ ชาวบ้านกำลังมุงดูกันอยู่ เลยขวางถนนไว้หมดเลย พวกเราไปต่อไม่ได้”
เฉียวเวยไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องชาวบ้านร้านตลาดตามถนน นางเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็เปลี่ยนไปให้ทางอื่นแล้วกัน”
“ขอรับ!” สารถีกระชับบังเหียนแล้วดึงบังคับเปลี่ยนทาง เขาเคลื่อนรถม้าผ่านตรอกเล็กๆ ตรงหนึ่ง แล้วใช้ถนนอีกเส้นหนึ่งมุ่งหน้าสู่บ้านตระกูลจี ถนนเส้นนี้อยู่ไม่ไกลจากบ้านที่สวินซื่ออยู่นัก แต่อย่าได้ไปสัมผัสไอความโชคร้ายของสวินซื่อเลยจะดีกว่า สารถีคิดในใจ
…
ภายในบ้านหลังเล็ก สวินหลันที่ทรมานจากความกระหายกำลังพยายามยันตัวขึ้นนั่งตรงหัวเตียง อาการป่วยของนางดูเหมือนจะดีขึ้นแล้ว สามารถลงมาเดินได้แล้ว อาการมึนงงก็ดีขึ้น นางก้มนางลงจะใส่รองเท้า แต่กลับมองเห็นรองเท้าคู่หนึ่ง นางมองตามขานั้นไปเรื่อยๆ จนไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าของคนผู้นั้น สายตานางพลันชะงัก “ซั่งชิง…”
จีซั่งชิงกำลังมองนางด้วยสายตาอ่านไม่ออก “ข้าเอง ข้าเพิ่งไปได้ไม่กี่วันเท่านั้น เจ้าก็ทำตัวเองจนอยู่ในสภาพนี้แล้ว?”
สวินหลันไม่ได้ตอบอะไรแค่เพียงหลุบตาลง
จีซั่งชิงถอนหายใจด้วยความจนใจ “เจ้าไม่ยอมกินข้าวดีๆ อีกแล้วใช่หรือไม่ ข้าไม่ได้บอกเจ้าไว้แล้วหรือ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างไรข้าวก็ต้องกิน”
“ไม่มีข้าว” น้ำเสียงของนางเจือความสั่นไหวเล็กน้อยที่แทบฟังไม่ออก
จีซั่งชิงจับแขนนางไว้พลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “เหตุใดถึงไม่มีข้าวได้ พวกเขาไม่ได้ให้อาหารเจ้ากินหรอกหรือ เหตุใดพวกเขาจึงทำกับเจ้าเช่นนี้”
สวินหลันดึงมือเขาออกแล้วหันหลังให้ “ตัวท่านไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว พวกเขาจะทำอย่างไรกับข้าก็ได้แล้วมิใช่หรือ”
จีซั่งชิงเอ่ยด้วยความเดือดดาลว่า “พวกเขาเป็นใคร เจ้าบอกข้ามา!”
สวินหลันสะอึกไปอีกครั้งหนึ่ง ในใจเกิดความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยบางอย่างขึ้นแล่นขึ้นมา นางตอบเสียงเบาซ้ำยังคล้ายเจือแววน้อยใจว่า “ยังจะมีใครได้อีก”
จีซั่งชิงตบโต๊ะดังปัง “เจ้าลูกทรพีนั่นใช่หรือไม่ แล้วยังเมียมันอีกคน! ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่าเจ้าสองคนนี้กลัวแต่โลกหล้าจะไม่วุ่นวาย! เจ้ารอเดี๋ยว ข้าจะไปสั่งสอนพวกมันเดี๋ยวนี้! ข้าจะไล่พวกเขาออกไป! แล้วให้เจ้ากลับมาอยู่แทน!”
สวินหลันบอกว่า “ท่านจะมาเสแสร้งเอายามนี้ไปไย เจ้าก็ยังไปแล้วเลยมิใช่หรือ”
จีซั่งชิงพูดไม่ออก “ข้า… เฮ่อ ข้าไม่ได้ไป วันนั้นข้าเพียงแค่โกรธ แต่สามีภรรยาโกรธกันข้ามคืนมีที่ไหน ครองคู่หนึ่งวันประหนึ่งมีบุญคุณต่อกันมาร้อยวัน เจ้าในใจข้าอย่างไรก็เป็นภรรยาที่ถูกต้องไปชั่วชีวิต”
สวินหลันชะงักไป “เช่นนั้นข้ากับองค์หญิง…ผู้ใดสำคัญกว่ากันแน่”
จีซั่งชิงจับมือนางพร้อมระบายยิ้มอบอุ่น “ย่อมต้องเป็นเจ้า”
สวินหลันพูดต่อว่า “ท่านจะละทิ้งไม่สนใจข้าเพื่อองค์หญิงอีกหรือไม่”
จีซั่งชิงเอ่ยอย่างลึกซึ้ง “ไม่หรอก จะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นอีกแล้ว ข้าสัญญา”
สวินหลันมองมือพวกเขาที่จับประสานอยู่ด้วยกัน ขนตาสั่นไหวเล็กน้อย “เช่นนั้นเรื่องของข้าก่อนหน้านี้ เจ้าก็ไม่ถือสาทั้งหมดเลยหรือไม่”
จีซั่งชิงเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ถือสา ขอเพียงเจ้ายินดีที่จะกลับมาอยู่เคียงข้างข้า ข้าสามารถทำเหมือนว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้นทั้งสิ้น พวกเขาจะยังคงเป็นเช่นในอดีต เจ้า ข้า แล้วยังมีหลิวเกอร์ พวกเราสามคนพ่อแม่ลูกจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เจ้ายังจะคงเป็นนายหญิงของบ้านตระกูลจี เจ้าจะมีเงินทองให้ใช้ไม่มีวันจบสิ้น มีบ่าวไพร่ให้เรียกใช้ไม่ขาด เจ้าอยากไปที่ใดก็ได้ ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าเสมอ”
สวินหลันมองหน้าเขานิ่ง “ที่ท่านพูดมาเป็นความจริงหรือ”
จีซั่งชิงจับมือนางไว้ “ย่อมเป็นความจริง ข้าเคยหลอกเจ้าเมื่อไรกัน”
“ซั่งชิง…” สวินหลันเอาไปอิงแอบกับอกอีกฝ่ายช้าๆ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงพลั่กดังขึ้น ศีรษะนางปวดตุบๆ พลันได้สติจากความฝัน นางลืมตาที่บวมเป่งและร้อนผ่าวขึ้นมองก็เป็นว่าตนตกลงมาอยู่ที่พื้น ภายในห้องว่างเปล่าไม่มีใครให้เห็นสักคน…
หัวใจนางก็ว่างเปล่า ว่างเปล่าจนรู้สึกปวดหนึบ