เล่ม 1 ตอนที่ 363-2 จุดจบอันน่าสังเวช

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 363-2 จุดจบอันน่าสังเวช

จีหมิงซิวอธิบายให้ฟังว่า “เชื้อพระวงศ์เยี่ยหลัว ศิษย์ของซู่ซินจงผู้นั้นก็คือบุตรบุญธรรมของจวนอ๋อง มีสัญญาหมั้นหมายกับองค์ชายสามของเยี่ยหลัว”

ฮ่องเต้ทรงพึมพำอย่างกำลังใช้ความคิด “แล้วสายลับซู่ซินจงที่แฝงตัวอยู่ในเยี่ยหลัว…”

จีหมิงซิวตอบเสียงเรียบ “ถูกกำจัดไปแล้ว”

ฮ่องเต้ตรัสว่า “เหตุใดถึงไม่รีบบอกข้า”

“เวลานี้ก็ยังไม่สาย” จีหมิงซิวบอก

ฝ่าบาทได้ยินน้ำเสียงเรียบเฉยของอีกฝ่ายก็ปรายตามอง “ยังไม่พอใจข้าอยู่อีกรึ”

“กระหม่อมมิกล้า”

ฮ่องเต้คล้ายตรัสอื้อขึ้นมาทีหนึ่ง “ในใต้หล้านี้ยังมีเรื่องใดที่จีหมิงซิวไม่กล้าอีกหรือ”

“ถมไป” น้ำเสียงจีหมิงซิวฟังดูตอบไปอย่างนั้น

ฮ่องเต้ถอนพระทัย “ช่างเถิด ข้าไม่ดีเอง เจ้าจะโทษข้าก็สมควร” ฮ่องเต้นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเรื่องเป็นการเป็นงานขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าจับตัวนางกลับมาเมืองหลวงเพราะคิดอยากใช้เขาเป็นตัวล่อคนเยี่ยหลัวให้ลงจากภูเขา?”

จีหมิงซิววางหมากลงแล้วเอ่ยว่า “หลังจากจับตัวนางมา กระหม่อมใช้นางล่อซื่อจื่อจวนมู่หวังออกมาได้แล้ว เวลานี้ซื่อจื่อก็อยู่ในมือกระหม่อม เชื่อว่าไม่นานทางด้านเยี่ยหลัวก็คงมีข่าวส่งออกมา”

ฮ่องเต้เพ่งมองจีหมิงซิวไม่วางตา คล้ายอยากรู้ว่าเขาพูดความจริงหรือโกหก “เหตุใดข้าถึงได้ยินว่านางกับเจ้ารองบ้านเจ้าไปไหนมาไหนด้วยกัน ความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก”

จีหมิงซิวตอบไปตามจริง “หมิงเยี่ยมีใจให้นาง”

ฝ่าบาทตรัสอย่างเห็นขัน “นางเป็นถึงว่าที่พระชายาแห่งเยี่ยหลัวเชียวนะ เจ้าเด็กบ้านนั่นไม่กลัวว่าจะกลับกลายเป็นมีความแค้นกับเยี่ยหลัวหรือ”

จีหมิงซิวตอบสบายๆ “ถึงอย่างไรก็จะฆ่าล้างเยี่ยหลัวอยู่แล้ว แย่งพระชายาพวกเขามาสักคนจะเป็นไรไป”

ฮ่องเต้ได้ยินความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเขาจึงมองค้อนเขาทีหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดว่า “เจ้าคงไม่ได้คิดจะ…”

จีหมิงซิววางหมากในมือลง ลุกขึ้นทำความเคารพเรียบๆ “กระหม่อมคิดอย่างไรหาได้สำคัญไม่ เรื่องราวในโลกหล้ายากจะคาดเดา จะทำตามความต้องการไปตลอดคงไม่ได้ นี่ก็ดึกแล้ว ฝ่าบาทรีบพักผ่อนจะดีกว่า กระหม่อมทูลลา”

พอจีหมิงซิวกลับไปแล้ว ฝูกงกงก็เข้ามาเก็บของ ฮ่องเต้มองตามแผ่นหลังที่ค่อยๆ เดินหายไปท่ามกลางความมืดมิดแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ “นับวันข้ายิ่งไม่เข้าใจเขา”

ฝูกงกงเอ่ยยิ้มๆ “ในใจอัครเสนาบดี..มากน้อยอย่างไรก็คงไม่พอใจอยู่บ้างกระมัง ฝ่าบาทเอ็นดูเขาเพียงนั้น เขาเองก็เคารพฝ่าบาท แต่ฝ่าบาทกลับวางยาพิษหยกเถาวัลย์ม่วงใส่เขา…”

ฮ่องเต้ถอนหายใจอีกครั้ง “เจ้าคิดว่าข้าวางยาเขาแล้วข้าสบายใจอย่างนั้นหรือ ข้าเห็นเขามาตั้งแต่เล็กจนโต ข้ารักเขาไม่น้อยไปกว่ารัชทายาทเลย ข้าไร้ซึ่งหนทางแล้วจริงๆ ถึงต้องใช้วิธีนี้”

ฝูกงกงรีบเออออ “ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้อง ใต้เท้าอัครเสนาบดีถึงอย่างไรก็มีเลือดของเยี่ยหลัวอยู่ครึ่งหนึ่ง จะให้เขาหันคมมีดเข้าหาชนเผ่าตนเอง คิดแล้วคงไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านเองก็เพียงป้องกันไว้ก่อนเท่านั้น”

ฮ่องเต้ดูเหมือนไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ต่อ ขยับแขนเสื้อขึ้น จิบน้ำชาแล้วลุกขึ้นยืน “ทางด้านจีหว่านเป็นอย่างไรบ้าง”

ฝูกงกงหน้าตายิ้มแย้ม “หมัวมัวที่ไปทำคลอดกลับมาแล้ว บอกว่าซื่อจื่อฮูหยินให้กำเนิดบุตรชายตัวอวบอ้วนสองคน ปลอดภัยดีทั้งแม่และลูกพ่ะย่ะค่ะ”

“ท้องแฝด?” ฮ่องเต้ตกใจระคนยินดี

ฝูกงกงยิ้มเอ่ยว่า “ใช่พ่ะย่ะค่ะ! จวนกั๋วกงเวลานี้น่าจะดีใจแล้ว ใต้เท้าหลินมีผู้สืบทอดแล้ว คงไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์ซื่อจื่อฮูหยินอีกพ่ะย่ะค่ะ!”

จีหว่านให้กำเนิดเด็กแฝด ตระกูลหลินและตระกูลจีดีใจกันยกใหญ่ ไม่เพียงนำของดีๆ จำนวนมากมาให้จีหว่านเท่านั้น ยังทำให้คนในจวนโชคดีได้รับเงินรางวัลกันไปไม่น้อย ในขณะที่ทุกคนกำลังอยู่ในห้วงแห่งความยินดีนั้น สวินหลันที่อยู่ในบ้านหลังน้อยกลับทุกข์ทรมานจากอาการป่วยจนแทบอยากจะตายไปเสียให้พ้นๆ

คอของนางคล้ายมีไฟสุม ทั้งแสบทั้งร้อน แต่หงเหมยไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครต้มน้ำให้นางอีก นางจำต้องไปทำเอง

แต่นางอยู่ในบ้านตระกูลจีอย่างมีเกียรติมานานเพียงนี้ ปลายนิ้วทั้งสิบไม่เคยแตะถูกน้ำ ไฉนเลยจะทำงานใช้แรงงานเช่นนี้เป็น กระทั่งไฟก็ยังจุดไม่ติด ดังนั้นนางจึงออกไปที่ลานแล้วตักน้ำเย็นๆ จากในบ่อขึ้นมา

จากน้ำในบ่อที่ใสเย็น นางได้เห็นใบหน้าที่ขึ้นผื่นของตน นางลูบแก้มด้วยมือที่สั่นเทา หางตาเลยเหลือบไปเห็นว่าที่หลังมือก็มีอยู่เต็มไปหมด!

นางเลื่อนแขนเสื้อขึ้น ที่แขนก็มี!

ดูที่ท้อง ที่ขา ตรงไหนก็มีเต็มไปหมด!

กระบวยตักน้ำตกลงกับพื้นดังป๊อง

นางเดินออกจากลานไปด้วยขาที่อ่อนแรง ลมเย็นวูบหนึ่งพัดมา ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว ใบหน้าก็เริ่มร่วงหล่น ใบไม้ที่แห้งเหลืองตกลงบนศีรษะนะ นางไม่ได้ปัดออกแต่เดินต่อไปด้วยท่าทางนิ่งอึ้ง

บนถนนยามเช้ากำลังคึกคักยิ่งนัก คนที่เดินผ่านไปมามองเห็นนางก็ทำหน้าคล้ายเห็นภูตผีก็มิปาน พากันถอยกรูดเปิดทางให้กันหมด!

ร่างกายนางไม่ค่อยมีแรง จึงล้มลงกับพื้น

หมอคนหนึ่งที่กำลังจะไปตรวจโรคเดินผ่านนาง เห็นนางน่าสงสารเลยย่อตัวลงมา จับนางพลิกตัวคิดอยากตรวจชีพจรให้ แต่พอมองเห็นผื่นแดงที่ขึ้นเต็มหน้าของสวินหลัน ก็ตกใจจนวิ่งหนีไปทันที!

นางพยายามลุกขึ้น เดินไปยังโรงยาแห่งหนึ่ง

เวลานี้โรงยายังไม่เปิดร้าน นางเลยออกแรงตบประตู

ชาวบ้านที่เข้ามามุงดูยืนอยู่ด้านหลังนาง ชี้มาทางนางพลางวิพากษ์วิจารณ์กันยกใหญ่

ท่านหมอตื่นเพราะเสียงดัง เอาเสื้อขึ้นคลุมตัวแล้วเดินสะลึมสะลือออกมาเปิดประตู “ใครกัน มีอะไรหรือ”

สวินหลันคว้าแขนเสื้ออีกฝ่ายไว้ ใช้เสียงที่แหบแห้งจนแทบไม่มีเนื้อเสียงพูดว่า “ช่วยข้า…ตรวจ…”

ท่านหมออ้าปากหาว มองไปที่นางแล้วร้องลั่นขึ้นมาทันที “ฝีดาษ?!”

ทุกคนพากันแตกตื่น

“อะไรนะ นางเป็นฝีดาษ? มิน่าถึงได้น่ากลัวเพียงนี้!”

“ฝีดาษนี่รักษาไม่หายนะ รีบไล่นางไปเร็ว!”

“อัปมงคล เมืองของเราฮวงจุ้ยดีขนาดนี้ เหตุใดถึงมีคนเป็นฝีดาษขึ้นมาได้”

ทุกคนพูดกันคนละคำสองคำ ไม่ทันไรก็แตกฮือกันขึ้นมาทันที

สวินหลันจับแขนเสื้อท่านหมอไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ท่านหมอขวัญผวาไปหมด ถึงแม้จะบอกว่าตนเป็นหมอ ควรรักษาให้ทุกคนไม่เลือกปฏิบัติ แต่เขาก็กลัวตายเช่นกันนี่! โรคนี้ผู้อื่นเป็นมาเขารักษาไม่ได้ หากตนเองมาเป็นเสียเองก็ยิ่งรักษาไม่ได้เข้าไปใหญ่!

“เจ้าๆๆ …เจ้าปล่อยมือนะ!” ท่านหมอตะคอกเสียงดัง

สวินหลันไม่ยอมปล่อย ทั้งๆ ที่ร่างกายนางอ่อนแอแทบแย่แล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าไปเอาแรงมาจากไหน จับตัวท่านหมอไว้ไม่ยอมปล่อย “ข้าเป็นคนตระกูลจี…”

นางยังพูดไม่ทันจบ ท่านหมอก็ยกเท้าถีบท้องเธอ! จนเธอล้มกลิ้งลงกับพื้น จากนั้นก็ปิดประตูลงดาลใส่อย่างเฉยชา ไม่ต้องรับแขกอีก!

สวินหลันล้มลงกับพื้น ท้องบิดเกร็งไปหมด

ด้วยความหวาดกลัวที่มีต่อโรคฝีดาษ ทำให้ทุกคนไม่เหลือความเห็นใจให้นางเลยสักนิด ไม่รู้ใครไปเอาไม้กวาดมาจากไหน ไล่ตีนางไปตามพื้น “ไปให้พ้นนะ! ไปสิ! ห้ามเจ้ามาเดินตามถนนอีกนะ!”

สวินหลันถูกผู้คนขับไล่ออกจากถนนราวกับเป็นหนูสกปรก

นางไปที่โรงยาบนอีกถนนหนึ่ง แต่ผลไม่ต่างกันเลยสักนิด โรคฝีดาษในสมัยต้าเหลียงถือเป็นโรคร้ายที่ไร้ทางรักษา ทั้งยังแพร่เชื้อได้ง่าย มีโอกาสเสียชีวิตสูง ดังนั้นต่อให้เป็นหมอก็ไม่กล้ารักษาให้ผู้ป่วยโรคนี้

สวินหลันไล่ถามไปถึงร้านที่เจ็ด ทุกร้านปิดประตูปฏิเสธนางหมด กว่านางจะตามหากท่านหมอที่ยอมรักษาให้นางได้ ท่านหมอผู้นั้นก็บอกว่า “โรคนี้ของเจ้าน่ะไม่ใช่โรคธรรมดา หากข้าตรวจให้เจ้าก็คงตรวจให้ผู้อื่นไม่ได้แล้ว เช่นนี้นะ เงินค่าหมอสิบตำลึง จ่ายเงินก่อนแล้วค่อยตรวจทีหลัง”

สวินหลันไม่มีกระทั่งเงินสิบอีแปะ จะไปเอาเงินสิบตำลึงมาจากที่ใด

“ไม่มีเงินแต่เจ้าจะมาให้ช่วยรักษา? ไปๆๆ!” ท่านหมอไล่นางออกไป!

ฝนเม็ดหนาตกโปรยปรายลงมา ผู้คนพากันวิ่งเข้าไปหลบฝนตามร้านค้า ตามท้องถนนจึงว่างเปล่าในทันใด นางพาตัวร่างกายที่แทบจะยืนไม่อยู่เดินไปตามสายฝน เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ล้มลง นางก็ลุกขึ้นเดินต่อเป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา ทั้งหัวเข่าทั้งฝ่ามือเป็นแผลเต็มไปหมด

“คุณหนู ท่านดูนั่น นั่นใช้สวินซื่อหรือไม่เจ้าคะ” ในร้านที่ขายพู่กัน ปี้เอ๋อร์ตาไวเหลือบมาเห็นสวินหลัน

เฉียวเวยเพิ่งไปส่งเด็กน้อยทั้งสามที่สำนักศึกษา ระหว่างทางฝนเกิดตกจึงเข้ามาหลบในร้านชั่วคราว คิดไม่ถึงว่าจะได้พบนาง แต่ดูจากท่าทางของนางแล้ว ดูเหมือนหลังจากนางออกจากบ้านตระกูลจีก็จะมีชีวิตที่ไม่เป็นดั่งหวังสักเท่าไร

เฉียวเวยกางร่มน้ำมันแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหา

สวินหลันล้มนั่งอยู่กับพื้น ฝนตกหนักจนนางลืมตาไม่ขึ้น แต่แล้วจู่ๆ ฝนเหนือศีรษะก็หายไป นางเช็ดหยดน้ำฝนบนใบหน้าแล้วเหลือบตามอง “ซั่งชิง?”

จีซั่งชิงไม่ได้พูดอะไร แค่เพียงยืนกางร่มให้นางเงียบๆ

สวินหลันจับชายเสื้อจีซั่งชิงไว้ หัวไหล่สั่นไหวขึ้นมา

“ดูจากสภาพของเจ้าแล้ว คงจะนึกเสียใจมากสินะ”

เป็นเสียงของเฉียวเวย

สวินหลันพลันชะงัก หันขึ้นมองอีกฝ่ายอีกครั้ง ไฉนเลยจะมีจีซั่งชิงอยู่อีก

เฉียวเวยกดสายตาลงมองคนบนพื้น “ว่าอย่างไร ข้าไม่ใช่นายท่าน เจ้าผิดหวังมากหรือ ข้ายังคิดว่าเจ้าจะใจแข็งดั่งหินผาเสียอีก ในที่สุดก็คงรู้แล้วสินะว่านายท่านเป็นเพียงคนเดียวในโลกหล้าที่จริงใจต่อเจ้า น่าเสียดายกว่าเจ้าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว บุรุษผู้หนึ่งที่ไม่ถือสาแม้เจ้าจะทำให้โชคร้าย ไม่ถือสาแม้เจ้าจะเปื้อนมลทิน บุรุษผู้หนึ่งที่ประคองเจ้าอยู่ในมือถูกเจ้าทำร้ายจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว เขาไม่มีวันหลังกลับมาอีกแล้ว หากข้าเป็นเจ้า เวลานี้คงผิดหวังถึงที่สุดไปแล้ว”

มือของสวินหลันจมอยู่ในแอ่งน้ำ

เฉียวเวย “เจ้าว่าที่เจ้าละทิ้งตำแหน่งนายหญิงตระกูลจี ไล่ตามหาสิ่งที่ไม่มีวันเป็นของเจ้า เวลานี้เมื่อทุกอย่างสูญสิ้นหมดแล้วถึงเพิ่งได้รู้ว่า สิ่งที่เฝ้าปรารถนาอันที่จริงไม่ใช่สิ่งที่ตัดออกยากที่สุด ทุกคนล้วนบอกว่าความเคยชินเป็นสิ่งน่ากลัว นายท่านดีต่อเจ้าเพียงนี้ ดีจนกระทั่งเจ้าคิดว่านี่คือสิ่งที่ควรจะเป็น เวลานี้เมื่อเสียเขาไป… เจ้าบอกข้าทีว่าระหว่างสูญเสียเขากับไม่ได้รับความรักจากจีหมิงซิวนั้น อย่างไหนเป็นทุกข์กว่ากัน”

สวินหลันเงยหน้าขึ้นด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา “เหตุใดเจ้าถึงทำกับข้าเช่นนี้กันแน่”

เฉียวเวยมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบเฉย เอ่ยอย่างไม่เร่งร้อนว่า “เหตุใดเจ้าถึงทำกับข้าเช่นนี้? อย่าบอกนะว่าเรื่องเมื่อหกปีก่อนไม่ใช่เจ้าที่เป็นคนทำ เจ้าจับข้าโยนขึ้นเตียงยิ่นอ๋อง ใส่ร้ายข้าจนข้าเกือบถูกยิ่นอ๋องฆ่าตาย ใส่ร้ายข้าจนข้าต้องตกระกำลำบาก หากข้ามีชีวิตรอดไม่ถึงวันที่หมิงซิวมารับข้า เจ้าเองก็จะไม่เหลือชีวิตรอดถึงวันที่นายท่านจะหันกลับมาเช่นกัน ชีวิตนี้ของเจ้าคงรอไม่ถึงวันนั้นแล้ว อีกอย่าง จีหว่านให้กำเนิดบุตรอย่างปลอดภัยแล้ว เป็นท้องแฝดชาย เจ้าได้รู้ข่าวนี้รู้สึกดีใจหรือไม่”

สวินหลันคว้ากระโปรงสวินหลันไว้ “เฉียว เวย!”

เฉียวเวยดึงกระโปรงของตนออกเบาๆ พอยกเท้าขึ้นก็หมุนตัวขึ้นรถม้าไปทันที

สายฝนยังคงกระหน่ำลงมา สวินหลันเป็นลมอยู่กลางสายฝน

แล้วจู่ๆ ก็มีเงาร่างสูงใหญ่เดินฝ่าฝนเข้าไปตรงหน้าสวินหลันด้วยฝีเท้ามั่นคง เขาย่อตัวลงจับตัวนางขึ้นหลังแล้วเดินหายไปท่ามกลางสายฝน