ตอนที่ 364-1 มือมืดอันลึกลับ
ตอนหลังพออากาศเย็น ตกดึกจึงนอนหลับสบาย เด็กน้อยทั้งสามหลับยาวถึงฟ้าสาง แม้แต่จิ่งอวิ๋นที่ตื่นเช้าอยู่เป็นนิจก็ยังต้องให้ปี้เอ๋อร์เข้ามาปลุก
พอจิ่งอวิ๋นตื่น หลิวเกอร์ก็ตื่น หลังจากนั้นวั่งซูกับเจ้าสัตว์น้อยทั้งสามก็ทยอยกันตื่นตาม
สัตว์น้อยทั้งสามกระโดดลงจากตะกร้าแขวน จูเอ๋อร์สะลึมสะลือเดินออกไปพร้อมวั่งซู เลี้ยวซ้าย จิ่งอวิ๋น หลิวเกอร์กับเจ้าไป๋ทั้งสองก็เดินออกมาแล้วเลี้ยวขวา
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เฉียวเวยจัดแจงแยกโซนกระโถนของพวกเขา
จิ่งอวิ๋น หลิวเกอร์ ต้าไป๋ เสี่ยวไป๋ยืนเรียงแถวกัน พอมาถึงตรงหน้ากระโถนตนเองก็เริ่มจัดการธุระสำคัญแรกของทุกวัน
หลิวเกอร์กะพริบตาปริบแล้วกวาดตามองด้วยความใคร่รู้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความภูมิใจเหลือแสนว่า “ช้างน้อยฉันใหญ่จริงๆ!”
จิ่งอวิ๋น “เทียบกับเสี่ยวไป๋เหรอ”
เสี่ยวไป๋ยืดเสี่ยวไป๋น้อยออกมา!
หลิวเกอร์เบิกตาโตมองอยู่พักหนึ่ง “เสี่ยวไป๋มีด้วยเหรอ”
เสี่ยวไป๋ “…”
ในใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง หลังจากถูกวั่งซูทำร้ายกล่องดวงใจไป มันก็มาถูกเจ้าเด็กแสบสองคนนี้พูดแทงใจดำเข้าให้อีก ชีวิตเพียงพอนช่างน่ารันทดยิ่งนัก!
…
หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จ ทุกคนก็ไปที่ห้องหลัง อาหารเช้าวางรออยู่แล้ว วันนี้เป็นน้ำเต้าหู้กับซาลาเปา ซาลาเปามีไส้สามสหาย มีไส้เนื้อวัว ไส้หมูเปรี้ยวหวานแล้วยังมีไส้แพะใส่ผัก เห็นและหูหลัวปัวด้วย วั่งซูกินทีเดียวสิบลูกจนแก้มป่องไปหมด หลิวเกอร์กับจิ่งอวิ๋นกินไปคนละสองลูกก็อิ่มแล้ว จากนั้นพวกเขาก็กระโดดลงพื้นไปตรวจดูกระเป๋าหนังสือ
เฉียวเวยไม่เคยตรวจดูกระเป๋าหนังสือให้พวกเขา สิ่งของใดจำเป็นก็ให้พกกันไปเอง อย่าหวังว่าลืมไว้แล้วจะให้นางเอาไปให้ จิ่งอวิ๋นที่เป็นเด็กรอบคอบเพียงนั้นยังเคยลืมเอากระดาษไปครั้งหนึ่ง สุดท้ายจึงถูกอาจารย์สั่งสอนไปยกใหญ่ ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา เขาก็ไม่เคยลืมของอะไรอีกเลย
แน่นอนว่ากฎเกณฑ์นี้ใช้กับเจ้าเด็กอ้วนวั่งซูไม่ได้ผล จีหมิงซิวเคยต้องแอบเอาของไปให้เจ้าเด็กอ้วนนี้ไม่ใช่แค่หนึ่งครั้งอีกด้วย
เจ้าเด็กอ้วนก็ไม่ยอมตรวจของตัวเอง หันมามองพี่ชายอย่างน่าสงสาร
จิ่งอวิ๋นถอนหายใจ เอากระเป๋าของนางไปแล้วช่วยตรวจให้ทีละอย่าง
วั่งซูเบื่อไม่มีอะไรทำ เลยวิ่งไปหาอะไรทำแก้เบื่อ นางจับมวยผมของหลิวเกอร์ เด็กเล็กขนาดนี้ยังไม่สามารถใช้เครื่องศีรษะหรือปิ่นปักผมได้ มักจะใช้เชือกหรือผ้าพันมวยผมเป็นก้อนกลมๆ แต่พอวั่งซูจับดึง ผ้าบนศีรษะหลิวเกอร์ก็หลุดออกทันที
วั่งซูกะพริบตาปริบๆ อยู่หลายที จังหวะที่เฉียวเวยก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามานั้น นางก็เอาผ้านั้นยัดเข้ามือเสี่ยวไป๋ทันที
เสี่ยวไป๋ “…”
เฉียวเวยหรี่ตาลงอย่างอันตราย “เสี่ยว ไป๋—”
เสี่ยวไป๋โยนผ้าในมือทิ้งแล้ววิ่งฉิวหนีไปทันที
หลิวเกอร์หยิบผ้าขึ้นมา จะไปหาปี้เอ๋อร์ให้ช่วยมัดผมให้ตน เฉียวเวยเรียกเขาไว้ “มานี่”
หลิวเกอร์เดินเข้าไปหาด้วยความงุนงง
เฉียวเวยจับเขากดลงกับเก้าอี้ หยิบหวีมา จับผมเขามาไว้ในมือแล้วค่อยๆ หวีให้เขาโดยละเอียด ปลายนิ้วของนางติดจะเย็นเล็กน้อย แต่พอต้องถูกผิวกายกลับกระตุ้นให้เกิดไออุ่น หลิวเกอร์ตัวเกร็งไม่กล้าขยับ เฉียวเวยรวบเป็นมวยให้อย่างสวยงาม เด็กๆ ทำผมแบบนี้น่ารักมาก โดยเฉพาะหลิวเกอร์ที่หน้าตางดงาม ยิ่งอยู่บนใบหน้าใสซื่อด้วยแล้ว เรียกได้ว่าน่าเอ็นดูแทบทนไม่ไหว
เฉียวเวยอดใจไม่ไหวหยิกแก้มนิ่มๆ ของเขาให้ทีหนึ่ง จึ๊ ให้สัมผัสดีจริงๆ!
แก้มหลิวเกอร์เห็นเป็นรอยแดงขึ้นมาอย่างรวดเร็วทันที จากนั้นตัวเขาก็แทบจะลอยได้ ยามเดินอยู่บนพื้นคล้ายเหยียบอยู่บนก้อนเมฆ เดี๋ยวหนัก เดี๋ยวเบา สายตาก็ดูเพ้อละเมอไปไกล
เขาคว้า “กระเป๋าหนังสือ” บนเตียงขึ้นมา เดินออกไปด้วยฝีเท้าที่เบาหวิว ไม่รู้เพราะใจไปแล้วหรืออย่างไร แม้แต่กระเป๋าเลยรู้สึกว่าเบาหวิวไปด้วย
เฉียวเวยมองเขาด้วยสายตาประหลาด เจ้าเด็กนี้ไม่ได้จะไปเข้าเรียนหรอกหรือ เอาเสื้อบังทรงของนางไปทำอะไร
ด้านนอกมีเสียงกระแทกดังลั่นขึ้น เห็นได้ชัดว่าหลิวเกอร์คงเดินชนเสาเข้าให้อีกแล้ว…
…
ภายในห้องที่เย็นยะเยือกและมีแต่ความมืดมิด บนกำแพงมีรูใหญ่ประมาณนิ้วชี้ เลยมีแสงลอดผ่านเข้ามาได้เล็กน้อย แต่นั้นก็ไม่เพียงพอที่จะส่องสว่างให้เห็นอะไรทั้งสิ้น
แอ๊ด—
ประตูหินค่อยๆ ถูกเปิดออก ความเสียดสีทำให้เกิดเป็นเสียงดังบาดหู
องครักษ์ที่อยู่ในชุดหนังสีน้ำตาลถือคบไฟเดินเข้ามาแล้วเอาคบไฟเสียบไว้ตรงกำแพง จากนั้นก็หันหน้าหาประตู สองมือไขว้กันฝ่ามือวางลงบนหน้าอก แล้วทำความเคารพอย่างนอบน้อม
บุรุษที่อยู่ในเสื้อคลุมสีเทาค่อยๆ เดินเข้ามา สายตาหยุดมองสตรีบนพื้นที่ยังสลบไสลไม่ได้สติ เขาพูดบางอย่างในภาษาประหลาด องครักษ์ก็ใช้ภาษาเดียวกันนั้นตอบกลับไป
บุรุษผู้นั้นเพียงทำสัญญามือเล็กน้อย
องครักษ์ก็หิ้วถังน้ำเข้า ตักน้ำหนึ่งกระบวยแล้วราดใส่ศีรษะสตรีนางนั้นอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ
สวินหลันสูดอากาศเย็นๆ เข้าไปโดยพลัน ได้สติขึ้นมาในทันใด นางเผยอเปลือกตาขึ้น สายตายังมองเห็นไม่ชัดนักจึงเริ่มขยับตัวก่อน แต่พอขยับก็ถึงได้รู้ว่ามือกับเท้าของตนถูกโซ่ล่ามเอาไว้ทั้งหมด
สายตาที่พร่ามัวของนางค่อยๆ เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นนางก็ได้เห็นบุรุษที่อยู่ตรงหน้า องครักษ์ที่อยู่ด้านข้าง กับผนังหินที่แสนจะอึมครึม
ห้องนี้เป็นห้องอันเย็นเยียบที่ทำขึ้นจากหิน ในห้องมีอุปกรณ์ทรมานที่น่าขนลุกวางอยู่เต็มไปหมด องครักษ์ตัวไม่สูงนัก แต่รูปร่างกำยำผิดธรรมดา บนหน้ามีลายคล้ายธนูขนนกวางอยู่หลายอัน มองดูแล้วแปลกตายิ่งนัก แต่บุรุษที่อยู่ข้างกายเขา มีหมวกเสื้อคลุมบังอยู่ เลยเห็นเพียงปลายคางที่ขาวราวกับไม่ใช่คน ตรงปลายคางนั้นมีรอยบุ๋มตรงกลาง
มองดูแล้วเขาเหมือนบุรุษหนุ่มคนหนึ่ง แต่พอเขาเอ่ยปาก น้ำเสียงกลับฟังดูแก่ชรา
“ฟื้นแล้ว?” เขาถามเสียงเรียบ
สวินหลันมองเขาด้วยสายตาอ่อนล้า “พวกเจ้าเป็นใคร”
บุรุษผู้นั้นบอกว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจว่าพวกข้าเป็นใคร แค่ตอบคำถามข้ามาดีๆ ก็พอ”
สวินหลันข่มความเจ็บปวดทั่วสารร่างเอาไว้ หันมองแขนของตนเอง
บุรุษผู้นั้น “ไม่ต้องมองแล้ว โรคฝีดาษของเจ้ารักษาหายแล้ว แต่การรักษาเจ้าให้หายนั้นมีเงื่อนไขอยู่ หากเจ้าไม่ทำตามที่ข้าบอก ข้ารักษาเจ้าหายได้ ก็เอาชีวิตเจ้าได้เช่นกัน”
ขนตาสวินหลันสั่นระริก ไม่นานก็กลับมารักษาสีหน้าเยือกเย็นไว้ได้อีกครั้ง นางสบตากับบุรุษผู้นั้นแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หร่ะว่า “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”
บุรุษผู้นั้นถามเสียงเรียบ “ไม่มีอะไรซับซ้อน ซื่อจื่อไปอยู่ที่ใด”
“ซื่อจื่ออะไร” สวินหลันถามกลับ
“ไม่ต้องมาแสร้งโง่” น้ำเสียงบุรุษผู้นั้นฟังดูไม่เกรงใจเท่าไรนัก
สวินกลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าไม่ได้แสร้งโง่ ข้าไม่รู้จักซื่อจื่ออะไรนั่นจริงๆ”
บุรุษผู้นั้นหยิบภาพวาดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วกางออกตรงหน้านาง “ก็คือคนในภาพนี้”
สวินหลันมองภาพคนในภาพวาดพักหนึ่งแล้วหลุบตาลง
บุรุษผู้นั้นเก็บภาพกลับแล้วกดสายตาลงถามว่า “เขาอยู่ที่ใด”
สวินหลันตอบอย่างสงบนิ่ง “ข้าไม่รู้”
บุรุษผู้นั้นส่งสัญญามือให้องครักษ์
องครักษ์ยกกะละมังน้ำเย็นจัดขึ้นแล้วราดใส่หัวสวินหลันทันที จากนั้นก็ไม่รอให้สวินหลันได้ตั้งตัว หยิบเอาเหล็กร้อนที่เผาอยู่บนเตาไฟจนแดงแจ๋มากดหนักๆ ลงบนท้ายทอยของสวินหลันทันที!