ตอนที่ 369-2 ช่วยเหลือสำเร็จ รักษาอินทรีทอง
จีหมิงซิวจับบ่าน้อยๆ ของเขาไว้ มองสวินหลันด้วยสายตาเย็นชา เขาไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น แต่แค่เพียงมองก็คล้ายว่าได้พูดทุกอย่างจนหมดแล้ว
ในใจสวินหลันพลันร้อนรน “หมิงซิว…”
จีหมิงซิวคร้านกระทั่งจะสนใจนาง เขาพาหลิวเกอร์ออกเดินไปทางรถม้า
สวินหลันพยายามตั้งสติ เอ่ยเรียกทั้งสองไว้ “อย่าพาหลิวเกอร์ไปนะ!”
จีหมิงซิวชะงักฝีเท้า เบี่ยงศีรษะไปบอกว่า “เขาเป็นบุตรของตระกูลจี”
สวินหลันแทบอยากจะเป็นบ้า “เขาก็เป็นบุตรของข้าเช่นกัน! พวกเจ้าเอาทุกอย่างไปจากข้าหมดแล้ว เหตุใดกระทั่งบุตรชายของข้าก็ยังไม่ยอมปล่อย เขาเป็นบุตรที่ข้าตั้งท้องมาสิบเดือนนะ! เขาเป็นของข้า!”
จีหมิงซิวไม่สนใจนาง
สวินหลันเอ่ยด้วยความเสียใจ “หากเป็นเฉียวซื่อ…เจ้าก็จะแย่งบุตรไปจากนางงั้นหรือ หากนางไม่ยอม เจ้าก็จะบังคับเอามาให้ได้งั้นหรือ”
จีหมิงซิวบอกว่า “ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น บุตรของนาง ไม่ว่าใครก็แย่งไปไม่ได้”
สวินหลันสองตาแดงก่ำ “เช่นนั้นเหตุใดพอเป็นข้าถึงจะมาแย่งไปเล่า”
จีหมิงซิวย้อนถามว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
คนหนึ่งที่ทนลำบากทุกอย่างเพื่อบุตรของตน กับอีกคนที่ให้บุตรของตนต้องลำบากทุกอย่าง ในโลกหล้านี้ไม่ใช่สตรีที่ให้กำเนิดบุตรทุกคนจะสมควรถูกเรียกว่ามารดา
ตั้งแต่ตอนที่นางหลบอยู่หลังต้นไม้ ทอดทิ้งจิ่งอวิ๋นไปเป็นครั้งที่สามนั้น ความศรัทธาที่มีต่อตัวมารดาในใจหลิวเกอร์ก็เป็นอันพังทะลายลงแล้ว
จีหมิงซิวอุ้มหลิวเกอร์ขึ้นมา หลิวเกอร์ซุกศีรษะน้อยๆ เข้ากับอกพี่ชาย ร้องไห้น้ำตาแหมะๆ ของตนเงียบๆ จีหมิงซิวอุ้มเขาไว้แน่น แล้วหายไปท่ามกลางความมืดมิดและหายไปจาสายตาของสวินหลัน
สวินหลันทรุดลงกับพื้น เอามือปิดหน้าแล้วร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง
…
ตอนฟู่เสวี่ยเยียนมาถึง การต่อสู้ได้จบสิ้นลงแล้ว ทุกคนหายกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงสวินหลันที่นั่งร้องไห้อย่างสิ้นหวังอยู่กับพื้นที่เย็นจัด ถึงแม้สวินหลันจะไม่เหลืออะไรเลย แต่คนเป็นแม่อย่างไรก็ยังรับรู้ได้ถึงความโศกสลดจากการ “สูญเสีย” บุตรไป ฟู่เสวี่ยเยียนเอามือลูบท้องโดยไม่รู้ตัว หากมีวันหนึ่งตนต้องไปจากเขา ตนจะเป็นทุกข์ใจเช่นสวินหลันหรือไม่
ฟู่เสวี่ยเยียนได้ยินเสียงร้องโหยหวนของอินทรีทองนางถึงได้มาที่นี่ แต่ตอนมาถึงที่พื้นก็เหลือเพียงขนนกกองหนึ่งเท่านั้น
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยปลอบว่า “พี่ชายข้าน่าจะช่วยกลับไปแล้ว เรากลับกันเถิด”
ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้า หมุนตัวเดินออกไป ตัวนางเดินไปแล้วแต่ก็ยังหันกลับมามองสวินหลันอีกครั้ง
นางเอามือลูบท้อง นัยน์ตามีแววซับซ้อนวาบผ่าน
…
จีหมิงซิวพาบุตรชายกับน้องชายกลับไปถึงบ้านก็เข้าสู่ช่วงฟ้าสางแล้ว เด็กทั้งสองที่หลับสนิทอยู่บนรถม้าถูกอุ้มเข้าไปในบ้านแล้วก็ยังไม่ตื่น
เฉียวเวยมองปราดเดียวก็เห็นว่ากางเกงของเด็กทั้งสองดูแปลกๆ จึงอดถามขึ้นไม่ได้ว่า “กางเกงของหลิวเกอร์เล่า เหตุใดถึงมาใส่ของจิ่งอวิ๋นได้”
“ฉี่รดไปแล้วน่ะ” จีหมิงซิวตอบ
เด็กเล็กเพียงนี้ ถูกคนร้ายกลุ่มหนึ่งจับตัวไป การจะฉี่รดกางเกงก็นับว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
เฉียวเวยไปต้มน้ำร้อนมาเช็ดตัวให้พวกเขา เลยถือโอกาสสำรวจตามเนื้อตัวไปด้วยว่าบาดเจ็บตรงใดหรือไม่ นอกจากตรงหัวเข่ากับฝ่ามือของจิ่งอวิ๋นที่มีลอยถลอกแล้ว ตรงอื่นยังเรียบร้อยดีทั้งสิ้น
เฉียวเวยวางตัวทั้งสองลงบนเตียงของตนกับจีหมิงซิว วั่งซูก็อยู่ตรงนั้นด้วย เด็กทั้งสามถึงแม้จะหลับสนิท แต่ก็คล้ายรับรู้ได้ถึงลมหายใจของกันและกัน ถึงขั้นเข้ามากอดกันไว้แน่น เฉียวเวยเห็นอย่างนั้น ใจนางก็พลันอ่อนยวบ
บนรถม้าระหว่างกลับจวน จิ่งอวิ๋นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้จีหมิงซิวฟังโดยละเอียด เฉียวเวยคิดไม่ถึงว่าสวินหลันก็จะอยู่ด้วย ดูท่าความคิดชั่วร้ายอย่างการจับบุตรของนางไปกว่าครึ่งน่าจะมาจากนาง เพียงแต่ต่อให้อยู่ในฝันนางก็คาดไม่ถึงว่าหลิวเกอร์จะจับพลัดจับผลูโดนจับไปด้วย เรื่องนี้นับว่ายกหินทับเท้าตัวเองได้หรือไม่
เวลานี้นางไม่เพียงทำให้คนเยี่ยหลัวไม่พอใจ แต่บุตรชายของนางก็ผิดหวังอย่างรุนแรงต่อตัวนางไปแล้วด้วย หลังจากนี้ทุกวัน นางคงต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับความเสียใจไปตลอดเป็นแน่
เฉียวเวยถามอย่างไม่เข้าใจว่า “คนเยี่ยหลัวเหตุใดต้องจับตัวจิ่งอวิ๋นไปด้วย คิดอยากจะใช้แลกตัวกับมู่ชิวหยางหรือ”
จีหมิงซิวนิ่งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนบอกว่า “คงจะเป็นเช่นนั้น”
เฉียวเวยลูบปลายคางจีหมิงซิว “ท่านไม่ได้นอนมาทั้งคืน หนวดเคราขึ้นหมดแล้ว”
จีหมิงซิวถามว่า “เจ้าเองก็ไม่ได้นอนทั้งคืนเช่นกันมิใช่หรือ”
เฉียวเวยบอกว่า “แต่ข้าหนวดไม่ขึ้นนี่”
จีหมิงซิวอดยิ้มออกมาไม่ได้ เขากอดเอวนุ่มนิ่มของนางไว้ พยายามไม่มองความอ่อนนุ่มที่ต่ำลงไป จุมพิตหน้าผากที่ติดจะเย็นน้อยๆ “ข้าจะคอยระวังตัวให้ดีกว่านี้ จะไม่ให้เจ้าต้องเสียขวัญเช่นนี้อีก”
เฉียวเวยอิงแอบเข้ากับอกอันอบอุ่นของสามี สูดกลิ่นกายหอมอ่อนๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเขา ใจของนางถูกความอุ่นใจจนมากล้นเติมจนเต็ม “ท่านทำอะไรไปตั้งมากเพียงนี้ มิใช่เพราะกังวลว่าบุตรชายจะลำบาก แต่กลัวว่าข้าจะขวัญเสียงั้นหรือ”
จีหมิงซิวใช้ปลายคางถูกับไรผมของนางแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้ากังวลว่าเขาจะลำบากด้วย แต่ที่กังวลมากกว่าคือเจ้าจะเสียใจ”
ขอบตาเฉียวเวยพลันเปียกชื้น ชุ่มฉ่ำหัวใจจนรู้สึกปวดหนึบ
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” อยู่ๆ จีหมิงซิวก็พูดขึ้น
เฉียวเวยกะพริบตาทีหนึ่ง “เรื่องอะไรหรือ”
จีหมิงซิวจูงมือเฉียวเวยไปที่ลานด้านหลัง บนพื้นหญ้าของลานด้านหลังมีนกอินทรีทองตัวหนึ่งนอนหายใจรวยรินอยู่ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยนั่งย่ออยู่ข้างตัวมัน ลูบคอมันพลางถอนหายใจด้วยความจนใจ “ช่วยไม่ได้แล้ว…ช่วยไม่ได้แล้ว…”
จีหมิงซิวมองอินทรีทองตัวนั้น “มันถูกคนเยี่ยหลัวยิงธนูใส่ตอนช่วยจิ่งอวิ๋น”
“นี่ไม่ใช่อินทรีทองของชนเผ่าลึกลับหรือ เหตุใดถึงบินมาถึงจงหยวนได้” จงหยวนไม่มีนกอินทรีทองตัวใหญ่เพียงนี้ อินทรีทองทั่วไปตัวใหญ่ไม่ถึงหนึ่งเมตร เมื่อกางปีกสองข้างออกอาจจะใหญ่ถึงสองเมตร แต่หัวของอินทรีตัวนี้ดูจะแข็งแกร่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญกว่านั้นคือ เหตุใดมันต้องช่วยจิ่งอวิ๋นด้วย
ระหว่างที่ในใจยังมีความฉงน เฉียวเวยก็ก้าวเข้าไปตรวจดูแผลให้มัน ตรงเอวของมันมีธนูเสียบอยู่ดอกหนึ่ง ตัวธนูถูกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยหักทิ้งไปแล้ว ด้วยกลัวว่ามันจะเสียเลือดมาก เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเลยไม่กล้าดึงหัวธนูออกมา แผลอีกจุดหนึ่งอยู่ที่ขาข้างขวา ดูออกชัดว่าเป็นแผลถากๆ น่าจะถูกหัวธนูยิงถูกเหมือนกัน บนธนูมีพิษ ตรงขาขวากับตรงท้องเวลานี้ดำคล้ำไปหมดแล้ว
นอกจากนี้ ปีกซ้ายของมันก็หักตอนหล่นกระแทกพื้น
มันโอบจิ่งอวิ๋นเอาไว้ตอนตกลงมา หากมันไม่โอบไว้ สุดท้ายคนที่กระดูกหักน่าจะเป็นจิ่งอวิ๋น
“เสี่ยวไป๋เล่า” เฉียวเวยถาม
เสี่ยวไป๋วิ่งฉิวเข้ามา พอเห็นเจ้าตัวใหญ่เบิ้มที่จะกลืนมันลงไปก็พลันขนตั้ง วิ่งเข้าไปให้เฉียวเวยกอดทันที
เฉียวเวยจะเอาเลือดจากมันสักหน่อย
แต่เป็นตายอย่างไรมันก็ไม่ยอม
“ให้ถูกหน้าอกจะยอมไหม”
ไม่เอา อกของแม่นางฟู่มันไปถูไถได้ทุกวันอยู่แล้ว!
เฉียวเวย “ให้ถูน้องเล่า ยอมรึไม่”
…ยอม!
เสี่ยวไป๋ยื่นอุ้งมือออกมาแต่โดยดี
เฉียวเวยบีบเลือดป้อนอินทรีทองไปหลายหยด แล้วจึงเปิดกระเป๋ายาเอาเครื่องมือออกมา จัดการเอาหัวธนูตรงหน้าท้องของอินทรีทองออก
ตอนฟู่เสวี่ยเยียนเดินเข้ามาในบ้านชิงเหลียน เฉียวเวยจัดการแผลสองแผลบนตัวอินทรีทองจนเรียบร้อยแล้วและกำลังพันแผลให้มันอยู่ พอพันแผลทั้งสองให้มันเสร็จก็เริ่มพันที่ปีกให้มันต่อ
เฉียวเวยก้มหน้าก้มตาอยู่ในโลกของตัวเอง ไม่ทันได้สังเกตว่าฟู่เสวี่ยเยียนเข้ามา ฟู่เสวี่ยเยียนก็ไม่ได้ส่งเสียงรบกวน แค่เพียงยืนมองอีกฝ่ายรักษาอินทรีทองของตนไปเงียบๆ เท่านั้น
เฉียวเวยหยิบกล่องใบหนึ่งจากชั้นด้านล่างในกล่องยาออกมา เมื่อเปิดออก ภายในมีเม็ดสีขาวนวลเม็ดหนึ่งวางอยู่ ขนาดประมาณหนึ่งกำปั้นเห็นจะได้ ส่งกลิ่นหอบอบอวลเย้ายวนใจ
เฉียวเวยลูบศีรษะอินทรีทองเบาๆ แล้วเอาผลอันนั้นตำเป็นชิ้นๆ ป้อนใส่ปากมัน “ผลสองภพที่ข้าเอามาด้วยกินไปหมดแล้ว เหลือแค่ผลนี้ผลเดียว เจ้ากินแล้วต้องดีขึ้นให้ได้นะ อย่าให้ผลสองภพของข้าเสียเปล่า รู้หรือไม่”