ตอนที่ 366 จิ่งอวิ๋นเฉลียวฉลาด สู้กับสวินหลัน
ชายร่างกำยำถูกกระทำจนนึกสงสัยในชีวิต ชั่วชีวิตนี้เขาไม่อยากได้พานพบเจ้าเด็กอ้วนนี้อีกแล้ว แน่นอนว่าโชคร้ายของเขายังไม่จบที่เท่านี้ เถ้าแก่สงสัยว่าเขาเป็นขโมย หลังจากลากเขาออกไปแล้ว ถึงแม้จะกลัวว่าหากเรื่องราวใหญ่โตไปจะส่งผลต่อการค้าของเขา ดังนั้นจึงไม่ได้แจ้งต่อทางการ แต่เถ้าแก่ซ้อมเขาเป็นการส่วนตัวไปยกหนึ่ง! หากเป็นเมื่อก่อนชาวบ้านที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงกระทั่งจับไก่ แค่นิ้วเดียวของชายร่างกำยำก็สามารถบดขยี้อีกฝ่ายให้ถึงแก่ชีวิตได้แล้ว แต่ก็จนใจด้วยบาดแผลที่วั่งซูฝากเอาไว้ เวลานี้กลับเป็นอีกฝ่ายที่ใช้แค่นิ้วมือเดียวก็สามารถบดขยี้เขาถึงตายได้แล้ว
ชายร่างกำยำถูกซ้อมจนหายใจรวยริน เถ้าแก่ถึงได้ยอมรามือเสียที เขาสะบัดแขนเสื้อ เดินฮึดฮัดออกไปจากตรงนั้น ตัวเขาเดินไปไกลแล้วยังกลับมากระทืบแถมให้อีกทีหนึ่ง “ไปฟ้องแม่เจ้าไป!”
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม สหายที่มีหน้าที่มารับช่วงต่อก็มาตามหาเขา แต่หาอยู่เป็นครึ่งค่อนวันก็ไม่เจอตัวชายร่างกำยำเสียที
“ไปอยู่ไหนนะ” สหายบ่นพึมพำ
ชายร่างกำยำ “อยู่ใต้เท้าเจ้า…”
สหาย “…”
สหายพาตัวชายร่างกำยำกลับไปยังรังชั่วคราวของพวกเขา รังแห่งนี้อยู่ในป่าลึกแห่งหนึ่ง ก่อนหน้านี้มีคนเคยทำเหมืองอยู่ที่นี่ แต่ก็จนใจด้วยทรัพยากรมีไม่มากนัก ไม่เท่าไรก็ย้ายออกไป พวกเขามาค้นพบสถานที่ที่เหมาะเจาะแห่งนี้แล้วลอบก่อสร้างกลายเป็นบ้านพักหลังเล็ก
บุรุษคนหนึ่งมองลูกน้องที่เดินออกไปแต่นอนกลับมา ริมฝีปากที่ไร้สีเลือดกระตุกเล็กน้อยอย่างดูแคลน “เศษสวะ”
สหายของชายร่างกำยำมีชื่อว่าหร่วนซาน หร่วนซานก้มหน้าฟังอีกฝ่ายด้วยท่าทางนอบน้อม ไม่กล้ากระทั่งหายใจแรง จนเมื่ออีกฝ่ายคลายความขุ่นเคืองลงแล้ว ลมหายใจสงบขึ้นแล้วเขาถึงได้กล้าเอ่ยขึ้นว่า “ให้ข้าไปเถิด!”
บุรุษผู้นั้นเหลือบตาขึ้นมาอย่างเรียบเฉย “ไม่ต้องแล้ว ล้มเหลวแค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว ครั้งนี้ข้าจะออกไปจัดการเอง”
บุรุษผู้นั้นไปที่สำนักศึกษาด้วยตนเอง กำแพงอันสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่สำหรับเขาแล้วเป็นเพียงของประดับเท่านั้น องครักษ์ที่วรยุทธ์ล้ำเลิศหลายคนกระจายกันอยู่ตามกำแพงสูง แต่เขากลับทำให้ไม่มีใครรู้ตัวเลยสักนิด
ในสวนผลไม้มีต้นไม้ปลูกอยู่จำนวนไม่น้อย ทั้งต้นพุทรา ต้นส้ม ต้นท้อเป็นต้น เวลานี้ต้นที่ใหญ่และงดงามที่สุดคือต้นส้ม จิ่งอวิ๋นปีนขึ้นบนกิ่งไม้ เด็ดส้มลงมาสิบกว่าผล แต่ละลูกทั้งเหลือง ทั้งอวบ ทั้งใหญ่ แต่กระนั้นตรงปลายกิ่งกลับยังมีผลที่ใหญ่ที่สุดอยู่อีก แทบจะใกล้เคียงเป็นผลส้มโอเลยก็ว่าได้ จิ่งอวิ๋นคิดจะปีนไปเก็บ แต่ยิ่งปีนไป กิ่งไม้ก็ยิ่งเรียวลงเรื่อยๆ ยิ่งรับน้ำหนักเขาไม่ได้เข้าไปทุกที เขาไม่สามารถปีนไปต่อได้อีก ได้แต่เอื้อมมือผอมบางของตนออกไป แต่เอื้อมอยู่นานก็ยังไปไม่ถึงสักที ในขณะที่เขาคิดจะไปหากิ่งไม้มาเขี่ยส้มให้หล่นลงไปนั้น มือขาวซีดที่ดูคล้ายไร้ซึ่งไออุ่นก็ยื่นมาเด็ดเบาๆ ออกไป
จิ่งอวิ๋นมองตามมือนั้นไปก็เห็นเป็นบุรุษในชุดคลุมสีเทาคนหนึ่ง หมวกเสื้อคลมุปิดลงมาครึ่งหน้าเขา เผยให้เห็นเพียงริมฝีปากที่ไร้สีเลือด กับปลายคางที่ขาวจนแทบจะโปร่งแสง ตรงปลายคางมีรอยบุ๋มน้อยๆ ให้เห็นอย่างงดงาม
“เอาไหม” บุรุษผู้นั้นยื่นส้มไปตรงหน้าจิ่งอวิ๋น
น้ำเสียงที่แก่ชราไม่นับว่าน่าฟังเท่าไรนัก แต่บนหน้าจิ่งอวิ๋นก็อ่านถึงอารมณ์ไม่ออกสักเท่าไร จิ่งอวิ๋นปีนลงจากต้นไม้ รับผลส้มจากมืออีกฝ่ายมาด้วยท่าทีสบายๆ “ขอบคุณมากขอรับ”
บุรุษผู้นั้นยิ้มน้อยๆ ออกมา ดูคล้ายแปลกใจที่เด็กคนนี้ไม่รู้สึกกลัวเขา “เจ้าก็คือจีจิ่งอวิ๋น?”
“ใช่” จิ่งอวิ๋นตอบรับด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วเอาผลส้มเก็บเข้ากระเป๋า
บุรุษผู้นี้ยากนักที่จะแย้มยิ้ม แต่กับเด็กผู้นี้ เขากลับรู้สึกคล้ายกดมุมปากเอาไว้ไม่อยู่ “ข้าชื่อชางจิว”
“อ้อ” สีหน้าจิ่งอวิ๋นดูสงบนิ่งมาก
ชางจิวลูบศีรษะจิ่งอวิ๋นเบาๆ มือของเขาเย็นจัดยิ่งกว่าน้ำแข็งเสียอีก คล้ายเป็นมือของคนตายอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าดูนิ่งดีมาก” ชางจิวบอก
จิ่งอวิ๋นไม่ได้ตอบอะไร
ชางจิวบอกว่า “ข้ามีธุระกับเจ้าเล็กน้อย เจ้าไปกับข้าที”
จิ่งอวิ๋นชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ต่อต้านอะไร เพียงสะพายกระเป๋าหนังสือขึ้นหลังแล้วออกไปพร้อมเขา
ในขณะที่ชางจิวจูงมือจิ่งอวิ๋นกำลังจะเดินออกไปจากสวนผลไม้นั้น หลิวเกอร์ก็วิ่งตุบตับๆ เข้ามา เขามาเรียกจิ่งอวิ๋นให้ไปเล่นเตะลูกผ้าด้วยกัน แต่มาถึงก็เห็นจิ่งอวิ๋นอยู่กับชายแปลกหน้าคนหนึ่ง
“เจ้าเป็นใครกัน” หลิวเกอร์กะพริบตาขณะถาม เห็นได้ชัดว่าก็ไม่ได้เกรงกลัวเช่นกัน ที่กล่าวกันว่าลูกวัวไม่กลัวเสือนั้น ก็หมายถึงเขานี้เอง
ไม่รอให้ชางจิวเอ่ยปาก จิ่งอวิ๋นเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “เจ้ากลับไปก่อนเถิด อีกเดี๋ยวจะตามไป”
หลิวเกอร์ไม่ยอม “พวกเจ้าจะไปที่ใดกัน”
จิ่งอวิ๋นบอกว่า “ไปซื้อของนิดหน่อย เจ้ากลับไปก่อน”
หลิวเกอร์เบ้ปาก “ข้าจะไปจับพวกเจ้าด้วย!”
จิ่งอวิ๋น “ไม่พาไปหรอก”
หลิวเกอร์เอามือเท้าสะเอว “ก็ข้าจะไปน่ะ!”
ชางจิวมองจิ่งอวิ๋นอย่างมีนัยยะลึกซึ้งแล้วหันไปมองหลิวเกอร์ที่ยืนอยู่ก่อนจะบอกยิ้มๆ ว่า “ได้ ไปด้วยกัน”
น้ำเสียงแหบชราของเขาเล่นเอาหลิวเกอร์ใจสั่นสะท้านทันที!
ชางจิวอุ้มเด็กทั้งสองแล้วใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามกำแพงสำนักศึกษาไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่ในตรอก หลิวเกรอ์นั่งอยู่ในรถ จับมือจิ่งอวิ๋นไว้ มองชางจิวด้วยหน้าตางุนงง ชางจิวมองจิ่งอวิ๋นที่สงบนิ่งจนน่าแปลกใจ พอหันไปหลิวเกอร์น้อยที่หน้าตางุนงงราวกับกวางซื่อบื้อแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “อยากกินอะไรหน่อยไหม”
หลิวเกอร์กลืนน้ำลาย
ชางจิวหยิบขนมหน้าตาประณีตน่ากินออกมาจากช่องลับ ขนมนั้นคือขนมถั่วเขียวสอดไส้ถั่วเหลือง แค่กลิ่นหอมก็สามารถทำให้คนอารมณ์ดีได้แล้ว แต่เฉียวเวยบอกไว้ว่าห้ามกินของจากคนแปลกหน้า หลิวเกอร์เลยข่มความอยากกินเอาไว้ ไม่กล้าแตะต้อง กลับเป็นจิ่งอวิ๋นที่หยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่งมาแบ่ง ให้ตนเองครึ่งหนึ่ง หลิวเกอร์อีกครึ่งหนึ่ง
ชางจิงหัวเราะเสียงเบา “บุตรของจีหมิงซิว…”
…
เฉียวเวยใช้เวลาไม่นานก็ได้รู้ว่าเด็กทั้งสองหายตัวไป นางมารับเด็กๆ ตามปกติแต่กลับเห็นวั่งซูเพียงคนเดียว วั่งซูยืนอยู่ข้างๆ อาจารย์ซุนที่อยู่ในอาการกระสับกระส่าย ตั้งแต่วั่งซูบอกว่าไม่เห็นพี่ชายกับหลิวเกอร์มาเสียที อาจารย์ซุนก็ให้คนออกไปตามที่สวนผลไม้ทันที จิ่งอวิ๋นเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากสวน แต่เขาเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายมาตลอด ไม่มีทางหนีไปซุกซนที่ไหน ดังนั้นหากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย เขาน่าจะยังอยู่ในสวนผลไม้ แต่ก็จนใจที่ทุกคนตามหากันจนแทบจะพลิกสวนผลไม้แล้วก็ยังไม่พบร่องรอยเด็กทั้งสองเสียที อาจารย์ซุนเลยให้ขยายขอบเขตการตามหาเป็นทั่วทั้งสำนักศึกษา แต่ก็ยังไม่เจออะไรอยู่ดี
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” เฉียวเวยจับไหล่บุตรสาวไว้
วั่งซูตอบด้วยสีหน้างงงวยว่า “ก็ไม่มีอะไรนี่ แค่ว่าข้ากับหลิวเกอร์ยิงท่านอาคนหนึ่งจนได้รับบาดเจ็บ จากนั้นพวกข้าก็พาท่านอาไปหาอาจารย์จย่า แต่อาจารย์จย่าไม่อยู่ ข้าเลยจัดการทำแผลให้ท่านอา พอทำแผลเสร็จก็มีท่านลุงคนหนึ่งมารับตัวท่านอาไป ข้ากับหลิวเกอร์ก็ไปเล่นที่สนามหญ้าต่อ ตอนหลังหลิวเกอร์ก็จะไปหาพี่ชาย จากนั้นก็หายไปกันทั้งสองคนเลย!”
ไม่นานก็สืบจนรู้ว่าท่านลุงที่ว่าคือเถ้าแก่ร้านขายไม้
เถ้าแก่เห็นเฉียวเวยมาด้วยความร้อนใจเลยไม่กล้าปิดบัง เล่าเรื่องว่าตนมาเจอชายร่างกำยำที่ตลาดได้อย่างไร และพาตัวเข้าไปที่สำนักศึกษาอย่างไร รวมถึงจับเขาโยนออกจากสำนักศึกษาอย่างไรให้ให้เฉียวเวยฟังโดยไม่มีตกหล่นแม้สักนิด “…ข้ากลัวว่าหากเรื่องราวใหญ่โตแล้วการค้าข้าจะเสียหายเลยไม่ได้แจ้งต่อทางการ แต่ข้าขอสาบานต่อท่านว่าข้าซ้อมไอเจ้านั่นจนแทบจะหยุดหายใจไปแล้วจริงๆ ไม่มีทางที่เขาจะลักพาตัวบุตรของท่านไปแน่!”
เฉียวเวยมองเถ้าแก่ด้วยสายตาเรียบเย็น เถ้าแก่อยู่ๆ ก็รู้สึกคล้ายว่ามีธนูอันเย็นเฉียบพุ่งเข้ามาปักที่หัวใจ หนาวยะเยือกจนเขาสั่นสะท้านไปหมด
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเย็นว่า “เจ้าพูดมา อาจารย์ซุนเชิญมาวาด”
อาจารย์ซุนรีบตระเตรียมอุปกรณ์แล้ววาดตามที่เถ้าแก่บรรยายทันที จนได้ออกมาเป็นอัตลักษณ์ของชายร่างกำยำผู้นั้น
หลังจากได้ภาพของชายร่างกำยำแล้ว เฉียวเวยก็กลับจวนทันที ส่วนอีกด้านหนึ่ง จีหมิงซิวก็ได้รับข่าวที่เฉียวเวยให้คนส่งมาบอกแล้ว
“ช่วงนี้ทางชายแดนซยงหนีว์ดูมีความเคลื่อนไหวอยู่บ้างจริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นทหารหลงกองร้อยหรือโจรป่า พวกเราจะไม่ระวังตัวไว้ก่อนไม่ได้…เอ้ย เอ้ย! อัครเสนาบดีเจ้าจะไปที่ใด” แม่ทัพตัวหลัวเอ่ยไปได้ครึ่งทาง จีหมิงซิวก็ลุกเดินออกไป
ตอนจีหมิงซิวเร่งรุดเดินทางกลับมายังบ้านตระกูลจีนั้น เฉียวเวยกำลังเอาภาพชายร่างกำยำให้ฟู่เสวี่ยเยียนดู “เจ้ารู้จักคนผู้นี้รึไม่”
ซิ่นฉินตกใจจนเอาผ้าเช็ดหน้าปิดปาก
ฟู่เสวี่ยเยียนเห็นภาพนั้นแล้วสายตาสั่นไหวเล็กน้อย “รู้จัก เขาเป็นลูกน้องของชางจิว มีชื่อว่าเฉิงจู๋”
“ชางจิวเป็นใคร” เฉียวเวยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบว่า “ชางจิวคืออาจารย์ยาของเยี่ยหลัว ที่เยี่ยหลัวอาจารย์ยามีศักดิ์เป็นรองเพียงอาจารย์ไสยเวทเท่านั้น เขาเป็นอาจารย์ยาของวังหลวง ฐานะสูงกว่าอาจารย์ทั่วไปอยู่เล็กน้อย วรยุทธ์ของเขาก็ล้ำเลิศเป็นที่ยิ่ง แม้แต่พี่ใหญ่ข้ามู่ชิวหยางก็ยังไม่ใช่คู่ปรับของเขา”
วรยุทธ์ของมู่ชิวหยางนับว่าล้ำเลิศมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมีคนเก่งกาจกว่าเขาขึ้นมาอีก!
แต่ผู้ใดจะสนใจว่าเขาเก่งกาจเพียงใดกัน หากเขาจับตัวบุตรชายนางไป นางจะให้เขาชดใช้ให้สาสม!
เฉียวเวยกดไอเหี้ยมโหดในใจลงแล้วถามฟู่เสวี่ยเยียนว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะติดต่อเขาได้อย่างไร”
ฟู่เสวี่ยเยียนส่ายหน้า
จีหมิงซิวรีบฝุ่นตลบเข้ามา เฉียวเวยลุกขึ้นมองเขาอย่างน่าสงสาร เขาเดินเข้ามาดึงเฉียวเวยเข้าไปกอด ลูบศีรษะนางพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ว่า “ข้าจะต้องหาพวกเขาเจอแน่”
เฉียวเวยสูดดมกลิ่นกายที่คุ้นเคยจากตัวเขา ใจที่เต้นระรัวค่อยๆ สงบขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาไม่เคยทำให้นางผิดหวังมาก่อน เขาบอกว่าต้องหาเจอ ก็ต้องหาเจอแน่นอน
…
รถม้าเคลื่อนตัวเข้าไปในป่าลึก ตลอดทางนั้นจิ่งอวิ๋นคอยสอดส่องทิวทัศน์ด้านนอกตลอดเวลา ชางจิวไม่ได้ห้ามปรามเขา สำหรับชางจิวแล้ว เด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมตัวเท่านั้นได้ตกลงมาอยู่ในแหอันใหญ่แล้ว ขอเพียงเขาไม่แหวกเปิดทางออกให้ เจ้าเสือยังไม่หย่านมตัวนี้ก็อย่าคิดว่าจะหนีพ้นจากเงื้อมมือเขาไปได้เลย
ชางจิวลงจากรถม้า รถม้าออกจะสูงเล็กน้อยเขาจึงยื่นมือขาวซีดของตนไปคิดจะอุ้มจิ่งอวิ๋นลงมา
“ไม่เป็นไร” จิ่งอวิ๋นปฏิเสธน้ำใจที่จะช่วยเหลือของเขาแล้วกระโดดลงจากรถม้าด้วยตัวเอง ทั้งยังช่วยจูงหลิวเกอร์ลงมาด้วย
เวลานั้นในที่สุดหลิวเกอร์ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว เพราะท้องฟ้าเริ่มมืด แต่พวกเขายังไม่ได้กลับบ้าน เขาอยากกลับบ้าน
จิ่งอวิ๋นจูงมือหลิวเกอร์ไว้ หลิวเกอร์จับมือจิ่งอวิ๋นไว้แน่นจนฝ่ามือชื้นเหงื่อ