ตอนที่ 2,703 : พื้นที่ลวงตา อันน่าสิ้นหวัง

เมื่อเกือบปีที่แล้ว ตอนที่ต้วนหลิงเทียนตัดสินใจว่าจะออกจากมณฑลจิ่วโยวนั้น เขาก็ได้ย้อนกลับไปยังเมืองเฉวี่ยโยว ซึ่งเป็น 1 ใน 9 เมืองของมณฑลจิ่วโยวก่อน

เมืองเฉวี่ยโยวที่ว่า ยังเป็นเมืองแรกที่เขาเจอหลังขึ้นมายังหลิงหลัวเทียน

และการไปเมืองเฉวี่ยโยววันนั้น ก็ทำให้เขาได้รับทราบจากหลิ่วเฟิงกู่ว่า…มีสตรีชราอันทรงพลังนางหนึ่ง ที่น่ากลัวว่าจะมีพลังฝีมือเหนือกว่าชนชั้นผู้ว่าการมณฑล…มาถามหาเบาสะของเขา! และหลิ่วเฟิงกู่ก็สัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าฟันของอีกฝ่ายที่มีต่อเขา!!

วันนั้นหลังออกจากเมืองเฉวี่ยโยว เขาก็เชื่อฟังคำแนะนำของหลิ่วเฟิงกู่ และตัดสินใจว่าจะไม่เสี่ยงเดินทางไปเข้าร่วมการประลอง 16 มณฑลของวังฉินอีกต่อไป

จนกระทั่งผ่านไปไม่กี่เดือน เขาที่เดินทางมาถึงเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งของมณฑลหม่าหยา ได้ซื้อยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่าฝุ่นจับมาจากแผงลอยเล็กๆแห่งหนึ่งในราคา 10 หินอมตะระดับสูง!

โชคดีนักที่ผู้คนในเมืองเล็กๆไม่มีใครรู้จักยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่านี้เลย! มันถึงขั้นถูกวางทิ้งไว้จนฝุ่นจับมานานปี กระทั่งเอามาเลหลังขาย!!

ตั้งแต่ที่ขึ้นมายังหลิงหลัวเทียน ต้วนหลิงเทียนก็ชอบซื้อยันต์อมตะเก็บความทรงจำ เพื่อเรียนรู้เรื่องราวจิปาถะต่างๆอยู่เสมอ รวมไปถึงความรู้เรื่องยันต์อมตะชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะตอนอยู่เมืองเฉวี่ยโยว หรือเมืองประจำมณฑลจิ่วโยว เขาก็ซื้อหายันต์อมตะเก็บความทรงจำเท่าที่มีมาจนหมด ไม่ได้เสียดายหินอมตะที่จับจ่ายไปแม้แต่น้อย…ทำให้เขาได้รู้เรื่องราวทั่วไปมากมายนัก

เรื่องยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่าก็เช่นกัน เป็นเขารู้จักมันจากยันต์อมตะเก็บความทรงจำแผ่นหนึ่งที่ซื้อมาจากเมืองประจำมณฑลจิ่วโยว

เช่นนั้นพอเจอของจริงเข้า แม้ว่ามันจะเก่าจนสภาพแทบดูไม่ได้ ไม่ต่างอะไรจากยันต์อมตะหลบหนีระดับต่ำๆ แต่เขาก็บอกได้ทันที ว่ายันต์เก่าๆไม่มีใครสนใจในแผงลอยข้างถนนแผ่นนี้…ที่แท้มีค่าขนาดไหน!

ยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่า! อย่างน้อยๆหากคิดจะจารึกสร้างก็ต้องบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะก่อน! อย่างไรก็ตามกระทั่งตัวตนขอบเขตราชาอมตะชนชั้นยอดฝีมือ หากคิดจะสร้างยันต์นั่นขึ้นมา ยังมีโอกาสสำเร็จไม่ถึง 1 ใน 100 ส่วนด้วยซ้ำ แถมวัตถุดิบที่ต้องนำมาใช้ทำน้ำยาเพื่อจารึกอาคมก็แพงเหลือเกิน

เมื่อกระตุ้นใช้งาน ยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่าจะส่งตัวผู้ใช้ให้เคลื่อนย้ายจากจุดเดิมไปกว่าล้านลี้…แถมยังทิ้งร่องรอยไว้ทั่วทิศ สามารถหลบหนีภายใต้สายตาของตัวตนที่มีพลังฝึกปรือต่ำกว่าราชาอมตะได้แน่นอน…

เป็นเพราะมียันต์หลบหนีเงาว่างเปล่านี้เอง ต้วนหลิงเทียนจึงบังเกิดความกล้าไปเข้าร่วมงานประลอง 16 มณฑล

ยิ่งไปกว่านั้นเขาอยากเข้าไปยังงานประลองเป็นการลับโดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตน

เช่นนั้นเขาจึงเลือกไปสอบวัดรดับปรมาจารย์อมตะ เพื่อให้ตัวเองมีความสำคัญ หลังจากนั้นก็ไปเข้าร่วมกับนิกายมังกรบิน กลายไปเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของนิกายมังกรบิน และขอสิทธิ์ไปดูชมการประลองมาในที่สุด

เมื่อถึงวันงานเขาก็คอยเฝ้าจับตาดูว่า หญิงชราที่หอบเขตนาฆ่าฟันมาถามหาตคัวเขาจากเจ้าเมืองหลิ่วนั่นจะมาหรือไม่ เพราะอย่างไรเสีย…เบาะแสสุดท้ายที่อีกฝ่ายมีก็คืองานประลอง 16 มณฑลเท่านั้น! ถ้าเขาจะลงประลองอย่างไรก็ต้องเปิดเผยตัว!!

และถ้าเขาเปิดเผยตัว หากหญิงชรามาดักรอเขาจริงและร้ายกาจเกินสู้ไหว เขาก็จะใช้ยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่าทันที

แต่ไม่ต้องกล่าวถึงประเทศอมตะระดับกลางอย่างประเทศอวิ๋นเหยียน ต่อให้เป็นประเทศอมตะระดับสูงที่ทรงพลังกว่าประเทศอวิ๋นเหยียน ยังไม่อาจพบเจอยันต์หลบนีเงาว่างเปล่าได้สักแผ่นด้วยซ้ำ…

ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงรู้ดีว่าว่ายันต์หลบหนีเงาว่างเปล่านั้นมีคุณค่ามากขนาดไหน!

หากไม่จำเป็นเขาก็ไม่คิดใช้

ทำให้เขาที่กลายเป็นแขกกินติมศักดิ์ของนิกายมังกรบินแม้จะเข้าร่วมชมงานประลองได้ราบรื่น ก็ไม่คิดจะเปิดเผยตัวออกมา เพราะไม่อยากจะเสี่ยง

เขาตัดสินใจไม่เสี่ยงจนกระทั่ง เถียนจี้หวี่ผู้ว่าการมณฑลจิ่วโยววิงวอนขอซื้อเวลาให้เขา…

วินาทีนั้นเขารู้ดีแก่ใจ

หากหญิงชราไม่มา ไม่เพียงแต่เขาจะคว้าอันดับ 1 ในการประลอง 16 มณฑลได้ง่ายๆ เขายังไม่ต้องเสียยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่าอีกด้วย

แต่ถ้าหญิงชรามาซุ่มดักรอเขาจริง ไม่เพียงแต่เขาอาจจะต้องใช้ยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่า เผลอๆเขาอาจไม่มีเวลามากพอจะคว้าอันดับ 1 ในการประลองด้วยซ้ำ

เว้นเสียแต่หญิงชรานั่นจะไม่ใช่คู่มือของอ๋องฉินแห่งวังฉิน ถึงตอนนั้นอ๋องฉินต้องลงมือขัดขวางนางแน่

‘ครั้งนี้นับว่าเสียหายหลายจริงๆ…อย่างไรก็ตามเท่านี้ ก็ถือว่าข้าไม่มีอะไรติดค้างกับเถียนจี้หวี่และอาวุโสเจิ้งชิวอีกต่อไป’

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนรู้ดีต่อให้จะมานึกเสียใจอะไรมันก็เท่านั้น เพราะโลกหล้าไม่มีโอสถรักษาอาการเสียใจ

ในเมื่อเรื่องมันเลยเถิดมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่าจะคิดมากเท่าไหร่ก็ไม่มีประโยชน์

ดังนั้นเขาเลยสบายๆ และยอมรับมันได้ไม่ยาก

‘แต่น่าสงสารผู้ว่าเถียนจริงๆ สุดท้ายจวบจนตายก็ไม่มีโอกาสได้กินโอสถต้าหลัว…’

นึกถึงฉากสังหารที่หญิงชราคร่าชีวิตเถียนจี้หวี่ ต้วนหลิงเทียนอดส่ายหน้าไม่ได้ อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบอะไร

เขากับเถียนจี้หวี่ไม่ได้มีมิตรภาพอะไรกัน ทั้งหมดเพียงมีผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น

เขาเชื่อว่าถ้าหากการฆ่าเขาจะทำให้ได้โอสถต้าหลัวเพิ่มขึ้นอีกเม็ด เถียนจี้หวี่ไม่พ้นต้องลงมือฆ่าเขาทันทีแน่นอน…

ดังนั้นต้วนหลิงเทียนเลยไม่ได้สลดอะไรกับการตายของเถียนจี้หวี่แม้แต่น้อย

หากจะกล่าวว่าในใจเขารู้สึกอย่างไรกับการตายของเถยีนจี้หวี่กันแน่ ก็คงบอกได้แค่คำเดียวว่าสงสารเท่านั้น เพราะสุดท้ายอีกฝ่ายก็ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้รับประทานโอสถต้าหลัวที่ใฝ่ฝันด้วยซ้ำ…

‘จะยังไงก็แล้วแต่…สุดท้ายพอได้รู้เรื่องความเป็นมาของมู่หรงปิงแบบนี้ ก็นับว่าไม่ได้เสียหายอะไร’

ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว

สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกประสบผลสำเร็จมากที่สุดจากการกระทำครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ได้รับอันดับ 1 ในการประลอง 16 มณฑล ดั่งที่รับปากเถียนจี้หวี่และเจิ้งชิวเอาไว้

แต่สำหรับเขาสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกประสบผลสำเร็จมากที่สุดก็คือ ได้รู้ความเป็นมาของมู่หรงปิง!

‘ที่แท้เจ้าก็เป็นคนของนิกายสือหังเซียนนี่เอง…ข้าเชื่อว่าสักวันพวกเราต้องได้เจอกันอีกแน่’

เงาของสตรีร่างบางในชุดสีม่วงอ่อน ที่ได้พบเจอเมื่อไม่กี่ปีก่อน เริ่มปรากฏขึ้นในใจต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง

แต่ให้กล่าวกันตามตรง ต้วนหลิงเทียนไม่ได้มีความรู้สึกใดๆกับมู่หรงปิงเลย!

ทว่านางได้ตกเป็นของเขาไปแล้ว กระทั่งนั่นยังเป็นครั้งแรกของนาง เช่นนั้นเขาในฐานะลูกผู้ชายย่อมต้องมีความรับผิดชอบเป็นธรรมดา ทำให้เขาตัดสินใจจะรับผิดชอบนาง

อีกทั้งแต่นี้ต่อไป มู่หรงปิง เป็นได้แค่ผู้หญิงของเขาเท่านั้น!

เขาไม่อนุญาตให้ชายอื่นมาแตะต้องนางได้!

หลังจากได้รู้ความเป็นมาของมู่หรงปิง ถึงแม้ในใจต้วนหลิงเทียนจะรู้ดีว่าวันหน้าหากเขาร้ายกาจขึ้นและก้าวไปยังเวทีที่ยิ่งใหญ่ขึ้นสุดท้ายวันหนึ่งเขาก็ต้องรู้อยู่ดี แต่ทว่านั่นมันคงอีกนาน

เช่นนั้นแล้วนับว่าการใช้ยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่าไปเพื่อแลกกับข้อมูล ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเท่าไหร่

ยิ่งไปกว่านั้น หากวันนี้ไม่ได้ใช้ยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่า บางทีเขาอาจไม่มีโอกาสได้รู้เรื่องความเป็นมาของนางเลยก็ได้! พอคิดได้แบบนี้เขาก็ไม่รู้สึกเสียดายอะไรอีกต่อไป…

เพราะในสายตาของเขา

มูลค่าของยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่า มันเทียบไม่ได้กับมู่หรงปิงที่ถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องเป็นผู้หญิงของเขา!

‘ว่าแต่…นี่มันยังไงกันแน่? ข้าเหาะมาตั้งนานแล้วทำไมยังออกจากหุบเขาบ้าๆนี่ไม่ได้ซะที?’

ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างอยู่บนฟ้าเหนือหุบเขาเปลี่ยวร้างวังเวง อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ เพราะไม่ว่าเขาจะเหาะไปนานเท่าไหร่สภาพแวดล้อมเบื้องล่างก็ยังมีแต่หุบเขารกร้างไม่แปรเปลี่ยน

“หืม!?”

ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนที่เหาะอยู่ดีๆ ก็พบว่าเสมือนมีแสงสว่างหนึ่งวาบขึ้น!

และครู่ต่อมาเขาก็จำต้องขมวดคิ้วยู่ย่น เพราะบัดนี้รอบๆตัวเขาได้เต็มไปด้วยหิมะ มองไปทางไหนก็มีแต่ทุ่งหิมะ ยอดเขาสีขาวโพลน กับธารน้ำแข็งเยียบเย็นต้องสะท้อนแสงตะวันแลดูงดงามไม่น้อย

“ภาพลวงตางั้นเหรอ?”

ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้โดยพลัน ว่าเขาสมควรอยู่ในพื้นที่มายาอะไรสักอย่าง ที่สำคัญยังไม่ใช่พื้นที่ลวงตาธรรมดาๆ

หากสภาพแวดล้อมมันคงสภาวะเดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้ เกรงว่ากว่าเขาจะรู้ตัวคงอีกนาน! แต่ทว่าอยู่ๆมันก็เปลี่ยนจากหุบเขารกร้างว่างเปล่าเป็นทัศนียภาพดั่งแถบขั้วโลก เขาจึงรู้ตัวได้ทันที…

‘ในเมื่อที่นี่สมควรเป็นพื้นที่ลวงตาอะไรสักอย่าง…งั้นมาลองดูกันว่าจะทำลายมันได้หรือไม่’

พื้นที่ลวงตาที่เขากำลังเผชิญอยู่ไม่พ้นต้องเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของมนุษย์ เช่นนั้นหากเขาคิดจะทำลายมันทิ้ง สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือตามหา ‘แก่นกลางพื้นที่ลวงตา’ แห่งนี้ให้พบ!

แก่นกลางของพื้นที่ลวงตา ก็ไม่ต่างอะไรจาก ‘ตา’ ของค่ายกลมายา หากเขาทำลายมันได้ ภาพลวงตาทั้งหลายก็จะหายไปเอง พื้นที่ลวงตาแห่งนี้ก็เช่นกัน หากแก่นกลางมันพินาศ มันก็ไม่อาจคงสภาพได้ต่อไป

“พื้นที่ลวงตาแห่งนี้…ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”

หลังผ่านไป 2 วัน 2 คืนเต็มๆ ฉากเรื่องราวรอบกายต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง

โลกน้ำแข็งหายไป

บัดนี้ต้วนหลิงเทียนปรากฏในที่ราบทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ มองไปสุดลูกหูลูกตาก็มีแต่ทุ่งหญ้าขจี ไร้ซึ่งสิ่งใดเป็นจุดสังเกต…

ในสถานที่แบบนี้ การจะหาแก่นกลางพื้นที่มายา ย่อมยากเย็นกว่าเดิม!

‘บ้าจริง…แบบนี้ก็ได้แต่รอฉากต่อไป’

ต้วนหลิงเทียนรู้ดีแก่ใจ ว่าพื้นที่ลวงตาที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ไม่น่าจะมีแค่ 2-3 ฉากแน่นอน และต่อให้จะมีแค่ 3 ฉากจริง เช่นนั้นฉากต่อไปก็ต้องวกกลับเป็นพื้นที่หุบเขาเปลี่ยวร้างวังเวง

ความจริงก็เป็นอย่างที่ต้วนหลิงเทียนคิด

หลังต้วนหลิงเทียนเหินร่างตระเวนหาแก่นกลางพื้นที่ลวงตาอยู่อีกไม่กี่วันอย่างเรื่อยเปื่อย ในที่สุดฉากใหม่ก็ปรากฏขึ้น

ฉากใหม่ครานี้คือพื้นที่ป่ารกชัฏ แถมในป่ายังมีสัตว์ร้ายมากมายหลากหลายชนิด มันเป็นสัตว์ลวงตาที่จะหายไปทันทีเมื่อสัมผัส

ต้วนหลิงเทียนที่ท่องไปทั่วป่าได้ลงมือทำลายทุกสิ่งไม่ว่าจะดอกไม้แปลกๆ สัตว์ลวงตาทั้งหลาย กระทั่งเนินดินที่นูนขึ้นมาผิดปกติ หมายค้นหาแก่นกลางภาพลวงตาของมันให้จงได้ คิดทำลายพื้นที่ลวงตานี่เสีย

ถึงตอนนั้นเขาก็จะออกไปจากที่นี่ได้

อย่างไรก็ตามวันแล้ววันเล่าได้ผ่านพ้นไป จนกระทั่งฉากโดยรอบได้แปรเปลี่ยนไปอีกหลายครั้ง แต่ต้วนหลิงเทียนก็ยังไม่พบแก่นกลางพื้นที่ลวงตาเลย…

‘ไฉนข้าถึงได้ซวยนักเล่า…’

‘ครั้งแรกที่ใช้ยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่า ข้าก็ดันมาโผล่ในพื้นที่ผีสางนี่ซะงั้น…แถมพื้นที่ลวงตาแห่งนี้ดูแล้วไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ท่าทางจะไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้ว!’

ต้วนหลิงเทียนรู้สึกอับจนอยู่บ้าง

แม้การอาศัยความช่วยเหลือจากยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่า จะทำให้เขารอดพ้นเงื้อมมือของยอดฝีมือนิกายสือหังเซียนนั่นมาได้ แต่เขาดันมาติดแหง็กอยู่ในอาณาเขตลวงตาแห่งนี้เสียอย่างนั้น แถมสถานที่แห่งนี้ ดูแล้วยังลึกลับซับซ้อนเป็นที่สุด!

เมื่อหลายวันผ่านพ้นไป หากแต่ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างตามหาแก่นกลางพื้นที่มายาไม่หยุดหย่อนก็ไม่พบแม้แต่เบาะแสใดๆ แถมฉากรอบกายยังเปลี่ยนไปไม่มีซ้ำต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกจนปัญญาอยู่บ้าง

เกรงว่าด้วยอาศัยระดับพลังของเขา การจะตามหาแก่นกลางของพื้นที่ลวงตาแห่งนี้ คงเป็นไปไม่ได้แล้ว…

‘ดูเหมือน…คงอีกนานกว่าข้าจะหลุดพ้นสถานที่ผีสางนี่ได้…’

ต้วนหลิงเทียนได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

และในเมื่อยอมรับชะตากรรมอนาถนี้ได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ปล่อยวางและไม่คิดจะรีบร้อนอะไรอีกต่อไป…

นั่นเพราะเขาตระหนักได้แล้วว่าอาศัยพลังฝึกปรือของเขาตอนนี้ คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาแกนกลางพื้นที่ลวงตาได้พบ…และออกจากพื้นที่ลวงตาผีสางนี่ได้!