ตอนที่ 367-1 จิ่งอวิ๋นเฉลียวฉลาด สู้กับสวินหลัน (2)
ชางจิวกลับมาก็เห็นว่าองครักษ์ในลานนอนล้มระเนระนาดกันอยู่บนพื้น กลิ่นสุราคละคลุ้งอบอวลไปทั่วลาน ประตูใหญ่ของตัวบ้านเปิดกว้าง คนที่อยู่ด้านในไม่รู้หายไปไหนกันแล้ว บรรยากาศรอบกายเขาพลันเย็นจัด “สารเลว! ลุกขึ้นมาให้หมดเดี๋ยวนี้!”
ทุกคนเผยอตาขึ้นอย่างสะลืมสะลือ พอเห็นว่าเป็นชางจิวก็กระวีกระวาดลุกขึ้นทำความเคารพ แล้วยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ
หร่วนซานเป็นหนึ่งในองครักษ์ที่ได้เรื่องได้ราวที่สุดของชางจิว เขาก็เหลือบมองไปยังประตูบ้านที่เปิดอ้าอยู่ก็รู้ทันทีว่าเกิดเรื่องกับสามคนนั้นแล้ว จึงตกใจนหน้าขาวซีด
สายตาเย็นยะเยือกของชางจิวกวาดมองผ่านทุกคน เขาคิดอยากจะเห็นหน้าทุกคน แต่ละคนท่าทางราวกับนกที่อยู่กลางลมหนาว แทบอยากจะซุกหน้าลงกางเกงไปเสียให้ได้ ผู้ใดเลยจะกล้ามองหน้าเขา
“แค่สตรีกับเด็กสองคนก็ยังจับตาดูไว้ไม่ได้ ข้าจะเก็บพวกเจ้าไว้ทำอะไร!”
ทุกคนพากันก้มหน้างุด
ชางจิวเดินเข้าไปอีกหลายก้าว มองไหสุราที่ล้มเกลื่อนอยู่กับพื้น กลิ่นสมุนไพรเหมิงฮั่นอ่อนๆ ลอยอยู่ในอากาศ เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังอดโมโหองครักษ์กลุ่มนี้ไม่ได้ บุรุษอกสามศอกทั้งคณะถูกสตรีนางหนึ่งเล่นงาน ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีอะไรเลยจริงๆ
องครักษ์ทั้งหลายต่างรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากตัวชางจิว จึงไม่กล้ากระทั่งจะหายใจแรง เงียบกริบกันเป็นตั๊กแตนในหน้าหนาวเลยทีเดียว
ชางจิวบอกว่า “ยังยืนบื้ออยู่ไย ยังไม่รีบไปตามจับตัวกลับมาอีก!”
ทุกคนแตกฮือกันเป็นผึ้งแตกรังทันที
ชางจิวหยิบนกหวีดจากแขนเสื้อมาเป่าขึ้นฟ้าเบาๆ สามที จากนั้นนกเหยี่ยวตัวหนึ่งก็ร่อนถลาจากท้องผ้าลงมาบินวนเหนือศีรษะเขา เขาทำสัญญาณมือ นกเหยี่ยวที่สายตาแหลมคมก็บินขึ้นท้องฟ้ายามราตรีไปทันที
ในเวลาเดียวกันนี้ คณะของจีหมิงซิวก็กำลังออกตามหาจิ่งอวิ๋นกันอยู่เช่นกัน
อาจารย์ตาฮั่วสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง ตามหาไปทางเดียวกับจูเอ๋อร์ที่สะพายกระบี่อยู่ด้านหลังเช่นกัน หนึ่งมนุษย์หนึ่งวานรมุ่งหน้ากันไปทางเหนือ จีหมิงซิวกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยมุ่งหน้าลงทางใต้ ส่วนสือชีไปทางตะวันออก ใต้เท้าเจ้าสำนักกับอาต๋าเอ่อร์และนายบ่าวฟู่เสวี่ยเยียนไปทางทิศตะวันตกด้วยกัน
เดิมทีคนที่อยากจะตามจับตัวฟู่เสวี่ยเยียนกลับไปคือมู่ชิวหยาง เวลานี้มู่ชิวหยางถูกจีหมิงซิวจับตัวไว้แล้ว ฟู่เสวี่ยเยียนกลับมาปลอดภัยอีกครั้ง อย่างน้อยตอนออกไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกคนเยี่ยหลัวจับตัวไป เพียงแต่ถึงอย่างไรร่างกายนางก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ ซิ่วฉินจึงอดเป็นห่วงนางไม่ได้
“เจ้าสำนักเฉียวบอกแล้วว่าท่านไม่ต้องมา ท่านก็จะมาให้ได้” ซิ่วฉินบ่นกระปอดกระแปด
ฟู่เสวี่ยเยียนไม่ได้ตอบโต้อะไร
หลังจากได้รู้ข่าวว่าจิ่งอวิ๋นกับหลิวเกอร์หายตัวไป จีหมิงซิวก็จัดการปิดเมืองทันที อย่าว่าแต่เด็กสองคนเลย ต่อให้เป็นแมลงวันสักตัวก็บินออกไปไม่ได้ แต่เมืองหลวงของราชวงศ์ต้าเหลียงใหญ่เกินไปจริงๆ นอกจากเขตเมืองที่เจริญรุ่งเรืองแล้ว ยังมีป่าเขาที่ร่างไร้ผู้คน ดังนั้นการจะตามหาเด็กสองคนในพื้นที่ที่กว้างใหญ่เช่นนี้จึงยากราวกับงมเข็มในมหาสมุทร
ใต้เท้าเจ้าสำนักอุ้มเสี่ยวไป๋เอาไว้ คอยก้มลงมากระซิบถามว่า “เจอจิ่งอวิ๋นรึยัง เจอรึยัง”
เห็นได้ชัดว่ายังไม่เจอ
อาต๋าเอ่อร์บอกว่า “พวกเขาอาจจะนั่งรถม้า พอนั่งรถม้ากลิ่นก็เลยหายไป”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเบ้ปาก “เหตุใดคนที่โดนจับไปไม่เป็นเจ้าเด็กอ้วนนั่นนะ”
เด็กอ้วนนั่นเห็นแก่กิน เห็นแก่ของมีค่า ชอบมาแย่งของกับเขาอยู่เรื่อง เขารำคาญเด็กอ้วนนั้นจะตายอยู่แล้ว! จิ่งอวิ๋นนั้นเป็นเด็กดีจะตาย ทั้งกตัญญูทั้งเงียบสงบ จิ่งอวิ๋นถูกจับไปเขาปวดใจแทบแย่ ที่สำคัญที่สุดคือ เจ้าเด็กอ้วนนั่นแรงอย่างกับช้างสาร ถูกจับไปแน่นอนว่าไม่มีทางเป็นอะไร แต่จิ่งอวิ๋นน้อยของเขาบอบบางราวกับลูกไก่เช่นนั้น แค่ปลายนิ้วก็บี้เขาตายได้แล้ว…
“คุณหนู ระวัง!” ตอนเดินเข้าไปในป่า ที่พื้นที่กิ่งไม้ยื่นออกมาอันหนึ่ง ฟู่เสวี่ยเยียนไม่ทันได้ดูทาง ซิ่วฉินต้องรีบเข้าไปจับนางไว้ หากช้ากว่านี้เพียงก้าวเดียว ฟู่เสวี่ยเยียนคงได้สะดุดล้มลงไปเป็นแน่!
ใต้เท้าเจ้าสำนักโยนเสี่ยวไป๋ทิ้งทันที เสี่ยวไป๋กระแทกพลั่กเข้ากับต้นไม้!
ใต้เท้าเจ้าสำนักยื่นมือไปคว้าแขนฟู่เสวี่ยเยียนไว้แล้วออกแรงดึง ตัวนางเลยถลาเข้ามาชนกับอ้อมอกของใต้เท้าเจ้าสำนัก เขาโอบเอวนางไว้ทันที ฝ่ามือใหญ่ไปลูบถูกท้องนางเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ
เอ๋?
เหตุใดถึงรู้สึกแปลกๆ
เขาลูบซ้ำอีกครั้งและอีกครั้ง
ฟู่เสวี่ยเยียนจับมือเขาออกแล้วเดินออกจากอ้อมแขนอีกฝ่าย ความมืดมิดปิดบังสีหน้านางเอาไว้ เหลือเพียงขนตายาวงอนที่ขยับขึ้นลงเล็กน้อย คล้ายทำให้เห็นถึงความเป็นกังวลที่อยู่ภายใน
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินเข้าไปหา มองตรงไปที่ใบหน้านาง “นี่ เมื่อครู่ข้าลูบถูกท้องเจ้า เหตุใดถึงรู้สึกแปลกๆ”
“เจ้าคนลามก!” ฟู่เสวี่ยเยียนต่อว่าเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ใต้เท้าเจ้าสำนักทำเสียงหึหึที่จมูก “หลับนอนด้วยกันก็ทำมาแล้ว ลูบนิดลูบหน่อยจะเป็นไรไป”
ปลายนิ้วฟู่เสวี่ยเยียนขยับเล็กน้อย ไม่สนใจเขา ก้าวข้ามกิ่งไม้แล้วเดินหน้าต่อไป
“นี่!” ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินตามไป มองใบหน้าด้านข้างที่ดูสมบูรณ์แบบขณะบอกว่า “ท้องเจ้าแข็งมาก แล้วยังดูใหญ่อีกด้วย เจ้าคงไม่ได้…ป่วยเป็นอะไรกระมัง”
ฟู่เสวี่ยเยียนถลึงตาดุๆ ใส่อีกฝ่าย
เขาลูบปลายคางด้วยความฉงนสงสัย “ไม่ได้ป่วยหรือ เช่นนั้นเจ้าให้ข้าลูบดูอีกที”
เขาพูดพลางยื่นมือไปหาท้องของฟู่เสวี่ยเยียน
ฟู่เสวี่ยเยียนจับข้อมือเขาไว้ เอ่ยอย่างไร้เยื่อใยว่า “หากเจ้ากล้าแตะต้องข้าอีก ข้าจะหักมือเจ้าทิ้งเสีย!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยอย่างขี้โกงว่า “เช่นนั้นตอนนี้ที่จับมือข้าอยู่ เจ้าจับข้าไว้ไม่ปล่อยเลย!”
ฟู่เสวี่ยเยียนสะบัดมือเขาออกอย่างเย็นชา
ใต้เท้าเจ้าสำนักจู่ๆ ก็เคลื่อนตัวไปอยู่ข้างซิ่วฉิน แล้วยื่นมือไปลูบท้องนาง ซิ่วฉินถึงกับกรีดร้องลั่น “เจ้าทำอะไรน่ะ!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักชัดมือกลับ ขมวดคิ้วคมเข้มพลางพึมพำด้วยความงุนงง “ท้องเจ้าเหมือนกับของซื่อเหนียง ทั้งนุ่มทั้งราบ เหตุใดท้องของนางยักษ์ถึงได้เหมือนมีอะไรอยู่ในนั้นเลย”
ซิ่วฉินลอบด่าทอในใจว่าเจ้าโง่! ก็ต้องมีอะไรอยู่ในนั้นสิ มีลูกของเจ้าอย่างไร!
ใต้เท้าเจ้าสำนักกระซิบบอกลูกน้องตนว่า “อาต๋าเอ่อร์ ในท้องของนางยักษ์มีบางอย่างอยู่”
มุมปากของอาต๋าเอ่อร์อดกระตุกขึ้นไม่ได้ “นั่นเป็น…”
ยังไม่ทันพูดจบ ฟู่เสวี่ยเยียนก็สะบัดสายตาดุดันมามอง อาต๋าเอ่อร์เลยรีบหุบปากฉับ
เจ้าสำนักไม่พอใจนั้นเป็นเรื่องไม่ดี แต่ทำฮูหยินเจ้าสำนักไม่พอใจยิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่ ถึงอย่างไรกว่าจะมาอยู่ในตำแหน่งผู้พิทักษ์ซ้ายนั้นก็ไม่ได้ง่าย หากทำหลุดมือไปคงน่าเสียดายแย่
พวกเขาเดินหน้ากันต่อไปท่ามกลางความมืด แต่แล้วจู่ๆ อินทรีย์ทองของฟู่เสวี่ยเยียนก็บินลงมาเกาะที่กิ่งไม้ด้านข้าง ในปากมันคาบขนนกอยู่
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองอินทรีย์ทองตัวนั้นด้วยความแปลกใจ อินทรีย์ทองเบิกตาโตมองเสี่ยวไป๋ที่ยืนอยู่ข้างต้นไม้ เผยอจงอยปากมันขึ้นแล้วงาบเสี่ยวไป๋เข้าไป!
ทุกคนพลันหน้าถอดสี อินทรีย์ทองกลืนเข้าไปเล็กน้อยก่อนจะรู้สึกขยุกขยิกในลำคอ มันจึงอ้าปากคายเสี่ยวไป๋ออกมา!
เสี่ยวไป๋เนื้อตัวเปียกเหนียว แลบลิ้นออกมาอย่างคลื่นไส้แล้วกระโดดตูมลงบ่อน้ำด้านข้างไปทันที!
ฟู่เสวี่ยเยียนหยิบขนนกที่นกอินทรีย์ทองคาบมาแล้วเอาส่องกับแสงจากคบเพลิงที่อาต๋าเอ่อร์ถืออยู่ “เป็นนกเหยี่ยวของชางจิว ดูท่าเขาคงกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่เช่นกัน”
ใต้เท้าเจ้าสำนักมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว “คงไม่ใช่ว่าจิ่งอวิ๋นหนีมาจากพวกเขาแล้วกระมัง”
ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้า “เป็นไปได้ เขาไม่มีทางให้นกเหยี่ยวออกปฏิบัติการง่ายๆ นอกเสียจากว่ากำลังหาคนหรือของบางอย่างที่มีความสำคัญยิ่งอยู่”
ในใจเจ้าสำนักพลันนึกยินดี “หากจิ่งอวิ๋นหนีออกมาจริง จะต้องทำสัญลักษณ์ไว้ตามทางแน่ พวกเราแค่ต้องหาสัญลักษณ์ที่จิ่งอวิ๋นทิ้งเอาไว้ก็สามารถพาตัวจิ่งอวิ๋นกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยแล้ว! อาต๋าเอ่อร์! ไปตามหาสัญลักษณ์!”
อาต๋าเอ่อร์ยังนิ่ง
“เหตุใดถึงไม่ไปเล่า” ใต้เท้าเจ้าสำนักถาม
อาต๋าเอ่อร์ “ข้าไม่รู้ว่าสัญลักษณ์ของคุณชายน้อยหน้าตาเป็นอย่างไร”
ใต้เท้าเจ้าสำนัก “…”
เขาก็ไม่รู้
…