War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2709
ตอนที่ 2,709 : รนหาที่ตาย!
“ขอแค่นางลดผ้าลง…เจ้าจะให้หินอมตะระดับสูงกับพวกข้าคนละ 10,000 ก้อน?”
ได้ยินคำของชายหนุ่มในชุดบัณฑิต สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็มืดลงทันใด ลูกตายังหรี่แคบ
ใบหน้างดงามไร้ตำหนิภายใต้ผ้าปิดหน้าของฮ่วนเอ๋อ บัดนี้ก็เปลี่ยนเป็นเยียบเย็นถึงขีดสุด
จนเมื่อต้วนหลิงเทียนแตะมือนางเบาๆ ทั้งกล่าวว่า “ฮ่วนเอ๋อ ให้ข้าจัดการเอง” สีหน้าของนางค่อยหวนคืนสู่ความปกติ ยังพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง
“มิผิด”
เมื่อเห็นฮ่วนเอ๋อพยักหน้า ชายหนุ่มรูปงามในชุดบัณฑิตก็ตบพัดเก็บดัง ปับ! พลางหัวเราะลั่นออกมา แต่ต้นจนจบทำราวกับมันไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของต้วนหลิงเทียนเลย
ส่วนเรื่องที่มันจะไม่เห็นจริงๆหรือแสร้งทำเป็นไม่เห็น คงมีแต่มันเท่านั้นที่รู้…
“เฮ่…นั่นมิใช่นายน้องรองของตระกูลฉี ฉีโหยว หรือไร?”
“ใช่ เป็นมัน!”
“สวรรค์! เพียงเพื่ออยากยลโฉมสตรีนางนั้น มันถึงกับควักหินอมตะระดับสูงออกมาจ่าย 20,000 ก้อนตาไม่กระพริบ…ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลายคนบอกนายน้อยคนรองของตระกูลฉีนั้นใจป้ำ วันนี้ได้เห็นกับตา นับว่าสมคำร่ำลือนัก!”
“ไม่รู้สตรีนางนั้นจะเอาผ้าปิดหน้าออกหรือไม่?”
…
เหล่าคนที่เดินสัญจรไปมาบนถนน อดไม่ได้ที่จะหยุดลงชมมองเรื่องราวที่เกิดขึ้นน และฟังจากเสียงของพวกมัน ยังเผยชื่อและฐานะของชายหนุ่มรูปงามในชุดบัณฑิตออกมาอีกด้วย
ในเมือง ฉีลู่ แห่งนี้ มีตระกูลใหญ่แบ่งกันปกครองอยู่ 2 ตระกูล
เป็นตระกูล ฉี กับตระกูล ลู่
ทั้ง 2 ตระกูลนั้นมีขุมกำลังทัดเทียมกัน เช่นนั้นจึงถ่วงดุลกันมานานนับพันๆปี แม้จะเขม่นกันมากว่าพันปีแล้ว แต่ก็ไม่อาจทำลายอีกฝ่ายได้ สุดท้ายจึงได้แต่อยู่ร่วมกันในเมืองฉีลู่แห่งนี้มานับพันๆปี
“หินอมตะระดับสูงตั้ง 20,000 ก้อน…ไม่ว่าใครก็ต้องหวั่นไหวใช่หรือไม่? หากให้ข้าสัก 2,000 ก้อน ข้ายอมยกเมียน้อยให้คนนึงเลยเอ้า!!”
“ใช่ มากขนาดนี้ใครจะไปอดใจได้ไหว…ข้าเดาว่านางต้องเลิกผ้าปิดหน้าลงแน่!”
“ข้าว่านั่นก็ไม่แน่นักหรอก…ดูบุรุษข้างกายนางก่อนเถอะ สีหน้าพี่แกดุร้ายยิ่ง!”
“ข้าว่ามีเรื่องแน่ๆ…”
…
เหล่าผู้ที่สัญจรไปมาบนถนนก็สังเกตเห็นสีหน้าของต้วนหลิงเทียน และสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอึมครึมชัดเจน
“ให้หินอมตะระดับสูงพวกข้าคนละหมื่นก้อน?”
อยู่ๆต้วนหลิงเทียนที่มองฉีโหยวด้วยสายตาเผยประกายเยียบเย็น ก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงชวนให้หนาวสันหลังว่า “ถ้างั้นหากพวกเจ้ายินดีแก้ผ้าแล้วเดินไปบนถนนทุกเส้นของเมืองฉีลู่สักรอบ…ข้าจะให้หินอมตะระดับสูงพวกเจ้าคนละแสนก้อนเอาไหม?”
พร้อมกันกับที่เสียงเย็นชาของต้วนหลิงเทียนดังจบคำ รอยยิ้มที่มุมปากของฉีโหยวก็ชะงักค้าง ลูกตาชายชราทั้ง 2 ที่มองจ้องต้วนหลิงเทียน ยังฉายแววเยียบเย็นออกมาทันใด
โอ!
ด้านเหล่าคนเดินถนน ก็ได้แต่ฮือฮากันใหญ่
“ห๊ะ? อะไรนะ ข้าได้ยินผิดไปหรือไม่?”
“เหอะๆ สหายผู้นั้นเสียสติไปแล้วหรือไร นั่นมันน้อยนายร้องตระกูลฉีเชียวนา…แต่กลับกล้าฉีกหน้าผู้อื่นกลางถนน?”
“หาที่ตาย! รนหาที่ตายแท้ๆ!!”
…
เมื่อเหล่าผู้ที่สัญจรผ่านไปมานถนนมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง สายตาก็ทำราวกับกำลังมองคนตาย!
“พวกเจ้าจะลงมือก็ได้…ตราบใดที่พวกเจ้ามั่นใจว่าจะรับผลที่ตามมาได้ไหว”
หลังจากเห็นฉีลู่หันไปส่งสายตากับชายชราทั้ง 2 ต้วนหลิงเทียนก็มองจ้องอีกฝ่ายพลางกล่าวเสียงเรียบ
และหลังกล่าวจบคำ เขาก็หันไปพูดกับฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้มว่า “ฮ่วนเอ๋อ พวกเราไปกันต่อเถอะ”
พูดจบ ต้วนหลิงเทียนก็หันหลังกลับและเดินต่อทันที
ฮ่วนเอ๋อก็หันหลังกลับ เดินตามไปทันที
ชายหนุ่มรูปงาม กับชายชราทั้ง 2 ตอนนี้ ได้แต่มองต้วนหลิงเทียนที่หันหลังเดินจากไปด้วยความอึ้งพวกมันนึกไม่ถึงจริงๆว่าอีกฝ่ายถึงกับกล้าขู่พวกมันแบบนี้!
ในขณะที่สีหน้าพวกมันเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว และคิดจะลงมือกู้หน้านั้นเอง
“จึกๆๆ…คุณชายเล็กตระกูลฉี กลับไม่แม้แต่จะมีปัญญาทำให้สตรีนางหนึ่งเอาผ้าปิดหน้าลงได้ คราวนี้นับว่าเจ้าทำให้ตระกูลฉีต้องอับอายขายขี้หน้าผู้คนโดยแท้!!”
เสียงจุ๊ปากทั้งกล่าวเย้ยยหยันหนึ่งดังขึ้น เป็นชายหนุ่มในชุดจอมยุทธ์ก้าวอาดๆเข้ามา ในมือคลึงลูกแก้วสองลูกเล่นดังก็อกแก็ก ร่างมันผู้นี้ช่างสูงใหญ่ ด้วยไว้หนวดเครา จึงแลดูดุดันไม่ใช่เล่น
และตอนนี้มันก็กำลังมองไปยังนายน้อยรองของตระกูลฉีด้วยสีหน้าแววตาสนุกสนาน
“นั่นมันนายน้อยลู่!”
“ให้ตายเถอะ วันนี้มันวันอะไรกัน…ไฉนนายน้อยของตระกูลลู่กับนายน้องรองตระกูลฉีถึงมาปรากฏตัวพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายได้!”
“ทั้ง 2 เขม่นกันมาตลอด…ข้าว่าวันนี้ต้องมีคนเจ็บ!”
…
พอเห็นชายหนุ่มในชุดจอมยุทธ์ปรากฏตัวขึ้น ผู้คนก็กระซิบกระซาบกันเสียงดังระงม
“ลู่เหวินปิน”
เมื่อเห็นลู่เหวินปิน นายน้อยตระกูลลู่มาถึงพร้อมกล่าวแซะ สีหน้าฉีโหยวก็เปลี่ยบนเป็นมืดดำเอ่ยออกเสียงหนักว่า “เจ้าบอกว่าข้าไม่มีแม้แต่ปัญญาจะเอาผ้าปิดปากผู้หญิงลง? ลู่เหวินปิน…เจ้าคิดว่าสิ่งที่ข้านายน้อยผู้หล่อเหลานี้ยังทำไม่ได้ แล้วตัวเจ้าที่หน้าตาอุบาทว์ ยังจะมีปัญญาทำได้หรือ?”
ฉีโหยวเดิมทีก็ทนท่าทางไม่เห็นหัวของต้วนหลิงเทียนไม่ไหวจนคิดจะลงมืออยู่แล้ว แต่มิคิดกลับถูกขวางเสียก่อน
และเมื่อถูกลู่เหวินปินเข้ามาขัดจังหวะ มันที่หัวร้อนเพราะต้วนหลิงเทียนอยู่ ก็พอได้สงบอารมณ์ลง จากนั้นจึงสามารถพิจารณาเรื่องราวได้ละเอียด
สตรีข้างกายชายหนุ่มชุดม่วงนั่น ช่างเย็นชาและให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน…ไม่คล้ายจะเป็นเซียนอมตะทั่วๆไป
ควบคู่ไปกับท่าทีแข็งกร้าวของชายหนุ่มชุดม่วงที่ไม่ไว้หน้าผู้ใด จนมันคิดว่าอาจเป็นการเสแสร้งนั่น…
พอเอามารวมกันแล้ว
ก็ทำให้มันตระหนักอะไรได้บางอย่าง!
บางทีชายหนุ่มชุดม่วงนั่นอาจไม่ได้พูดลอยๆ แต่เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายมีพลังอำนาจกล้าแข็งจริงๆ ถึงขั้นไม่กลัวตระกูลฉีเบื้องหลังมัน เลยกล้าพูดแบบนั้นกับมัน
ดังนั้นตอนนี้มันจึงคิดยืมมีดฆ่าคน อาศัยลู่เหวินปินสมองกล้ามเนื้อนี่ ไปทดสอบชายหนุ่มชุดม่วงแทน!
“หน้าเจ้าเถอะอุบาทว์! อย่างข้านายน้อยหรือจะไม่มีปัญญาทำได้?”
ได้ยินคำต่อว่าทั้งเย้ยหยันของฉีโหยว ลู่เหวินปินก็มีโมโหเช่นกัน “เจ้าคิดว่าข้าจะใช้การไม่ได้เยี่ยงเจ้าจริงๆหรือไอ้หน้าขาว…ข้าลู่เหวินปินจะให้เจ้าดูกับตา ว่าไม่เพียงข้าจะถอดผ้าปิดหน้าของนางได้ ยังจะทำได้ง่ายดายเพียงใด! ถึงตอนนั้นไอ้หน้าขาวฉีโหยวเจ้า ก็อย่าได้สะเออะมาเห่าหอนต่อหน้าข้าลู่เหวินปินอีก!!”
“ลู่หนัน ไปฆ่าชายหนุ่มผู้นั้นแล้วจับสตรีมาที่นี่ นายน้อยผู้นี้อยากถอดผ้าปิดหน้านางกับมือ แล้วเรามาชมดูกันว่านางงดงามเพียงใด…หากนางสะสวยถูกใจ ข้าจะหิ้วนางกลับไปเล่นแก้ขัดที่ตระกูลลู่ของพวกเราสักสองสามคืน”
แทบจะทันทีที่ลู่เหวินปินกล่าวจบคำ
ชายวัยกลางคนที่มีหนวดเคราแลดูดุร้ายไม่ต่าง นาม ลู่หนัน ก็คิดลงมือตามคำสั่งลู่เหวินปินทันที
“หาที่ตาย!”
เสียงตะโกนอันเย็นชาหนึ่งดังขึ้นประหนึ่งฟ้าถล่มแผ่นดินสะเทือน พาลให้ใจลู่หนันที่คิดลงมือสะท้านสั่นไปไม่น้อย และอย่าว่าแต่รับมือใดๆได้ทัน มันไม่ทันได้ตอบสนองสิ่งใดด้วยซ้ำ!
ต้วนหลิงเทียนที่เดิมทีคิดจะจากไปพร้อมฮ่วนเอ๋ออยู่แล้ว พอได้ยินคำพูดของลู่เหวินปินก็มีโมโหนัก!
เช่นนั้นหลังแค่นคำอำมหิตเสียงเย็น พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างก็ดั่งจะกลายเป็นมังกรพิโรธ แล่นผ่านชีพจรสวรรค์ 99 สาย บรรลุถึงช่องพลังทั่วร่างในฉับพลัน!
วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!
…
พริบตาที่พลังต้วนหลิงเทียนปะทุออกมา มันก็กลายเป็นรังสีกระบี่นับพันทอแสงสว่างเจิดจ้า!
นอกจากนั้นเมื่อรังสีกระบี่ปะทุออกมา วังวนพลังดูดรั้งก็อุบัติขึ้นรอบกายต้วนหลิงเทียน เป็นปฐมเวทย์กลืนกินที่สูบกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบราวหลุมดำ ยังผลให้รังสีกระบี่ทรงพลังขึ้นหลายขั้น จากนั้นพวกมันก็ควบรวมก่อเกิดค่ากลกระบี่ จนแสงพลังส่องสว่างจ้าขึ้นทันตาเห็น!!
มองไกลๆเสมือนมีตะวันดวงที่สองอุบัติขึ้นกลางถนน!
พริบตาต่อมา!
ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!
…
ค่ายกลกระบี่ทะยานตัดระยะไปฉับไวสุดที่ผู้ใดจะตั้งตัว พริบตาก็คลุมครอบร่างลู่เหวินปิน! คนถูกรังสีกระบี่นับพันที่ไม่ต่างอะไรจากห่าพิรุณกลืนร่างหายไปทันใด!!
“นายน้อย!!”
แม้ลู่หนันจะยืนอยู่ด้านหลังลู่เหวินปินเพียงไม่กี่ก้าว แต่กว่าจะลงมือก็สายเกินการณ์เสียแล้ว!!
ลู่เหวินปินถูกค่ายกลกระบี่กลืนหายไปในพริบตา!!
และเมื่อรังสีกระบี่นับพันที่ก่อค่ายกลกระบี่อันตรธานหายไป ก็คงเหลือเพียงละอองโลหิตฟุ้งว่อนไปทั่วบริเวณพื้นถนนมองแล้วไม่ต่างจากบุปผาสีเลือดเบ่งบาน เผยความงามชวนสยองประการหนึ่ง
ลู่เหวินปิน นายน้อยอัจฉริยะในรอบพันปีของตระกูลลู่ ผู้ที่จะกลายเป็นผู้นำตระกูลลู่ในภายภาคหน้า…
ตาย!!
ทั้งถนนกลายเป็นเงียบงันไร้เสียงใด…
“ฟืด—!!”
เป็นนายน้อยคนรองสกุลฉี ที่ฟื้นคืนสติก่อนผู้ใด คนสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ ทั่วร่างรู้สึกเสมือนมีไอเย็นขุมหนึ่งแล่นวาบจากปลายเท้าจรดศีรษะ ขนลุกชันตั้งขึ้นอย่างไม่รู้ตัว…
สีหน้าของมันบัดนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวจับใจ จมูดสูดได้กลิ่นความตายคาวคลุ้งชัดเจน…
มันหวาดกลัวแทบตายแล้ว!!
หากไม่ใช่เพราะลู่เหวินปินโผล่ออกมา แล้วถูกมันเสี้ยมให้ไปตอแยชายหนุ่มชุดม่วงนั่นก่อนล่ะก็…
ตอนนี้คงไม่พ้นเป็นมันที่ต้องกลายเป็นหมอกเลือดเกลื่อนพื้น!
ชายชราทั้ง 2 ที่ยืนอยู่ด้านหลังฉีโหยวที่ดึงสติกลับมาได้ มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ลูกตาก็ฉายแววเคร่งเครียดถึงขีดสุด
ใบหน้ายังปรากฏคลื่นแห่งความหวาดกลัวขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า
“ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้…ก็เป็นต้าหลัวจินเซียนเช่นกัน!”
มองจากการลงมือเข่นฆ่าฉับไวของชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า พวกมันสรุปได้ทันทีว่าอีกฝ่ายก็คือต้าหลัวจินเซียนไม่ต่างจากพวกมัน ส่วนเป็นระดับไหนนั้นพวกมันไม่กล้าตัดสิน
อย่างไรก็ตาม หากให้พวกมันสู้กับอีกฝ่าย พวกมันก็ไม่กล้าพูดว่าจะเอาอยู่!
“เจ้า…เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้ฆ่านายน้อยข้า!!”
หลังฉีโหยวและชายชราด้านหลังคืนสติ ลู่หนันก็ได้สติกลับคืนเช่นกัน ใบหน้าอันเต็มไปด้วยหนวดเคราเฟิ้มสั่นระริก ลูกตากลมใหญ่ปานฆ้องเผยจิตสังหารอันเยียบเย็น มือยกขึ้น ปรากฏกระบองอันเขื่องผุดจากความว่างมากระชับถือไว้!
ทันใดนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของมันก็ถ่ายทอดลงสู่ตัวกระบอง คนทะยานฟาดกระบองเข่นฆ่าไปทางต้วนหลิงเทียน!!
ครืน! ครืน! ครืน! ครืน! ครืน!
…
กระบองเขี้ยวหมาป่าของมันอันนี้เป็นศาสตราอมตะระดับต่ำ แม้ขนาดจะใหญ่โตมโหราฬจนร่างลู่หนันแลดูเล็กลงถนัดตา ทว่ายามอยู่ในมือลู่หนันเสมือนไร้น้ำหนักก็ไม่ปาน คนหวดกระบองฟาดขวับๆออกมานับร้อยกระบวน ในเวลาไม่ถึงชั่วอึดใจ อุบัติเป็นคลื่นพลังถักทอร้อยเรียงปานข่ายฟ้าแหสวรรค์ ปกคลุมเข่นฆ่าไปทางต้วนหลิงเทียน!
“หึ!”
ต้วนหลิงเทียนแค่นคำเสียงเย็น ค่อยสะบัดมือเรียกกระบี่อมตะระดับต่ำออกมาจากแหวนพื้นที่ อาศัยหนึ่งห้วงคิด กระบี่ก็หมุนคว้างเร็วรี่ปะทุรังสีกระบี่ออกมาก่อเกิดเป็นค่ายกลกระบี่ ก่อนทะยานออกไปทำลายข่ายพลังของลู่หนันได้อย่างง่ายดาย!
เมื่อทำลายข่ายพลังดั่งแหสวรรค์แล้ว ค่ายกลกระบี่ยังคงพุ่งไปทางลู่หนันอย่างอำมหิต!
เห็นเรื่องราวที่แปรเปลี่ยนไปในฉับพลันเบื้องหน้า ลู่หนันชักหน้าเคร่ง เกร็งพลังทั่วร่าง หวดกระบองฟาดทุบไปทางค่ายกลกระบี่อีกรอบทันที!
อนิจจาเพียงกระบองหวดถูกค่ายกลกระบี่ ก็ไม่ต่างอะไรจากตั๊กแตนคิดหยุดรถม้า ง่ามมือมันปริฉีก กระบองอันเขื่องปลิวละลิ่วหลุดมือไปไหนไม่ทราบ!
ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!
…
เสียงกระบี่กรีดอากาศฉับไวดังขึ้นระรัว เป็นค่ายกลกระบี่ที่ยังไม่สิ้นสภาวะ โถมเข้าไปกลืนร่างลู่หนันอีกคน….
และเมื่อรังสีกระบี่อันตรธานหายไป ก็เหลือเพียงกระบี่อมตะระดับต่ำเล่มหนึ่ง พุ่งแหวกหมอกเลือดที่สมควรเป็นลู่หนันย้อนกลับไปเข้ามือต้วนหลิงเทียนอย่างไร้เรื่องราว…
ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด!
…
ผู้คนที่ตะลึงงันไปเพราะเห็นลู่หนันตกตายคามือต้วนหลิงเทียนในชั่วพริบตา พอฟื้นสติก็ได้แต่สูดลมหายใจเข้าฟอดใหญ่อย่างอดไม่ได้
“ความแข็งแกร่งของมัน…อย่างน้อยๆก็ต้องเทียบได้กับต้าหลัวจินเซียนขั้นปฐพี!”
สีหน้าชายชราทั้ง 2 เบื้องหลังฉีโหยวบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก
และพอฉีโหยวได้ยินเสียงพึมพำของชายชรา มันก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ยังขอบคุณฟ้านัก ที่บันดาลให้มันไม่ไปลงมือกับชายหนุ่มชุดม่วงนั่นก่อน…