ตอนที่ 369-1 ช่วยเหลือสำเร็จ รักษาอินทรีทอง
ตกดึก บ้านชิงเหลียนมีเพียงความเงียบงสงัด
เฉียวเวยนั่งหลังพิงหัวเตียง วั่งซูซบอยู่ที่อกนาง มือน้อยอวบอ้วนจับม้วนผมของนางเล่น เวลานี้ดึกมากแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนเจ้าเด็กขี้เซานี้ไม่รู้หลับฝันไปกี่รอบแล้ว แต่วันนี้ดูเหมือนนางจะไม่ง่วงเลยสักนิด
“หลับเถิด” เฉียวเวยลูบหลังบุตรสาวเบาๆ
วั่งซูถามอย่างน่าสงสารว่า “เมื่อไรพี่ถึงจะกลับมาหรือ”
เฉียวเวยกอดบุตรสาวไว้แน่น ปลายคางถูไถกับหน้าผากนางเล็กน้อย “ไม่นานหรอก ท่านพ่อไปตามหาเขาแล้ว เดี๋ยวเดียวก็กลับมาแล้ว”
“หลิวเกอร์เล่า” วั่งซูกะพริบตาปริบๆ ขณะถาม
เฉียวเวยระบายยิ้มบาง “เขาก็ต้องกลับมาด้วยแน่ เจ้านอนก่อนเถิด ไว้เจ้าหลับตื่นมาพวกเขาก็คงกลับกันมาพร้อมหน้าแล้ว”
“ท่านพ่อเล่า” คำถามของเด็กน้อยมักถามไม่มีวันจบสิ้น ยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมอย่างไม่รู้จักเบื่อ
เฉียวเวยตอบอย่างใจเย็น “ท่านพ่อก็กลับมาพร้อมกับพวกเขาอย่างไร”
วั่งซูร้องอ้อทีหนึ่ง ใบหน้าอ้วนกลมซุกลงกับอกเฉียวเวยมากขึ้น
เฉียวเวยรู้ว่ายามปกติบุตรสาวที่มักมีท่าทางแข็งแกร่ง แต่ในใจก็มีความอ่อนไหวและอ่อนแอของตนอยู่ นางกำลังเป็นห่วงพี่ชาย กำลังคิดถึงพี่ชาย เฉียวเวยตบไหล่น้อยๆ ของบุตรสาวแล้วค่อยกล่อมนางจนหลับไป
หลังจากนั้น เฉียวเวยมองไปยังท้องฟ้าที่ไร้ขอบเขต ใจคิดว่าทางฝั่งจีหมิงซิวจะคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว จะเจอตัวพวกจิ่งอวิ๋นแล้วหรือไม่
…
แสงจันทร์ส่องผ่านชั้นเมฆหนา แสงสีขาวเงินสาดส่องเข้าไปในป่า จิ่งอวิ๋นขยี้ตา เพ่งมองบุรุษที่เดินเข้ามาหาตนจากในป่า พอเห็นว่าเป็นใครก็พลันตาเป็นประกาย “ท่านพ่อ!”
องครักษ์ที่ล้อมรอบจิ่งอวิ๋นอยู่พากันหันขวับไปมอง มือกระชับกระบี่ขณะมองไปยังบุรุษที่เดินบีบเข้ามาหาพวกเขาผู้นั้น บุรุษผู้นั้นอยู่ในชุดขาวผ่อง ใส่หน้ากากครึ่งหน้า ดวงตาที่นิ่งลึกคล้ายสระเหมันต์ที่มองลงไปไม่เห็นก้นบ่อ ทุกคนแค่เพียงได้มองก็รู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เหล่าองครักษ์ก็อดกลืนน้ำลายกันไม่ได้
องครักษ์ที่ยิงธนูล้มลงไปแล้ว องครักษ์อีกคนที่เป็นหัวหน้ากลั้นใจบอกว่า “เจ้าอย่าเข้ามานะ! หากยังเข้ามาอีก ข้าจะฆ่าเขาเสีย!”
เขาพูดพลางเบี่ยงตัวไปใช้กระบี่จ่อที่คอจิ่งอวิ๋น
ไอเย็นยะเยือกค่อยๆ แล่นจากคมกระบี่มาแตะลงบนผิวกาย ทำให้เขาแทบจะตัวสั่นสะท้านขึ้นมา
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าบิดา เขาข่มใจเอาไว้ได้แล้ว
จีหมิงซิวยังคงเดินหน้าต่อไป
ทุกคนพากันตัวสั่น
หัวหน้าองครักษ์ถามอย่างขวัญผวาว่า “ข้าพูดจริงนะ! หากเจ้าก้าวเข้ามาอีกเพียงก้าวเดียว ข้าจะฆ่าเขาเดี๋ยวนี้!”
“เจ้ากล้าหรือ” จีหมิงซิวถามเสียงเรียบ
หัวหน้าองครักษ์ “ข้า…”
หน้าไม้พิฆาตเทวาของจีหมิงซิวเล็งตรงไปที่เขา “หากยังไม่เอากระบี่ออกไปอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้”
องครักษ์มองปลายธนูที่ส่งไอเย็นนั้นแล้วลำคอพลันหดเกร็งขึ้นมาทันที เขากระชับกระบี่ในมือแล้วเอ่ยขู่น้ำเสียงเด็ดขาดว่า “บุตรชายเจ้าอยู่ในมือข้า เจ้ากล้าหรือ!”
ฟิ้ว!
จีหมิงซิวเกี่ยวไกหน้าไม้ ลูกธนูที่วิ่งเร็วกว่าธนูปกติไม่น้อยกว่าสามเท่าพลันแทงทะลุอกองครักษ์ผู้นั้นทันที องครักษ์เซถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่อยากเชื่อ มุมปากมีรอยเลือดไหลออกมา ตามด้วยขาอ่อนคุกเข่าลงกับพื้น ฝืนอยู่ได้ไม่เท่าไรก็ล้มคว่ำลงกับพื้น
ยิงคนต้องยิงม้าก่อน จับโจรต้องเริ่มที่หัวหน้า คนเป็นหัวหน้ายังล้มลงแล้ว ทหารที่เหลือย่อมขวัญเสีย จีหมิงซิวเดินบีบเข้าไปทีละก้าว ทุกคนเขยิบเข้าหากันมากขึ้นเรื่อยๆ จากคราแรกที่เป็นวงล้อมใหญ่กว้างสามเมตร ค่อยๆ หดลงจนแทบจะหลังชนกัน
จีหมิงซิวเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ส่งบุตรชายข้ามาแต่โดยดีเถิด ไม่อย่างนั้นทุกก้าวของข้าจะต้องมีคนตายหนึ่งคน”
เมื่อเขาพูดเช่นนั้นก็ต้องทำอย่างที่พูด
เขาสามารถสังหารพวกเขาทิ้งได้ แต่พวกเขากลับไม่กล้าสังหารจิ่งอวิ๋นจริงๆ เพราะถึงอย่างไรจิ่งอวิ๋นก็ถือเป็นบุคคลสำคัญซึ่งยังมีประโยชน์อีกมาก ผู้ใดสังหารเขา ชางจิวย่อมไม่ปล่อยคนผู้นั้นไว้แน่
หลังจากจีหมิงซิวไล่สังหารไปสามคนติดกัน คนอื่นๆ ที่เหลือในที่สุดก็ทนต่อไปไม่ไหวอีก ยกกระบี่วิ่งปรี่เข้าไปหาจีหมิงซิว
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับเหล่านักฆ่าพรรคโลหิตพิฆาตเลยกรูกันเข้าไปสู้รบกับองครักษ์ของเยี่ยหลัวทันที
องครักษ์หัวหมออาศัยจังหวะชุลมุนอุ้มจิ่งอวิ๋นแล้วออกวิ่งเข้าไปยังป่าลึกที่มืดสนิท แต่ใครจะคิดว่าวิ่งไปยังไม่ทันถึงสองก้าว ก็ถูกจีหมิงซิวที่ไม่รู้วิ่งมาดักข้างหน้าตั้งแต่เมื่อไรเข้ามาขวางเอาไว้
จีหมิงซิวมองเขาด้วยสายตาเรียบเย็น สีหน้าองครักษ์ก็พลันขาวซีด หลังจากเผชิญหน้ากันพักหนึ่ง แขนของเขาก็ค่อยๆ หมดแรง ปล่อยตัวจิ่งอวิ๋นลงกับพื้น ในขณะที่จิ่งอวิ๋นกำลังจะยกเท้าวิ่งไปหาบิดาของตนนั้น จีหมิงซิวก็เข้าไปอุ้มเขาขึ้นมาแล้วหมุนตัวอย่างรวดเร็ว
ลูกดอกสามลูกพุ่งทะยานออกไป ดอกหนึ่งถูกองครักษ์ผู้นั้นจนล้มลงกับพื้นทันที อีกสองดอกวิ่งฉิวผ่านตัวจิ่งอวิ๋นกับจีหมิงซิวไปปักแน่นอยู่กับต้นไม้
“ใต้เท้าอัครเสนาบดีช่างฝีมือดีนัก”
เสียงแหบชราดังขึ้นพร้อมกับบุรุษในชุดคลุมสีเทาที่ค่อยๆ เดินเข้ามา
“ชางจิว” จิ่งอวิ๋นบอกกับบิดา
จีหมิงซิวอุ้มบุตรชายไว้ มองชางจิวด้วยสายตาเยือกเย็น
หากฟังเพียงเสียงจะคิดว่าเขาเป็นชายชราที่ใกล้ลงโลงคนหนึ่ง แต่พอดูใบหน้าเขาแล้วกลับดูว่าอายุไม่ถึงสี่สิบปีเท่านั้น ไม่นับว่าหล่อเหลาหาใดเปรียบ แต่ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าชราอย่างแน่นอน ตรงปลายคางเขายังมีรอยบุ๋มอันงดงามอยู่บางๆ อีกด้วย
ทางด้านนั้นเดิมทีพวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยจัดการองครักษ์ที่จับตัวจิ่งอวิ๋นไว้ได้แล้ว แต่กลับไม่รู้ว่ามีองครักษ์กลุ่มใหม่โผล่เข้ามาจากที่ไหน วรยุทธ์ขององครักษ์กลุ่มนี้แก่กล้ากว่ากลุ่มแรกมากนัก พวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยต้องต่อสู้กับพวกเขาอย่างตึงมือ
พอจีหมิงซิวขยับนิ้วชี้ ลูกธนูก็ขึ้นลำทันที
ชางจิวยิ้มเยาะ “หน้าไม้ของเจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก เจ้าเก็บไว้จะดีกว่า”
“ผู้ใดบอกว่าหน้าไม้นี้เอาไว้ใช้เล่นงานเจ้ากัน” จีหมิงซิวเอาหน้าไม้พิฆาตเทวานั้นส่งให้จิ่งอวิ๋น “รู้หรือไม่ว่าใช้อย่างไร”
จิ่งอวิ๋นพยักหน้า ท่านอารองเคยสอนวิธีใช้หน้าไม้กับเขา
จีหมิงซิววางจิ่งอวิ๋นลงแล้วให้จิ่งอวิ๋นไปยืนอยู่ด้านหลังตน แล้วจึงมองไปทางชางจิวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ชางจิวเดินหมุนรอบตัวจีหมิงซิวไปช้าๆ ระหว่างที่เดินก็หัวเราะเบาๆ ไปด้วย “ข้ารู้ว่าในกายเจ้ามีกำลังภายในอยู่ไม่น้อย แต่ทุกครั้งที่ใช้เจ้าจะต้องทนทรมานอย่างยิ่งยวดจากแรงสะท้อนกลับ หนำซ้ำยาที่เจ้าใช้ก็จะควบคุมพิษฝ่ามือเก้าสุริยันในกายเจ้าได้ยากขึ้นด้วย เจ้าเดาดูสิว่าข้าสามารถรับฝ่ามือเจ้าได้กี่ครั้ง จะทนรับจนเจ้าถูกแรงสะท้อนกลับจนตายได้เลยหรือไม่”
สีหน้าจีหมิงซิวยังคงเดิม “เจ้าแค่ลองดูก็พอ”
ชางจิวเอ่ยสบายๆ ว่า “เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้วนะ”
จีหมิงซิวเอ่ยกับจิ่งอวิ๋นว่า “ยืนห่างไปหน่อย ผู้ใดคิดจะเข้าใกล้เจ้าก็อย่าได้ปราณี”
จิ่งอวิ๋นพยักหน้า ถือหน้าไม้ยืนห่างไปหนึ่งจั้งอย่างว่าง่าย
ชางจิวเดินกำลังภายใน ลมเย็นพลันพัดโหม กิ่งไม้ใบไม้ถูกพัดจนส่งเสียงดังซู่ๆ นกโผบินขึ้นไปด้วยความตกใจ กระพือปีกบินออกไปจากกิ่งไม้
จีหมิงซิวไม่ตกใจแม้จะเกิดลมพัดโหม สายตายังคงสงบนิ่ง สีหน้าเรียบเย็น
ตัวของชางจิวแวบไปมาอย่างน่ากลัว เผยฝ่ามือออกมาพุ่งเข้าใส่จีหมิงซิวอย่างไร้ปราณี แต่กระนั้นลมจากฝ่ามือเขาก็หาได้ต้องถูกตัวของจีหมิงซิวไม่ แต่ถูกร่างใครคนหนึ่งที่กระโดดลงมาจากท้องฟ้าปัดออกไป!
อาจารย์ตาฮั่วลงมือยืนนิ่งอยู่ข้างกายจีหมิงซิว มองชางจิวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แขนครึ่งหนึ่งของชางจิวถึงกับชาดิก เขามองอาจารย์ตาฮั่วแล้วในตาพลันมีประกายบางอย่าง หรี่ตาลงเอ่ยว่า “ยอดฝีมือแห่งชนเผ่าลึกลับ? หึ ก็เพียงเท่านี้เองมิใช่หรือ”
คนปกติหากถูกฝ่ามืออาจารย์ตาฮั่วเข้าไปคงกระอักเลือดสิ้นใจไปแล้ว แต่ชางจิวแค่เพียงแขนชาไปข้างหนึ่งเท่านั้น เห็นได้ชัดว่ากำลังภายในเขาล้ำลึกยิ่งนัก หาได้เป็นรองอาจารย์ตาฮั่วไม่
ชางจิวกับอาจารย์ตาฮั่วประฝีมือกัน แต่ละกระบวนท่าของชางจิวเต็มไปด้วยความดุดัน อาจารย์ตาฮั่วก็ไม่มีอ่อนข้อให้ ช่วงสามสิบกระบวนท่าแรก ไม่มีใครเป็นรองใครทั้งสิ้น แต่ตั้งแต่แลกฝีมือกันกระบวนท่าที่สี่สิบเป็นต้นไป อาจารย์ตาฮั่วก็เริ่มได้เปรียบ หากชางจิวทุ่มกำลังสู้สุดชีวิต บางทีอาจจะไม่ถึงขั้นไม่มีโอกาสชนะเลย แต่กระนั้นในเวลานี้ สือชีก็ดันตามมาถึง
หากรับมือเพียงคนเดียวก็ตึงมือมากแล้ว เช่นนั้นสองคนยิ่งไม่ต้องพูดถึง พอมีสือชีเข้ามาผสมโรงด้วย สถานการณ์ก็แทบจะเปลี่ยนกลายเป็นรุกอยู่ฝ่ายเดียวไปเลย
ชางจิวกวาดมองด้วยสายตาเรียบเย็น “วันนี้ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปก่อนชั่วคราว! แต่จีหมิงซิวเจ้าจงจำไว้ให้ดี เยี่ยหลัวไม่ใช่ใครที่เจ้าจะมีเรื่องบาดหมางด้วยได้!”
จีหมิงซิวไม่แม้กระทั่งเหลือบตามอง “กลับไปบอกนายของเจ้า จวนอัครเสนาบดีก็ไม่ใช่ที่ที่คนจะมีเรื่องด้วยได้ สิ่งที่เขาต้องชดใช้อยู่หลังจากนี้ต่างหาก”
“หึ!” ชางจิวส่งเสียงหึเย็นๆ แล้วใช้วิชาตัวเบากระโดดหายไปจากจุดนั้น
เมื่อเขาไปแล้ว องครักษ์เยี่ยหลัวที่ฝีมือร้ายกาจก็ทยอยล่าถอยไปด้วย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตามมาสมทบพร้อมลมหายใจเหนื่อยหอบ เขามองประเมินจีหมิงซิวขึ้นลงทีหนึ่ง “ไม่เป็นอะไรกระมัง”
จีหมิงซิวบอกว่า “ไม่เป็นไร”
“จิ่งอวิ๋นเล่า” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถาม
จิ่งอวิ๋นก้าวขาสั้นๆ ของตนวิ่งมาทางนี้ พร้อมเอ่ยทักทายอย่างมีมารยาท “ท่านพ่อ อาจารย์ตา ท่านปู่เยี่ยน พี่สือชี”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยรีบรับหน้าไปไม้ “ข้าถือให้ๆ เจ้านี่หนักออกจะตาย”
จีหมิงซิวตบบ่าบุตรชาย “เจ้ากลับไปกับพวกอาจารย์ตาก่อน เดี๋ยวพ่อตามไป”
จิ่งอวิ๋นกะพริบตา ถึงจะไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดท่านพ่อถึงต้องให้ตนไปก่อน แต่ก็ยังทำตามอย่างเชื่อฟัง แต่พอนึกอะไรได้เขาก็วิ่งเข้าไปหาอินทรีทอง “ท่านพ่อ ข้าพามันกลับไปด้วยได้หรือไม่ เมื่อครู่มันช่วยข้าไว้”
“ย่อมได้สิ” จีหมิงซิวตอบรับทันที
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอาหน้าไม้ให้สือชีแล้วโน้มตัวลงไปอุ้มอินทรีทองที่เจ็บหนักขึ้นมา
จิ่งอวิ๋นจูงมืออาจารย์ตาฮั่วแล้วเดินออกไปพร้อมกับพวกเขา
จีหมิงซิวหมุนตัวมองไปยังป่าที่เงียบสงัด เอ่ยพร้อมสายตาดุดันว่า “ออกมา”
สวินหลันค่อยๆ ปล่อยมือที่จับตัวบุตรชายไว้ แล้วเดินออกมาจากหลังต้นไม้พร้อมกับหลิวเกอร์
แสงจันทร์ว่าขาวมากแล้ว แต่สีหน้าของนางกลับขาวซีดเสียยิ่งกว่า
หลิวเกอร์วิ่งเข้าไปหาจีหมิงซิว