WSSTH ตอนที่ 2,711 : ฮ่วนเอ๋อ ยอดเซียนอมตะ!!

แม้แต่ต้วนหลิงเทียนเองก็ผงะไปเล็กน้อยหลังได้ยินเสียงผ่านพลังของฮ่วนเอ๋อ

ไฉนเขาไม่สังเกตเห็นมาก่อนว่าสตรีนางนี้มีศักยภาพที่จะเป็นโจร?

แต่เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้ว่าทำไมฮ่วนเอ๋อถึงพูดแบบนั้น นั่นเพราะนางยังไม่มี ‘สามทัศนคติ’ ที่ถูกที่ควร เนื่องจากนางไม่เคยใช้ชีวิตในโลกภายนอก จึงไม่รู้ว่าในโลกภายนอกนั้นสิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำ

(สามทัศนคติ = ทัศนคติต่อโลก, ทัศนคติต่อชีวิต, ทัศนคติต่อคุณค่า)

“ฮ่วนเอ๋อเจ้าทำแบบนั้นมันไม่ดี…ถึงแม้พวกเราอยากจะได้หินอมตะของผู้อื่น แต่พวกเราก็ต้องลงมืออย่างมีอารยะ คราวนี้เป็นเพราะพวกมันหาเรื่องพวกเราก่อน พวกเราจึงสามารถมาเรียกร้องหินอมตะถึงบ้านพวกมันได้…”

ด้วยเพราะรู้ว่าฮ่วนเอ๋อยังไม่ได้เรียนรู้เรื่องสามทัศนคติอย่างถูกต้อง ต้วนหลิงเทียนจึงตั้งใจจะชี้นำให้นางเดินอยู่บนหนทางที่ถูกต้อง

เพราะหากปล่อยให้นางเดินทางผิด ไม่เพียงแต่นางจะเสียคน กระทั่งคนอื่นยังจะถึงคราวเคราะห์เพราะนาง

“ฮ่วนเอ๋อเข้าใจแล้ว…ใครไม่มาหาเรื่องฮ่วนเอ๋อ ฮ่วนเอ๋อก็ไม่เอาหินอมตะของมัน แต่ถ้าใครหาเรื่องฮ่วนเอ๋อ ฮ่วนเอ๋อจะฆ่าเอาหินอมตะของมัน”

ภายใต้คำชี้แนะสอนสั่งของต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อก็พยักหน้ารับฟังอย่างเข้าใจ

“แต่…คนของสกุลหนานอะไรนั่นทั้ง 4 ฮ่วนเอ๋อดันฆ่ามันก่อนจะเอาหินอมตะพวกมันมานี่นา แบบนี้ไม่เรียกขาดทุนใหญ่หลวงแล้วหรือ?”

ฮ่วนเอ๋อย่อมนึกถึงคนของตระกูลหนานกง ที่เข่นฆ่าทิ้งไปทั้ง 4 ก่อนที่จะมาถึงเมืองนี้ได้

“ใครบอกฮ่วนเอ๋อไม่ได้หินอมตะของพวกมันล่ะ หลังจากที่พวกมันถูกฮ่วนเอ๋อฆ่าตายแล้ว ก็ยังเหลือแหวนพื้นที่ของพวกมันอยู่…ข้าเก็บแหวนพื้นที่พวกนั้นไว้ให้ฮ่วนเอ๋อแล้วอย่างไรเล่า”

“ฮ่วนเอ๋อ หรือว่าเจ้ายังไม่รู้จักแหวนพื้นที่งั้นเหรอ?”

เมื่อตระหนักได้ว่าฮ่วนเอ๋อกระทั่งเรื่องพื้นฐานยังไม่รู้ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแหวนพื้นที่เป็นอย่างไร ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆอธิบายเรื่องราวให้นางฟังอย่างอดทน ก่อนที่จะสอนนางถึงการผูกพันธะครองแหวนรวมถึงการยกเลิกพันธะ จากนั้นยังสอนเรื่องการใช้สำนึกเทวะส่องภายใน

ขณะเดียวกับที่เขากำลังสอนเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็หยิบแหวนพื้นที่ออกมาให้ฮ่วนเอ๋อ

“ฮ่วนเอ๋อลองทำดู ในแหวนวงนี้ข้าใส่หินอมตะระดับสูงไว้แสนก้อน…ลองมองข้างในดูสิ”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ได้ๆ”

หลังจากที่รับแหวนพื้นที่มาผูกพันธะแล้ว ฮ่วนเอ๋อก็ลองส่องภายในแหวนจนพบหินอมตะมากมาย ทำให้นางรู้สึกถูกใจนัก เอาแต่จ้องของเล่นใหม่อย่างแหวนพื้นที่ไม่วางตา ราวกับตอนนี้แหวนพื้นที่วงนี้มีค่ามากกว่าต้วนหลิงเทียนเสียอีก

“เอาล่ะ คุณชายกับคุณหนูกรุณารอที่นี้ ข้าจะไปตามท่านพ่อ…”

หลังฉีโหยวจัดแจงให้ต้วนหลิงเทียนเข้ามานั่งรอในห้องรับแขกเรียบร้อย มันก็รีบร้อนจากไปทันที

ส่วนผู้ติดตามชราทั้ง 2 นั้นอยู่รับใช้ต้วนหลิงเทียน พวกมันสั่งให้ข้ารับใช้ในบ้านสกุฉีคอยรินน้ำชา และยกของว่างออกมาให้ทั้งคู่รับประทานอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

ในขณะที่ฉีโหยวกำลังเร่งรุดไปหาบิดาเพื่อแจ้งเรื่องราวทั้งหมดนั้น…

อีกด้านหนึ่ง ตระกูลลู่ตอนนี้ก็เสมือนมีมรสุมเข้า

“อะไรนะ!? นายน้อยลู่เสียชีวิตแล้ว!?”

“ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกใครก็ไม่รู้เข่นฆ่ากลางเมือง!?”

“คนนอกนั่น ใช่มือสังหารที่ตระกูลฉีจ้างมาหรือไม่?”

ทั้งตระกูลลู่แตกตื่นกับข่าวร้ายครั้งนี้นัก ผู้นำตระกูลลู่บิดาของลู่เหวินปินที่ถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าตาย ได้เรียกให้อาวุโสทั้งหมดของตระกูลลู่มาประชุมเป็นการด่วน

ขณะเดียวกันมันยังไปเชิญบิดาของมัน และบรรพบุรุษของตระกูลลู่มาด้วย

ในตระกูลลู่นั้น ก็มีต้าหลัวจินเซียนขั้นสวรรค์อยู่ด้วยกัน 2 คน หนึ่งในนั้นก็คือบิดาของมัน อดีตผู้นำตระกูลลู่!

ส่วนอีกคนนั้นมีฐานะสูงสุดของตระกูลลู่ และยังเป็นบรรพบุรุษของตระกูลลู่อีกด้วย

“ว่าอะไร!? ปินเอ๋อตายแล้ว?!”

และพอบิดาของผู้นำตระกูลลู่ ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลรุ่นก่อนได้รับทราบเรื่องราว มันก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เคียดแค้นคนที่ฆ่าหลานชายของมันนัก ใจอยากพุ่งไปตระกูลฉี หาตัวชายหนุ่มชุดม่วงที่ฆ่าหลานชาย ทั้งจับอีกฝ่ายมาสับร่างให้เป็นหมื่นๆชิ้นเพื่อล้างแค้นให้หลานประเสริฐ!

“ท่านบรรพบุรุษผู้เฒ่า…พวกเราควรจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี?”

ผู้นำตระกูลลู่คร้านจะรับฟังความเห็นของอาวุโสคนอื่นๆ มันเลือกที่จะถามความเห็นของบรรพบุรุษที่มีลำดับอาวุโสสูงสุดโดยตรง

เพราะตราบใดที่บรรพบุรุษผู้นี้ตัดสินใจ ก็ไม่มีใครกล้าขัด

“ข้ากับบิดาเจ้าจะไปเยือนตระกูลฉีพร้อมเจ้า…หากฆาตกรยังไม่ออกจากบ้านสกุลฉี ข้าจะฆ่ามันล้างแค้นให้กับลูกชายของเจ้า แต่ถ้าเจ้านั่นมันออกจากสกุลฉีไปแล้ว ข้าจักให้ทางสกุลฉีชี้แจง…แต่ถึงตอนนั้นข้าเกรงว่าเรื่องนี้อาจไม่ได้ผลอันใด เจ้าต้องเตรียมใจไว้ด้วย”

บรรพบุรุษตระกูลลู่กล่าว

“ข้าทราบ”

ผู้นะตระกูลลู่ได้แต่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มขื่นขม

มันรู้ดีแก่ใจ ครั้งนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องไม่มีหลักฐานว่าตระกูลฉีสมรู้ร่วมคิดกับฆาตกรฆ่าลูกชายมันด้วยซ้ำ ต่อให้มีหลักฐานว่าตระกูลฉีสมรู้ร่วมคิดกับฆาตกรจัดฉากฆ่าลูกกชายมันจริง แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรบแตกหักกับตระกูลฉี เพียงเพราะการตายของลูกชายมันคนเดียว

เพราะเมื่อพวกมันสองตระกูลใหญ่รบรากันถึงขั้นแตกหักจริง ก็รังแต่จะแพ้พ่ายไปด้วยกันทั้งคู่

ถึงตอนนั้นไม่พ้นต้องมีมือที่ 3 มารอชุบมือเปิบ ซ้ำเติมพวกมันที่บาดเจ็บแน่!

นั่นเป็นอะไรที่ทั้งสกุลลู่ของมันและสกุลฉีไม่อยากจะเห็น

แต่เป็นธรรมดาว่าถ้าหากมีหลักฐานว่าฆาตกรได้สมรู้ร่วมคิดกับตระกูลฉีจริง แม้ตระกูลลู่ของพวกมันจะไม่อาจรบแตกหักกับตระกูลฉีได้ แต่ก็ยังใช้เรื่องนี้มาข่มขู่บีบคั้นตระกูลฉี ให้ทางตระกูลฉีส่งตัวนายน้อยรองตระกูลฉีมาให้พวกมันแทน!

ใช้ชีวิต ฉีโหยว แลกกับชีวิตลูกชายมัน!!

“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว…”

บรรพบุรุษตระกูลลู่กล่าวสืบต่อว่า “เช่นนั้นพวกเราก็เดินทางไปยังตระกูลฉีกันเลยเถอะ…ข้าเกรงว่าหากชักช้าเดี๋ยวฆาตกรฆ่าลูกชายเจ้าจะออกจากตระกูลฉีไปเสียก่อน”

“ใช่!”

ผู้นำตระกูลลู่พยักหน้าตอบคำมั่นเหมาะ จากนั้นก็พาอาวุโสที่มีพลังฝีมือสูงส่งหลายคนออกจากตระกูลลู่ ไปพร้อมกับบิดาและบรรพบุรุษผู้เฒ่า มุ่งหน้าไปยังตระกูลฉีอย่างเอาเรื่อง

ในเวลาเดียวกัน ทางด้านตระกูลฉี…

ในโถงรับแขกของตระกูลฉียามนี้ ปรากฏร่างต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อนั่งอยู่อย่างสบายอารมณ์

และตอนนี้นอกจากชายชราทั้ง 2 ที่ฉีโหยวทิ้งไว้ให้รับใช้ทั้งคู่กับตัวฉีโหยวเองแล้ว ในโถงรับแขกยังมีคนเพิ่มขึ้นมาอีก 2 คน

เป็นชายวัยกลางคนหน้าตาภูมิฐาน ใบหน้าเกลี้ยงเกลาปานหยกเสลา มาในชุดแพรหรูหรา

นอกจากนั้นยังมีชายชราในชุดคลุมสีเทาเรียบง่าย เส้นผมขนคิ้วขาวโพลน อย่างไรก็ตามใบหน้ามันแลดูอ่อนวัยไม่น้อย มองไปคล้ายเฒ่าทารกคนหนึ่ง

อย่างไรก็ตามบัดนี้ไม่ว่าจะเป็นฉีโหยว ชายชราผู้ติดตามทั้งคู่ หรือ 2 คนผู้มาใหม่ ต่างพากันคุกเข่าเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อที่กำลังจิบชารับประทานของว่างอย่างเรียบๆร้อยๆ

กระทั่งพวกมันไม่เพียงแต่จะคุกเข่าเท่านั้น ศีรษะยังก้มลงไปไม่กล้ามองต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อด้วยซ้ำ

และบริเวณพื้นที่พวกมันคุกเข่า ยังปรากฏเกล็ดน้ำแข็งเยียบเย็นแผ่ไอหนาว ราวกับพึ่งมีพายุหิมะอันเย็นยะเยือกพัดผ่าน

‘ยอดเซียนอมตะ…ยอดเซียนอมตะ!’

‘สตรีผ้าปิดหน้านางนี้ กลับเป็นถึงยอเซียนอมตะ!’

ฉีโหยวที่คุกเข่าอยู่นั้น จากเดิมที่แลดูสง่างงามมั่นใจ บัดนี้สีหน้าซีดเป็นไก่ต้ม ร่างสั่นกึกๆเพราะความหวาดกลัวจับใจ!

เดิมทีมันคิดว่า

ด้วยบิดาของมันกับท่านบรรพบุรุษมาถึง แม้พวกมันยังต้องกริ่งเกรงภูมิหลังของคู่หนุ่มสาวเบื้องหน้า จึงไม่อาจฆ่าคนอย่างผลีผลาม แต่อย่างน้อยๆก็สมควรประหยัดหินอมตะระดับสูงที่ต้องจ่ายออกไปได้แน่นอน

อย่างไรก็ตามมันไม่คิดไม่ฝันเลย

ว่าพอบิดาของมันกับบรรพบุรุษมาถึงโถงรับแขก เพียงเร่งเร้าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขึ้นมาด้วยคิดแผ่แรงกดดันพลังกดดันอีกฝ่าย พร้อมแผ่สำนึกเทวะออกไป หมายหยั่งถึงพลังฝึกปรือคู่ของชายหนุ่มชุดม่วงและสตรีในผ้าปิดหน้าที่นั่งอยู่ได้ไม่ทันไร…

สตรีนางนั้นก็ยกมือขึ้นโบกสะบัดอย่างไร้เรื่องราว จากนั้นก็ปรากฏไอเย็นเยียบขุมหนึ่งพัดผ่านร่างบิดากับบรรพบุรุษของมัน รู้ตัวอีกทีร่างท่อนล่างของบิดาและบรรพบุรุษของพวกมันก็กลายเป็นน้ำแข็ง ติดแหง็กไปกับพื้นโถง ไม่อาจขยับเขยื้อนใดๆได้แม้ครึ่งก้าว!

จนเมื่อชายหนุ่มในชุดสีม่วงเอ่ยคำ สตรีนางนั้นจึงค่อยถอนรั้งพลังคืนกลับ ปลดปล่อยบิดากับบรรพบุรุษตระกูลฉีของพวกมันให้ได้รับอิสรภาพ…

อย่างไรก็ตามทันทีที่ได้รับอิสระภาพ ทั้ง 2 ก็ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะยืนหยัด นั่นเพราะร่างกายท่อนล่างของพวกมันกลายเป็นอัมพาตไปพักหนึ่ง

จนเมื่อทุกคนดึงสติกลับมาจากอาการแตกตื่นแล้ว ก็เร่งคุกเข่าต่อหน้าสตรีคนนั้น และเร่งเอ่ยคำขอขมาลาโทษทันที

“พวกเรามีตาแต่ไร้แววมิรู้ว่าใต้เท้าเป็นถึงยอดเซียนอมตะ จึงได้กระทำการเสียมารยาทไป หวังว่าใต้เท้าจักมีเมตตาปล่อยปละละเว้นพวกเราสักครา”

ตอนนั้นฉีโหยวเองก็หวาดกลัวแทบตาย มันกับผู้ติดตามชราทั้ง 2 เร่งรุดคุกเข่าลงไป กล่าวคำขอขมาด้วยความหวาดกลัว

วินาทีนี้ฉีโหยวจึงได้ตระหนัก

ที่แท้ในบรรดาคนทั้ง 2 ไม่ใช่ชายหนุ่มชุดม่วงที่ร้ายกาจที่สุด แต่เป็นสตรีที่มีผ้าปิดหน้าต่างหาก!

‘คิดไม่ถึงจริงๆ…ว่าด่านพลังฮ่วนเอ๋อจะบรรลุถึงยอดเซียนอมตะแล้ว’

แม้ก่อนหน้านี้ต้วนหลิงเทียนจะมีสงสัยไว้บ้างแล้ว…ว่าฮ่วนเอ๋ออาจเป็นถึงยอดเซียนอมตะ แต่ต้วนหลิงเทียนคิดว่าสมควรเป็นต้าหลัวจินเซียนขั้นสุดยอดมากกว่า จนกระทั่งเขาบอกให้ฮ่วนเอ๋อลงมือ และนางสามารถจัดการต้าหลัวจินเซียนขั้นสวรรค์ 2 คนได้ง่ายดาย เขาจึงตระหนักได้ว่า…

ที่แท้ ฮ่วนเอ๋อ เป็นยอดเซียนอมตะจริงๆ!

“หินอมตะระดับสูงล้านก้อน…กับแผนที่ๆข้าบอกไว้ก่อนหน้า พวกเจ้าเตรียมไว้แล้วรึยัง?”

ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามฉีโหยวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย

“ข้า…ข้าเตรียมไว้ให้แล้ว!”

ฉีโหยวเร่งตอบรับเร็วไว จากนั้นก็เหลือบไปมองบิดาผู้นำตระกูลฉีเป็นการบอกใบ้ ให้อีกฝ่ายเร่งหยิบแหวนพื้นที่ๆบรรจุหินอมตะเอาไว้ออกมา และยื่นส่งให้ต้วนหลิงเทียนทันที

“ใต้เท้า ข้ามีหินอมตะระดับสูงแค่ 300,000 ก้อน ส่วนที่เหลือจะเป็นหินอมตะระดับสูงสุด 70,000 ก้อน”

ผู้นำตระกูลฉีกล่าว

“70,000 หินอมตะระดับสูงสุด?”

ลูกตาต้วนหลิงเทียนลุกวาวส่องแสงจ้าออกมาทันที หลังรับแหวนมาผูกพันธะแล้วเขาก็เร่งตรวจสอบด้านใน “อ่า เป็นหินอมตะระดับสูงสุด 70,000 ก้อนจริงๆ”

“ต้วนหลิงเทียน หินอมตะระดับสูงสุดอันใด มิใช่เจ้าให้พวกมันมอบหินอมตะระดับสูงล้านก้อนหรือ ไฉนรวมแล้วได้แค่ 370,000 ก้อนเองเล่า?”

ถึงแม้ฮ่วนเอ๋อจะไม่เคยออกมาเจอโลกภายนอก แต่นางก็สามารถบวกลบคูณหารขั้นพื้นฐานได้ เพราะมารดาของนางได้สอนเรื่องนี้เอาไว้แต่เล็ก…

ได้ยินคำพูดของฮ่วนเอ๋อ คนสุลฉีทั้ง 5 ถึงกับตะลึงตาตั้ง

“ใต้เท้า…ข้า…ข้า…”

ผู้นำตระกูลฉีที่คุกเข่าเบื้องหน้าฮ่วนเอ๋อ เร่งเงยหน้าขึ้นมากล่าววาจาตะกุกตะกัก แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ร่างมันตอนนี้สั่นระริกราวลูกนกตกน้ำ

ตอนนี้มันคิดเพียงว่า ใช่ยอดเซียนอมตะคิดหาเรื่องเข่นฆ่าพวกมันอยู่หรือไม่?

เพราะสุดท้ายแล้ว เรื่องที่หินอมตะระดับสูงสุด 1 ก้อนมีค่าเทียบได้กับหินอมตะระดับสูง 10 ก้อน ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่รู้กันทั้งระนาบเทวโลก…

“ผู้นำตระกูลฉีอย่าได้กังวลไป…นางแค่ไม่รู้ว่าหินอมตะระดับสูงสุด 1 ก้อนมีค่าเทียบเท่ากับหินอมตะระดับสูง 10 ก้อน…”

จนเมื่อต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกออกมา ผู้นำตระกูลฉีพอได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หากแต่ในใจยังรู้สึกเหลือเชื่อนัก จะเป็นไปได้อย่างไรที่ตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะ กลับไม่ทราบแม้แต่เรื่องที่หินอมตะระดับสูงสุด 1 ก้อนเท่ากับหินอมตะระดับสูง 10 ก้อน?

เพราะในความคิดของมัน สิ่งนี้มันเป็นเรื่องพื้นฐานดั่งสามัญสำนึกของทุกคนบนระนาบเทวโลกด้วยซ้ำ…

“ฮ่วนเอ๋อ…”

ต้วนหลิงเทียนหันไปมองฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน พลางอธิบายมูลค่าของหินอมตะชนิดต่างๆออกมาให้นางรับทราบ…