ตอนที่ 370-2 ช่วยเหลือสำเร็จ รักษาอินทรีทอง (2)
หลังจากฟู่เสวี่ยเยียนไปแล้ว ใต้เท้าเจ้าสำนักก็พลิ้วกายเข้ามาหา
เฉียวเวยตกใจจนมือสั่น ยาทาเกือบหลุดออกจากมือ เฉียวเวยถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง “เจ้าคิดจะทำอะไรอีก”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกวาดมองไปทั่วๆ แล้วกระซิบบอกว่า “ข้าสงสัยว่าแม่นางแซ่ฟู่จะป่วย”
เฉียวเวยส่งเสียงหึหึอย่างไม่เห็นเป็นสาระ “เหตุใดข้าจึงไม่รู้”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยอย่างจริงจังว่า “คืนวันนั้นข้าลูบถูกท้องนาง ท้องนางทั้งกลมทั้งแข็ง คล้ายมีอะไรงอกอยู่ข้างใน เจ้าว่านางเป็นโรคอะไรที่รักษาไม่หายหรือไม่”
เฉียวเวยเงื้อกำปั้นขึ้นมา
ใต้เท้าเจ้าสำนักกอดศีรษะพลางถอยหนี “เจ้าจะทำอะไร”
เฉียวเวยพันผ้าพันแผลให้อินทรีทอง เก็บเครื่องไม้เครื่องมือเสร็จก็หิ้วกระเป๋ายาลุกขึ้น “ท้องของสตรีนางหนึ่งใหญ่ขึ้นมา เจ้าลองคิดดูให้ดีว่าเป็นเพราะเหตุใด!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเบ้ปาก “ข้าไม่ได้เป็นคนทำให้ใหญ่เสียหน่อย ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเพราะเหตุใด…”
…
ไม่นานก็ถึงวันที่ต้องถอดผ้าพันแผลออก เฉียวเวยอุ้มอินทรีทองไปยังสวนดอกไม้เล็กในจวน สวนดอกไม้แห่งนี้มีพื้นที่มากพอ ทั้งยังเชื่อมต่อกับสนามหญ้า ทะเลสาบ และป่าผลไม้ผืนเล็กๆ พวกจิ่งอวิ๋นทั้งสามคนมาถึงที่นี่กันนานแล้ว ต้าไป๋ เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์เดินส่ายก้นตามกันมา ใต้เท้าเจ้าสำนักกับฟู่เสวี่ยเยียนก็มาด้วย อันที่จริงเป็นฟู่เสวี่ยเยียนที่อยากมามาก ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่รับหน้าที่ตามศรีภรรยามาเท่านั้น
เฉียวเวยเริ่มแกะผ้าพันแผลให้มัน เริ่มจากที่ท้องก่อนแล้วค่อยไปที่ขา จากนั้นค่อยเป็นปีก อินทรีทองคล้ายรู้ว่าวันนี้จะเป็นวันที่ได้รับอิสรภาพอีกครั้ง มันเริ่มอดรนทนไม่ไหวตั้งแต่เฉียวเวยแกะผ้าพันแผลที่ท้องมันแล้ว
“อย่าขยับ” เฉียวเวยเอ่ยปลอบมันเสียงเบา มันก็ข่มใจไว้ไม่ขยับจริงๆ ตัวมันไม่ขยับแต่ศีรษะกลับหันไปหันมา เฉียวเวยอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เลยรีบเร่งมือให้ พอผ้าพันแผลผืนสุดท้ายหลุดจากตัว ปีกสีน้ำตาลที่สวยสมบูรณ์แบบก็กางออกต่อหน้าต่อตาเฉียวเวย ขนทุกเส้นงดงามถึงที่สุด แสงอาทิตย์ส่องลงบนปีกมัน ทำให้เกิดเป็นประกายมันวาวราวกับกระจก
ตอนรัดอยู่ยังไม่รู้สึกอะไร พอกางออกถึงได้รู้ว่าปีกสองข้างของมันใหญ่แค่ไหน
เฉียวเวยยกมือขึ้นมาแล้วออกแรงโยนขึ้นท้องฟ้า มันกระพือปีกบินขึ้นไป คล้ายเป็นเจ้าแห่งเวหาที่โผบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอันไร้ขอบเขต ฝูงนกพากันบินหนี มันส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นยินดี
มันบินวนอยู่เหนือบ้านตระกูลจี รอบแล้วรอบเล่าอยู่อย่างนั้น
วั่งซูถึงกับตะลึงงัน “โอ้โห!”
หลิวเกอร์เบิกตาโต แม้แต่จะร้องโอ้โหยังร้องไม่ออก
จิ่งอวิ๋นมองมันอย่างรู้สึกเป็นเกียรติ สีหน้าดูภูมิใจเป็นที่ยิ่ง
จำต้องบอกว่าเจ้านกนี้ยามโผบินช่างงดงามเหลือเกิน ใต้เท้าเจ้าสำนักใช้ชีวิตอยู่ในเกาะนิรนามมานานเพียงนั้น อินทรีทองที่ดุร้ายใช่ว่าไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ไม่มีตัวใดเหมือนตัวตรงหน้า ที่แผ่รัศมีแห่งอำนาจออกมาทั่วตัวเช่นนี้
ทั้งๆ ที่ตอนรักษาตัวไม่รู้สึกเช่นนั้นสักนิด… เหตุใดพอโผบินขึ้นฟ้าถึงคล้ายว่าเปลี่ยนเป็นคนละตัวเช่นนี้
ฟู่เสวี่ยเยียนเวยหน้ามองอินทรีทองที่บินวนอยู่บนท้องฟ้า มุมปากยกขึ้นด้วยความสบายใจ
ซิ่วฉินเอ่ยด้วยความงงงวย “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่ามันบินเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน”
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “เจ้าไม่ได้รู้สึกไปเอง มันเร็วขึ้นจริงๆ” ถึงอย่างไรผลสองภพของชนเผ่าลึกลับก็ไม่ได้กินลงไปอย่างเสียเปล่า
บินอยู่พักหนึ่ง ไม่รู้ว่าเพราะบินจนพอใจแล้วหรือไร อินทรีทองถลาลมลงมาอย่างสวยงาม มันทะยานลงมาเร็วมากจนคนยากที่คว้าตัวมันไว้ทัน อาจจะเพราะทะยานลงมาเร็วเกินไป ไม่ทันได้ประคองตัว เลยเสียหลักพุ่งเข้าไปในพุ่มไม้ ตามด้วยกลิ้งอีกหลายตลบ
ทุกคนขำคิกคักกับท่าทางเซ่อซ่าของมัน
แต่ไม่นาน ทุกคนก็หัวเราะไม่ออก
อินทรีทองสะบัดเศษหญ้าตามตัวออก ยกเท้าเดินมาทางทุกคน แต่มันไม่ได้เดินอย่างผึ่งผาย แต่เดินกะเผลกข้างหนึ่ง นี่มันอะไรกัน อินทรีทองทุกตัวเดินกันเช่นนี้หรือขาขวามันยังไม่หายดีกันแน่
ซิ่วฉินเอ่ยด้วยความตกใจว่า “มันเป็นอะไรน่ะ เหมือนขามันเป๋ไปเลย!”
ดวงตาฟู่เสวี่ยเยียนสั่นระริก
จิ่งอวิ๋นยกขาสั้นๆ ของตนวิ่งเข้าไปหา อินทรีทองชอบจิ่งอวิ๋น ใช้ศีรษะถูไถแก้มของจิ่งอวิ๋น จิ่งอวิ๋นย่อตัวลงไปคุกเข่าลงกับพื้น มองสำรวจขาขวาของมันโดยละเอียด “ขาเจ้ายังเจ็บหรือไม่”
ทุกคนเดินเข้าไป
เฉียวเวยย่อตัวลงลูบตัวอินทรีทองเบาๆ เป็นการบอกให้มันนอนลง
อินทรีทองนอนแผ่ลงกับพื้น
เฉียวเวยบีบขาขวาของมัน “เจ็บหรือไม่”
อินทรีทองมองเฉียวเวยตาแป๋ว
“ดูท่าทางคงไม่เจ็บ” เฉียวเวยบีบกรงเล็บมัน “ตรงนี้เล่าเจ็บหรือไม่”
อินทรีทองยังคงมองตาแป๋ว ตาโตส่องใสเป็นประกาย ดูคล้ายฉงนสงสัย
“ท่านแม่ มันเป็นอะไรหรือ” จิ่งอวิ๋นถามอย่างไม่เข้าใจ
เฉียวเวยถอนหายใจเบาๆ “ขาของมันไม่เจ็บแล้ว แต่ยังรับน้ำหนักไม่ได้… ไม่ตรงนี้ของมันบาดเจ็บ จึงกลัวที่จะใช้ขาข้างที่เจ็บเดิน ก็…”
“ก็อะไรหรือ” จิ่งอวิ๋นถามอย่างร้อนใจ
เฉียวเวยลูบศีรษะบุตรชาย “หรือไม่มันก็เหลืออาการเรื้อรัง จะเดินไม่ได้อีกแล้ว”
สายตาจิ่งอวิ๋นขรึมลงไปเล็กน้อย “เหตุใดถึงเหลืออาการเรื้อรังหรือ”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยความเสียใจ “นี่เป็นเรื่องที่แม่ยังหาคำตอบไม่ได้”
จิ่งอวิ๋นตาแดงด้วยความเสียใจ
นกยักษ์บาดเจ็บเพราะเขา แต่เวลานี้นกยักษ์ไม่อาจเดินปกติได้อีกแล้ว
เฉียวเวยมองบุตรชายด้วยความสงสาร ตอนเขาถูกคนร้ายจับตัวไปยังไม่ร้องไห้เลย ตอนเขาถูกคนชั่วร้ายรังแกก็ยังไม่เคยร้อง ตอนตนหกล้มหัวกระแทกก็ยิ่งไม่เคยร้อง แต่เวลานี้เขาร้องไห้ด้วยความเสียใจ
อินทรีทองยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดเจ้าเด็กตัวเล็กผู้นี้จู่ๆ ถึงร้องไห้ออกมา มันมองจิ่งอวิ๋นด้วยความฉงน ใช้ศีรษะถูไถใบหน้าของจิ่งอวิ๋น
จิ่งอวิ๋นเช็ดน้ำตา “เจ้าบินอีกทีได้หรือไม่”
อินทรีทองเอียงศีรษะมองจิ่งอวิ๋น
จิ่งอวิ๋นทำท่าบิน
อินทรีทองดูเข้าใจ จึงพลิกตัวสยายปีกสองข้าง กระพือปีสองสามครั้งแล้วบินขึ้นไป แต่กระนั้นบินไปเพียงไม่เท่าไรก็ตกลงมา เพราะขาขวาของมันไม่สามารถออกแรงถีบได้ มันจึงไม่มีแรงพอจะส่งตัวเองขึ้นบิน เมื่อครู่เฉียวเวยช่วยโยนมันขึ้นกลางอากาศ ทำให้ทุกคนไม่เห็นถึงปัญหาข้อนี้
อินทรีทองพยายามบินอยู่หลายครั้งแต่บินไม่ขึ้น ในที่สุดมันก็รู้ตัวว่าตนเองเป็นอะไร สำหรับนกตัวหนึ่งแล้ว การบินถือเป็นชีวิตของมัน นกที่ไม่สามารถบินได้ก็ประหนึ่งนกที่สูญเสียชีวิตไป
มันเงยหน้าขึ้นฟ้า คล้ายเด็กที่ได้รับบาดเจ็บ ร้องฮือๆ ออกมาด้วยความเสียใจ