WSSTH ตอนที่ 2,717 : องค์ชาย 6 แห่งประเทศอวิ๋นเหยียน!
ในขณะเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อออกจากเมืองฉีลู่ที่ได้เปลี่ยนชื่อไปเป็นเมืองลู่ เพื่อมุ่งหน้าไปยังประเทศอมตะเถิงหลงนั้น
ผู้ที่ใช้ยันต์แสงเงาเหินอันสร้างจากตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ ที่ได้หลบหนีไปต่อหน้าต่อตาต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อย่างหนานกงลี่นั้น หลังจากซ่อนตัวอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งเนิ่นนาน ในที่สุดความช่วยเหลือก็เดินทางมาถึง
“ท่านพ่อ…ท่าน…ไฉนมาได้เล่า?”
ทว่าสิ่งที่ทำให้หนานกงลี่อึ้งก็คือ ผู้ที่นำกลุ่มคนมาช่วยเหลือมัน กลับเป็นถึงผู้นำตระกูลหนางกง บิดาของมันเอง!
“ลี่เอ๋อ…ที่แท้มันเกิดเรื่ออันใดขึ้นกันแน่ มิใช่ว่าข้าให้อาวุโสสองคนคอยติดตามเจ้าหรือ?”
บิดาของหนานกงลี่นั้น เป็นผู้นำตระกูลหนานกงนามว่า หนานกงเจิ้ง หน้าตาของมันแลดูไม่ต่างอะไรกับชายวัยกลางคนธรรมดาสามัญ ยามนี้สองตาของมันฉายแววลึกล้ำเอ่ยถามหนานกงลี่ออกมาเสียงเครียด
นั่นเพราะหนานกงลี่เพียงส่งยันต์อมตะสื่อสารไปบอกแค่ว่าตัวเองตกอยู่ในอันตราย และร้องขอให้บิดาส่งคนมาช่วยเหลือเท่านั้น ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากมายนอกจากที่ทาง บิดาของมันจึงไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“ท่านพ่อ อาวุโสทั้ง 2 ถูกฆ่าตายหมดแล้ว”
“นอกจากนี้ หนานกงจี๋กับหนานกงอวี่ก็ถูกฆ่าตายแล้วเช่นกัน…”
หนานกงลี่กล่าวตอบบิดาเสียงอ่อน “ส่วนตัวข้า หากไม่ใช่เพราะท่านมอบยันต์แสงเงาเหินให้ข้าติดตัวแต่แรก ข้าก็คงไม่รอด…”
“เจ้าใช้ยันต์แสงเงาเหิน?”
ได้ยินคำของบุตรชาย ลูกตาหนานกงเจ้งก็หดเล็กลงทันใด
กระทั่งผู้อาวุโสตระกูลหนานกงอีก 2 คนที่ติดตามมาช่วยเหลือก็อดหยีตาไม่ได้
นั่นเพราะยันต์แสงเงาเหินเป็นอะไรที่มีค่าสำหรับตระกกูลหนานกงมาก และทั้งตระกูลก็มีอยู่แค่ 2 แผ่นเท่านั้น
และเพื่อให้ได้ยันต์แสงเงาเหิน 2 แผ่นมา ทางตระกูลหนานกงก็จ่ายราคาออกไปมหาศาลนัก!
หนึ่งแผ่นอยู่ในมือของ หนานกงเจิ้ง ผู้นำตระกูลหนานกง
ส่วนอีกหนึ่งก็ได้มอบให้หนานกงลี่พกติดตัวเอาไว้
มาตอนนี้พอได้ยินว่าหนานกงลี่ได้ใช้ยันต์แสงเงินเหินไปแล้ว หนานกงเจิ้งกับอาวุโสอีก 2 คนของตระกูลหนานกงจึงอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความรู้สึกเสียดายขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เพราะสุดท้ายแล้วยันต์แสงเงาเหินก็ไม่ใช่ยันต์อมตะที่คิดจะหาก็หามาไว้ในครอบครองได้ง่ายๆ
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หนานกงเจิ้งเอ่ยถามเสียงเข้ม
ผู้อาวุโส 2 คนที่มันส่งมาติดตามคุ้มกันบุตรชายตายตก และบุตรชายของมันก็ถึงกับต้องใช้ยันต์แสงเงาเหินหนีตาย นั่นทำให้มันรู้ดีว่าบุตรชายของมันพึ่งรอดพ้นคราวเคราะห์อันใหญ่หลวงมาแน่แท้
ต่อหน้าบิดาอย่างหนานกงเจิ้ง หนานกงลี่ก็ไม่กล้าปิดบังอะไร ยังเลือกจะกล่าวเรื่องราวทั้งหมดออกมาโดยละเอียด
“อะไร?!”
“ต้นเหตุเกิดจากสตรี? กระทั่งเจ้ายังเป็นฝ่ายไปหาเรื่องผู้อื่นเขาก่อน?”
หลังได้ยินเรื่องราวจากปากหนานกงลี่ หนานกงเจิ้งก็ตาเขียวปั๊ด น้ำเสียงยังแฝงโทสะไม่น้อย สายตาที่ใช้มองลูกชายราวกับอยากจะตีให้ตาย!
“ท่านพ่อ…นางมิใช่สตรีธรรมดาๆ ไม่เพียงแต่รูปโฉมของนางจะงามพิลาศล้ำไร้ผู้ใดเสมอเหมือน แต่พลังฝีมือของนางยังร้ายกาจอย่างยิ่ง ในบรรดาสตรีที่ข้าพบเจอมาชั่วชีวิต ไม่มีผู้ใดเทียบนางได้แม้แต่เศษเสี้ยว!”
ได้ยินเสียงแฝงโทสะของผู้เป็นบิดา หนานกงลี่ก็รีบหาข้ออ้างขึ้นมาทันที
“โชคดีที่ข้ามีลูกแก้วเงาลอยติดตัว จึงได้บันทึกเหตุการณ์เอาไว้ แม้จะเห็นแค่ภาพเรื่องราวสังหาร แต่อย่างไรก็ยังเห็นสตรีนางนั้นชัดเจน”
กล่าวจบคำ หนานกงลี่ ก็หยิบลูกแก้วลูกหนึ่งออกมา จากนั้นก็เร่งถ่ายทอดพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดลงไป
พริบตาต่อมาตัวลูกแก้วก็เปล่งแสงสว่าง ก่อนจะปรากฏม่านแสงหนึ่งควบแน่นขึ้นกลางอากาศดั่งจอภาพ…
ในม่านแสงฉายร่าง 2 ร่างให้เห็นเด่นชัด
เป็นชายหนุ่มในชดสีม่วง และสตรีในชุดสีขาว
ภาพฉายขึ้นมาได้ไม่ทันไร หนานกงเจิ้งและอาวุโสอีก 2 คนของสกุลหนานกง ก็ถูกร่างสตรีในนั้นดึงดูดความสนใจไปทันที…
และพอพวกมันได้ยลโฉมนางในม่านแสง คนก็คล้ายต้องมนตร์สะกด ยากจะละสายตาออกมาได้…
นั่นเพราะสตรีในชุดขาวช่างงดงามสมบูรณ์แบบเหลือเกิน
คิ้วโค้งดั่งขนนกกับดวงตาที่ใสราวทะเลสาบกระจก ด้วยผิวขาวเนียนในชุดคลุมยาวสีขาวบริสุทธิ์ ทั้งทั่วร่างให้ความรู้สึกสูงส่งไม่อาจจับต้อง นางจึงดูไม่ต่างอะไรจากเทพธิดาที่ลงมาเที่ยวเล่นในแดนมนุษย์เลย
โดยเฉพาะใบหน้างดงามไร้ที่ติของนาง ราวกับภาพวาดที่จิตรกรเทพทุ่มชีวิตรังสรรค์ขึ้น!
ไม่ว่าจะเป็นหนานกงเจิ้งก็ดีหรืออาวุโสทั้ง 2 ของตระกูลหนานกงก็ดี ไม่มีใครเคยคิดเคยฝัน…
ว่าพวกมันที่ใช้ชีวิตมานานหลายพันปีจนชืดชากับความงามของสตรีจนใจสงบนิ่งดั่งผิวน้ำไปแล้ว…วันนี้กลับอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับความงามของสตรีในม่านแสง ทั้งยังบังเกิดความรู้สึกเสมือนถูกล่อลวงให้หลงใหลขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
“ไม่คิดเลยจริงๆว่าใต้หล้ายังคงมีสตรีที่งดงามถึงเพียงนี้ดำรงอยู่…ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฉนนายน้อยลี่ กับเจ้าหนูทั้ง 2 นั่นถึงอดใจไม่ไหว”
“หากเป็นข้าตอนยังเยาว์…ก็เกรงว่าจะทนไม่ไหวเช่นกัน”
หลังอาวุโสทั้ง 2 ของตระกูลหนานกงดึงสติกลับมาได้ พวกมันก็พากันถอนหายใจออกมาดังเฮือก
หนานกงเจิ้งเองก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ถึงตอนนี้มันไหนเลยจะไม่เข้าใจ ว่าที่แท้เป็นเพราะอะไร?
“ไม่รู้ว่า…ชายหญิงคู่นี้ที่แท้เป็นใครกันแน่!”
อาวุโสทั้ง 2 ของตระกูลหนานกงกล่าวออกด้วยนน้ำเสียงเปี่ยมแค้น
“ไม่ว่าพวกมันจะเป็นผู้ใด…แต่เมื่อกล้าฆ่าคนของตระกูลหนานกงข้า ข้าไม่มีวันปล่อยพวกมันไปแน่!”
หนานกงเจิ้งกล่าวอาฆาตเสียงหนัก
หลังกล่าวจบ มันก็หันไปมองหนานกงลี่อีกครั้ง ค่อยพูดว่า “ลี่เอ๋อ หลังจากที่เจ้ากลับไปแล้ว เจ้าเอาลูกแก้วเงาลอยในมือเจ้าไปให้องค์ชาย 6 เสีย…ข้าเชื่อว่าทันทีที่องค์ชาย 6 ได้เห็นสตรีในบันทึกของลูกแก้วเงาลอย มันต้องบังเกิดความสนใจในตัวนาง กระทั่งทำทุกทางเพื่อให้ได้ตัวนางเป็นแน่!”
กล่าวถึงประโยคท้าย สองตาของหนานกงเจิ้งก็ฉายแววเจ้าเล่ห์ขึ้น
มันคิดใช้องค์ชาย 6 ต่างหัวหอก!
ยิ่งไปกว่านั้นมันเชื่อมั่นนัก ว่าทันทีที่องค์ชาย 6 ได้เห็นสตรีที่มีรูปร่างน้าตาอันงดงามไร้ที่ติของสตรีชุดขาวนั่นล่ะก็ อีกฝ่ายต้องบังเกิดความปรารถนาอยากครอบครองนางจนตัวสั่นแน่!
…
เป็นอย่างที่หนานกงเจิ้งคาดไว้ไม่มีผิด
เมื่อหนานกงลี่กลับมาถึงเมืองหลวงของประเทศอวิ๋นเหยียน และส่งมอบลูกแก้วเงาลอยไปให้องค์ชาย 6 แห่งประเทศอวิ๋นเหยียน สองตาขององค์ชาย 6 ก็ลุกวาวสว่างจ้า ลมหายใจมันเปลี่ยนเป็นเร่งร้อนหอบถี่ในฉับพลัน คนยังถึงกับต้องลุกขึ้นยืน!
“หนานกงลี่…สตรีนางนี้เป็นใคร!?!”
องค์ชาย 6 หันไปกล่าวถามหนานกงลี่เสียงห้วน
องค์ชาย 6 นั้นมีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่ม สวมใส่ชุดคลุมสีทองรูปร่างผ่ายผอมแลดูอิดโรยหว่างคิ้วยังหมองคล้ำเล็กน้อย อย่างไรก็ตามแม้มันจะดูราวคนใกล้ตาย ทว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างยังดุร้ายรุนแรงนัก
อย่างน้อยๆมันก็แข็งแกร่งกว่าหนานกงลี่!
“หนานกงลี่ องค์ชาย 6 กำลังถามเจ้าอยู่!”
“หนานกงลี่เจ้ายังมัวอ้ำๆอึ้งๆอันใด ยังไม่รีบตอบองค์ชาย 6 อีก!”
…
ในขณะที่หนานกงลี่กำลังตกตะลึงกับอาการหื่นกระหายออกหน้าออกตาขององค์ชาย 6 ชายหนุ่มในชุดผ้าแพรหรูหราที่นั่งอยู่ในที่นั่งของแขกก็เอ่ยถามเสียงดัง
ชายหนุ่มเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นลูกหลานขอคนตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ไม่มีใครมีฐานะด้อยไปกว่าหนานกงลี่ และตระกูลเบื้องหลังพวกกมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลหนานกง
“เรียน…องค์ชาย 6 ข้าเองก็ไม่รู้ว่านางเป็นผู้ใด…ข้าเพียงพบเจอนางโดยบังเอิญด้านนอก…”
หนานกงลี่กล่าตอบด้วยรอยยิ้มแหยๆ
“หนานกงลี่ เจ้าคงมิได้พานางกลับไปซุกไว้ในตระกูลหนานกง เพื่อเก็บไว้จัดการเองหรอกนะ?”
ชายหนุ่มในชุดหรูหราที่เขม่นกับหนานกงลี่มาตลอดกล่าวออกด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
ทันใดนั้นแววตาที่องค์ชาย 6 ใช้มองหนานกงลี่ก็ทวีความดุร้ายขึ้นหลายส่วน
“องค์ชาย 6 หากข้าจับตัวนางกลับมาเก็บไว้ในตระกูลหนานกงของข้าได้จริงๆ ข้าคงนำนางมาถวายให้องค์ชาย 6 แต่แรกแล้ว…แต่ปัญหาก็คือข้าคิดจะนำนางกลับมาถวายให้อค์ชาย 6 แต่ข้าทำไม่ได้ สุดท้ายยังต้องใช้ยันต์แสงเงาเหินเพื่อหนีตาย…”
“นอกจากนี้ไม่เพียงลูกพี่ลูกน้องในตระกูหนานกงทั้ง 2 ของข้าต้องตาย กระทั่งผู้อาวุโสที่ติดตามคุ้มกันข้าทั้ง 2 ก็ยังถูกฆ่าตายไปด้วย…”
หนานกงลี่ตอบคำด้วยรอยยิ้มแหยๆ
ได้ยินคำตอบของหนานกงลี่ องค์ชาย 6 จึงเลิกคาดคั้นอะไรสืบต่อ “อย่างเจ้าคงยังไม่ถึงขั้นกล้าโกหกเปิ่นหวาง!”
“ยันต์แสงเงาเหินนี่เจ้ารับไว้เสีย ถือซะว่าเป็นของขวัญตอบแทนที่เจ้านำลูกแก้วเงาลอยนี่มาให้เปิ่นหวาง…และหากวันหน้าเจ้าจับตัวสตรีนางนั้นหรือมีเบาะแสนาง เปิ่นหวางยังจะให้รางวัลเจ้าอย่างงาม!”
องค์ชาย 6 เพียงพลิกฝ่ามือเบาๆก็ปรากฏยันต์อมตะแผ่นหนึ่ง จากนั้นมันก็สะบัดมือส่งยันต์อมตะดังกล่าวไปให้หนานกงลี่
หนานกงลี่เมื่อรับยันต์แสงเงาเหินกลับมา ก็เร่งคุกเข่าประสานมือคารวะทันที “ขอบพระคุณองค์ชาย 6!”
ในวันเดียวกันนั้นองค์ชาย 6 ก็สั่งการยอดฝีมือใต้อาณัติให้ออกไปสืบหาเบาะแสของสตรีชุดขาวที่ได้เห็นในลูกแก้วเงาลอยทันที กระทั่งยังให้ข้ารับใช้ที่มีฝีมือในการวาดภาพ เริ่มวาดภาพเหมือนของสตรีชุดขาวและคัดลอกแจกจ่ายออกไป
ด้วยเหตุนี้ในเวลาอันสั้นทั้งประเทศอวิ๋นเหยียนก็ได้รับทราบว่ามีโฉมงามพิลาศล้ำนางหนึ่ง ได้ทำให้องค์ชาย 6 ต้องตาพึงใจถึงขั้นระดมกำลังตามหาครั้งใหญ่…
ที่สำคัญยังแจ้งเตือนมาในประกาศว่า สตรีนางนี้พลังฝีมือไม่ใช่ชั่ว กระทั่งต้าหลัวจินเซียนขั้นเหลืองอันเป็นชนชั้นอาวุโสของตระกูลหนานกงยังตกตายคามือนาง…
ถึงกระนั้น ก็ยังมีคนมากมายออกตามหานาง
เพราะแค่พบเบาะแสที่อยู่ของสตรีนางนั้น ไม่ถึงกับต้องจับตัวอีกฝ่าย ก็จะได้รับรางวัลนำจับมหาศาลจากองค์ชาย 6 แล้ว…
…
หากการเดินทางออกจากประเทศอวิ๋นเหยียนของต้วนหลิงเทียนล่าช้าไปกว่านี้สักหลายๆวัน บางทีเขาคงได้รับทราบเรื่องที่มีภาพเหมือนฮ่วนเอ๋อข้างกายเขาแพร่กระจายออกไปทั่วประเทศอวิ๋นเหยียนในเวลาอันสั้น
เรียกว่าภาพเหมือนของฮ่วนเอ๋อยังทำให้ประเทศอวิ๋นเหยียนแตกตื่นกันยกใหญ่
ส่วนด้านต้วนหลิงเทียนนั้น ตอนนี้เขาได้พาฮ่วนเอ๋อเดินทางมาถึงเขตของประเทศเถิงหลงแล้ว และหลังผ่านไปอีกไม่กี่วันทั้งคู่ก็มาถึงด้านนอกเมืองหลวงประเทศเถิงหลงในที่สุด
ถึงแม้ว่าอาคารปลูกสร้างในเมืองหลวงของประเทศเถิงหลงจะไม่ได้แตกต่างไปจากอาคารของเมืองที่ต้วนหลิงเทียนเคยพบเจอมาเท่าไหร่ แต่ทว่าด้วยความกว้างใหญ่เหนือกว่าเมืองใดที่เขาพบเจอ รวมถึงกลิ่นอายอันน่าเกรงขามที่แผ่ซ่านออกมา ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกหวั่นๆอยู่บ้าง
“พี่หลิงเทียน…เมืองนี้ใหญ่มาก!”
ฮ่วนเอ๋อที่ลอยอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียน เมื่อมองไปยังเมืองหลวงของประเทศเถิงหลงอันกว้างใหญ่เบื้องหน้า สองตาคู่งามกระจ่างใสดั่งสระยามสารทก็เผยให้เห็นความประหลาดใจไม่น้อย
นอกจากความประหลาดใจแล้วยังเจือไว้ด้วยความตื่นเต้นซุกซนไม่น้อย
“เมืองใหญ่โตถึงขนาดนี้…ต้องมีอะไรน่าเล่นและของสวยๆเยอะแน่เลย!”
ฮ่วนเอ๋อปรบมือเสียงดังกล่าวออกด้วยความคึกคัก แลคล้ายเด็กน้อยยังไม่โต