ตอนที่ 2719 : 3 นิกายอมตะ
ในแดนร้าง โดยปกติแล้วไม่ว่าใครที่อยู่ในสถานที่เล็กๆ หากอยากสร้างชื่อเสียงให้เลื่องระบือ ก็มีแต่ต้องอาศัยพลังฝีมือตัวเองต่อสู้ดิ้นรน เพื่อไขว่คว้าลาภยศสรรเสริญจนเป็นที่รู้จัก ซึ่งนั่นก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย และหากมีอัจฉริยะที่ปรากฏตัวขึ้นในสถานที่เล็กๆจริง เหล่าขุมกาลังแถวนั้นก็จะพยายามไปเชื้อเชิญให้เข้าร่วมก่อน บ้างขู่บังคับก็มี เช่นนั้นแล้วหากไม่ใช่เพราะมีสังกัดก็อาจถูกฆ่าสกัดดาวรุ่ง แต่ถ้าโชคดีโด่งดังจนอยู่ในสายตาตระกูลราชวงศ์ ก็จะถูกเชื้อเชิญไปเข้าร่วมอย่างมีเกียรติ ทว่าเรื่องราวทานี้น้อยครั้งนักที่จะเกิดขึ้น
เนื่องจากอัจฉริยะที่โดดเด่นจริงๆ มันยากจะพานพบ และอยู่ๆประเทศเถิงหลงในฐานะประเทศอมตะระดับสูง ก็ถ่ายทอดคาสั่งให้เหล่าอ๋องรวบรวมตัวเหล่าอัจฉริยะที่อายุไม่ถึงร้อยปีแบบนี้… แม้หากมองเพียงแค่ผิวเผินแล้ว อาจเป็นได้ที่ตระกูลราชวงศ์ของประเทศเถิงหลงอยากได้รับอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่ร้ายกาจมาเสริมขุมกาลัง อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ว่า… เรื่องราวไม่ควรง่ายดายเพียงเท่านั้น! เพราะหากประเทศเถิงหลงอยากหายอดฝีมือมาเข้าร่วมขุมกาลังจริง ไฉนต้องจากัดอายุไว้ว่าไม่เกินร้อยปีด้วย?
เพราะสุดท้ายแล้วยอดฝีมือที่จะโดดเด่นขึ้นมาในเวลาไม่ถึงร้อยปี มันย่อมมีน้อยนิดนัก! ‘ประเด็นสาคัญก็คือ…วังฉินที่อยู่ในประเทศอวิ๋นเหยียน ก็กาลังเฟ้นหาอัจฉริยะที่อายุไม่ถึงร้อยปีเหมือนกัน’ ‘หลังจบการประลอง 16 มณฑลแล้ว 9 ใน 10 ไม่พ้นทางวังฉินก็จะต้องพาข้ากับอีก 9 คนเพื่อไปรวมตัวกันที่วังหลงของประเทศอวิ๋นเหยียนแน่ ถึงตอนนั้นใช่เหล่าอัจฉริยะอายุไม่ถึงร้อยปีทั้งหมด ต้องมาประชันกันเพื่อคัดเลือกอีกครั้งหรือไม่?’ ต้วนหลิงเทียนที่เงียบหูฟัง ก็ได้รับทราบข้อมูลมาว่า หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนเหล่ายอดฝีมือรุ่นเยาว์ทั้งหลายที่มีอายุไม่ถึงร้อยปี ที่ถูกเหล่าอ๋องตามหัวเมืองภาคต่างๆเฟ้นหามา จะถูกพามารวมตัวกันที่วังหลวงของประเทศ
เถิงหลง และถึงตอนนั้นจะมีการจัดการประลองขึ้นเพื่อเฟ้นหาสุดยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุด 50 คน! ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงรู้สึกว่า การประลอง 16 มณฑลที่วังฉินจัดขึ้น ท่าทางเหล่ารุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุด 10 อันดับแรก ไม่พ้นต้องถูกวังฉินส่งตัวไปยังวังหลวงของประเทศอวิ๋นเหยียน และแข่งขันกับรุ่นเยาว์ที่ถูกวังอื่นๆรวบรวมมาด้วยเช่นกัน ‘หืม?!’ ทันใดนั้นเอง หูต้วนหลิงเทียนก็คล้ายจะแผ่กางขึ้นเล็กน้อย และขณะเดียวกันนั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านนอกเบาๆว่า “คราวนี้ไม่เพียงแต่ประเทศเถิงหลงของเราที่
รวบรวมยอดฝีมือรุ่นเยาว์อายุไม่ถึงร้อยเพื่อมาเฟ้น 50 คนที่แข็งแกร่งที่สุด…เห็นว่ากระทั่งประเทศอมตะขนาดกลาง กับประเทศอมตะระดับต่าก็ต้องการเฟ้นหายอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดด้วยเช่นกัน” “ทว่าประเทศอมตะระดับกลางเพียงต้องเฟ้นหายอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดเพียง 30 คนเท่านั้น…ส่วนประเทศอมตะระดับต่าเห็นว่าเพียงเฟ้นหายอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่ง 20 คนก็พอ…” ทันทีที่เสียงนี้ดังขึ้น เสียงในโถงเหลาด้านนอกก็เงียบลงทันที ครู่ต่อมาก็มีคนเอ่ยถามขึ้นว่า “พี่ชายท่านนี้…ไม่ทราบท่านได้ข้อมูลเรื่องนี้มาจากที่ใด?”
“ประเทศอมตะระดับกลางกับระดับต่าก็เฟ้นหายอดฝีมืออายุไม่ถึงร้อยด้วยเหรอ? ข้านึกว่ามีแต่ประเทศอมตะระดับสูงอย่างประเทศเถิงหลงเราเสียอีกที่ต้องเฟ้นหายอดฝีมือรุ่นเยาว์” “แล้วไฉนจานวนยอดฝีมือที่ประเทศอมตะระดับกลางกับระดับต่าต้องเฟ้นหา ถึงได้ลดหลั่นลงไปเล่า?” … ไม่ทันไรก็มีคนที่สงสัยแข่งกันถาม ผู้ที่เอ่ยถึงเรื่องนี้เมื่อครู่ กล่าวต่อว่า “ดูท่าแล้วพวกเจ้าคงยังไม่รู้กันล่ะสิ…ว่าอีก 1 ปีหลังจากนี้จะมีงานประลองที่แดนร้าง?”
“งานประลองที่แดนร้างครั้งนี้ถูกจัดโดยนิกายอมตะยักษ์ใหญ่ทั้ง 3 แห่งแดนร้าง…ผู้ที่สามารถเข้าร่วมการประลองได้ต้องมีอายุไม่ถึง 100 ปี! และประเทศอมตะระดับสูงสามารถส่งคนเข้าร่วมการประลองได้ 50 คน หากเป็นประเทศอมตะระดับกลางก็ได้ 30 คน ส่วนประเทศอมตะระดับต่าก็ได้สิทธิ์แค่ 20 คนเท่านั้น” “ว่ากันว่า…อัจฉริยะที่สามารถแสดงผลงานได้ยอดเยี่ยมในการประลองแดนร้างครานี้ จักมีโอกาสได้เข้าร่วมกับ 3 นิกายยักษ์ใหญ่แห่งแดนร้างโดยตรง กลายเป็นศิษย์ของ 3 นิกายใหญ่!” … เมื่อคนผู้นี้กล่าวจบคา โถงรวมของเหลาอาหารก็ตกอยู่ในความเงียบทันที ผ่านไปพักหนึ่งก็ไม่มีใครกล่าวอะไรออกมา
“แดนร้าง?” “3 นิกายอมตะแห่งแดนร้าง!?” ต้วนหลิงเทียนที่นั่งฟังเรื่องราวในห้องส่วนตัวหยีตาลง ขณะเดียวกันในหัวเขาก็เริ่มปรากฏแผนที่หนึ่งขึ้น ยังเห็นการเดินทางข้ามผ่านดินแดนกว้างใหญ่ไปเรื่อยๆ แผนที่ๆว่าก็คือสิ่งที่เขาได้รับมาจากสกุลลู่แห่งเมืองฉีลู่ประเทศอวิ๋นเหยียน เมื่อแผนที่นี้มันมาในรูปแบบยันต์อมตะเก็บความทรงจา เช่นนั้นเรื่องราวการเดินทางก็เสมือนเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจาเขา ‘แผนที่นี่ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลนัก…ทางใต้เป็นภูมิประเทศภูเขารกร้างไร้สิ้นสุด ส่วนทางเหนือเมื่อ
ข้ามผ่านภูมิประเทศสลับซับซ้อนร้างผู้คนไปไกลๆ จะพบเจอดินแดนรกร้าง’ ‘รอบๆดินแดนรกร้างที่ว่ามีประเทศอมตะอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 373 ประเทศ เป็นประเทศอมตะระดับสูง 39 ประเทศ ประเทศอมตะระดับกลาง 125 ประเทศ ส่วนที่เหลือจะเป็นประเทศอมตะระดับต่า’ ‘ดินแดนรกร้างที่ว่ามีอาณาบริเวณกว้างขวางนัก หากแต่ไม่ได้เป็นของประเทศอมตะใดๆ…และพื้นที่รอบๆที่ติดกับแดนรกร้าง ก็ล้วนเป็นประเทศอมตะระดับสูง’ ‘นิกายอมตะหลงอี่ นิกายอมตะไท่อี และนิกายอมตะเชียนจู…ก็คือนิกายอมตะที่ตั้งอยู่ในแดนร้าง สมควรเป็น 3 นิกายอมตะยักษ์ใหญ่ที่ข้างนอกพูดถึงเมื่อครู่…’ …
และเสียงจากกด้านนอกที่ดังขึ้นต่อมา ก็ยืนยันการคาดเดาของต้วนหลิงเทียน นิกายอมตะทั้ง 3 นิกายใหญ่ของแดนร้างก็คือ นิกายอมตะหลงอี่ นิกายอมตะไท่อี และนิกายอมตะเชียนจู หลังจากนี้อีก 1 ปีพวกมันจะจัดงานประลองแดนร้างขึ้น! ถึงตอนนั้นประเทศอมตะทั้งหลายที่อยู่รอบๆแดนร้างสามารถส่งยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่มีอายุไม่ถึงร้อยปีเข้าไปร่วมประชันขันแข่งกันได้ และห้ามไม่ให้ประเทศไหนถอนตัวไม่เข้าร่วมงานประลองเป็นอันขาด! นั่นเพราะนิกายอมตะทั้ง 3 นิกายใหญ่ได้ส่ง ‘คาเชิญ’ ไปยังประเทศอมตะทั้ง 373 ประเทศรอบๆแดนร้างด้วยตัวเอง!
ถึงตอนนั้นหากมีประเทศไหนกล้าปีนเกลียวไม่เข้าร่วม ก็เสมือนคิดงัดข้อกับ 3 นิกายใหญ่ และพวกมันจะส่งยอดฝีมือไปล้างบาง! ในประวัติศาสตร์ของแดนร้าง ไม่เคยขาดเรื่องราวฆ่าล้าง! หากกล้าแข็งข้อก็ลองดู!! ขุมกาลังของนิกายอมตะทั้ง 3 นิกายใหญ่นั้น ไม่ว่าจะเป็นนิกายไหน ก็ทรงพลังสุดที่นิกายใดๆจะเทียบได้ กระทั่งให้ประเทศอมตะทั้งหลายร่วมมือกันยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ ในระนาบเทวโลกแห่งนี้ กล่าวได้ว่านิกายใดที่สามารถถูกเรียกหาว่า ‘นิกายอมตะ’ ได้ ก็คือขุมกาลังที่เหนือกว่าประเทศอมตะ!
หากนิกายใดไม่มีพลังอานาจเหนือกว่าประเทศอมตะระดับสูง เช่นนั้นชื่อนาหน้านิกายจะไม่มีคาว่านิกายอมตะ เพราะพวกมันไม่มีคุณสมบัติมากพอจะได้รับการเรียกขานดังกล่าว ‘นิกายอมตะทั้ง 3 นิกายใหญ่ในแดนร้าง ทรงพลังยิ่งกว่าประเทศอมตะระดับสูง…แต่ไม่รู้พวกมันเมื่อเทียบกับนิกายอมตะสือหังแล้วจะเป็นอย่างไร’ (เปลี่ยนชื่อนิกายของมู่หรงปิงจากนิกาย สือหังเซียน เป็น นิกายอมตะสือหัง แทนจ้า…พึ่งรู้ว่ามันมีตาแหน่งอะไรแบบนี้) หลังได้รับทราบถึงการดารงงอยู่ของ 3 นิกายอมตะที่เป็นใหญ่ในแดนร้างแล้ว สองตาต้วนหลิงเทียนพลันทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง ในใจปรากฏร่างบางวาบขึ้น ยังคิดถึงนิกายต้นสังกัดของนาง…นิกายอมตะสือหัง! เหตุผลที่ทาให้เขาต้องหลบหนีออกจากวังฉินนั้น ก็เพราะถูกยอดฝีมือจากนิกายอมตะสือหังไล่ล่าสังหาร!
‘อย่างไรเสียประเทศอมตะเถิงหลงก็เป็นประเทศอมตะระดับสูง เช่นนั้นข้อมูลของนิกายอมตะทั้งหลายก็คงมีไม่น้อย ข้าน่าจะพอหาข้อมูลของนิกายอมตะสือหังได้บ้าง…นอกจากนี้เดี๋ยวต้องไปซื้อยันต์อมตะเก็บความทรงจาที่มีข้อมูลเรื่องนิกายอมตะยักษ์ใหญ่ทั้ง 3 ของแดนร้างนี่เสียหน่อย’ ต้วนหลิงเทียนที่ครุ่นคิดก็ได้กาหนดเป้าหมายเล็กๆในใจ หลังจากนั้นบทสนทนาของโถงเหลาก็วนเวียนอยู่แต่กับเรื่องการประลองแดนร้าง บ้างก็คุยกันถึงเรื่องยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่อายุไม่ถึงร้อยปี และถกกันว่าผู้ใดจะเป็นตัวเก็ง และเก่งกาจที่สุด แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้สนใจเรื่องราวพวกนี้เลย
“ฮ่วนเอ๋อค่อยๆกินก็ได้ไม่ต้องรีบ…ถ้าหมดแล้วเดี๋ยวข้าสั่งมาเพิ่มให้เจ้า…” ต้วนหลิงเทียนหันกลับมาสนใจฮ่วนเอ๋อที่กาลังจัดการอาหารบนโต๊ะด้วยความเร็วปานพายุอีกครั้ง จึงทันได้เห็นภาพนางกาลังเอามือทุบอกเบาๆคล้ายมีอะไรติดขัด ส่วนด้านข้างตอนนี้ก็ปรากฏจานเปล่าวางซ้อนเรียงเป็นชั้นราวตึก! “อือ…งั่มๆ” ได้ยินคาของต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อก็พยักหน้างึกๆก่อนจะหยิบเนื้อชิ้นใหญ่มากินต่ออย่างมีความสุข ไม่ได้แลดูจะสนใจอะไรที่ต้วนหลิงเทียนพูดแม้แต่น้อย “เดี๋ยวข้าสั่งของหวานมาให้…”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นอีกสักพักเมื่อฮ่วนเอ๋อรับประทานอาหารบนโต๊ะใกล้จะหมดแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เรียกเสี่ยวเอ้อให้เอาของหวานมาอีก 2 ชุด และหลังจากที่ฮ่วนเอ๋อรับประทานของหวาน 2 ชุดที่ต้วนหลิงเทียนสั่งมาภายหลังจนหมดแล้ว นางก็ยกมือขึ้นปาดเช็ดปากที่มันแผลบ ก่อนที่จะลูบท้องตัวเองเบาๆ สีหน้าแลดูพึงพอใจไม่น้อย “เอาล่ะพอเท่านี้ก่อน มารดาเคยบอกไว้ยามเช้าสมควรรับประทานให้อิ่มท้องเพียง 6 ส่วน…ค่อยเก็บไว้รับประทานมือเที่ยงกับมือเย็นต่อก็ได้…” “อิ่มท้องเพียง 6 ส่วน?”
ได้ยินคาของฮ่วนเอ๋อมุมปากต้วนหลิงเทียนก็กระตุกขึ้นมาตงิดๆ หากเขาไม่ทราบมาก่อนแต่แรก ว่าในร่างฮ่วนเอ๋อมีสายเลือดสัตว์อมตะไหลเวียนอยู่ครึ่งหนึ่งล่ะก็ เขาคงคิดว่านางเป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ หลังจากชาระเงินแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อที่ได้สวมผ้าปิดปากและหมวกงอบคลุมหน้าเรียบร้อยออกจากเหลาอาหารไป และในขณะที่เดินออกจากเหลา เขาก็เห็นเสี่ยวเอ้อที่กาลังมองมาที่เขาด้วยสายตาราวกับกาลังมองอสูรกาย… เห็นสายตาดังกล่าวของเสี่ยวเอ้อ เขาอยากจะหันกลับไปบอกอีกฝ่ายเหลือเกิน…ว่าที่สั่งมาทั้งหมดเมื่อครู่เขาไม่ได้กินสักคา! ทั้งหมดเป็นฮ่วนเอ๋อสวาปามลงไปแต่เพียงผู้เดียว…!!
ฮู่มมม!! ตึง! ตึง! … ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อกาลังเดินอยู่บนถนนเพื่อหาที่พัก เขาก็ได้ยินเสียงคารามดุร้ายหนึ่ง จากนั้นก็มีดังสนั่นปานแผนดินไหวดังขึ้นจากถนนเบื้องหน้าไกลๆ ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนจึงได้พบว่า มีสัตว์อสูรตัวเขื่องตัวหนึ่งที่มีหัวถึง 9 หัวกาลังลากรถไร้หลังคาวิ่งมาอย่างเกรี้ยวกราด มันคารามอย่างดุร้ายแถมวิ่งมาราวอันธพาลร้านถิ่นไม่แยแสผู้อื่น ที่สาคัญความเร็ว
ของมันยังทัดเทียมกับม้าสีขาวปลอดทั้ง 9 ที่เขาเคยเห็นในวังฉิน! ‘สัตว์อมตะหน้าตาประหลาดนี่…ยังมีด่านพลังจินเซียนตะวันม่วงเท่ากันกับเจ้าม้าขาวทั้ง 9 ด้วย…’ ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ จากนั้นต้นหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะจูงมือฮ่วนเอ๋อให้หลบออกไปข้างถนน จากนั้นเขาก็เห็นร่างคนบนรถไร้หลังคาที่ถูกสัตว์ประหลาดลากมา เป็นสตรีในชุดสีส้มที่หน้าตาสะสวยไม่เบา ทว่าอย่างไรก็ด้อยกว่าฮ่วนเอ๋ออยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นหว่างคิ้วที่เต็มไปด้วยความจองหองถือดีนั่น ก็เผยให้รู้ว่านางเป็นสตรีเจ้าอารมณ์ทั้ง
นิยมยึดตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางตามประสาคุณหนูอารมณ์ร้ายจากตระกูลใหญ่ๆ… ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองสตรีชุดส้มนางนั้น สตรีคนดังกล่าวก็หันมาเห็นต้วนหลิงเทียนเข้าพอดี และนั่นทาให้สองตาของนางที่แลดูไม่เห็นหัวผู้ใด ถึงกับลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมาโดยพลัน! มองแววตาของนางแล้ว ไม่ต่างอะไรจากหมาป่าโหยหิวพบพานเหยื่ออันโอชะ! อย่างไรก็ตามด้วยความเร็วของสัตว์อสูร 9 หัวที่ลากรถของนางนั้นเร็วมาก ทาให้พริบตานางก็วิ่งสวนต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อไปไกลห่าง… ด้านต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้หันไปเหลียวมองนางแม้แต่น้อย เพียงพาฮ่วนเอ๋อเดินต่อไปอย่างไม่ได้สนใจอะไร
‘หืม?’ ทว่าทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะเขาได้ยินเสียงคารามดังลั่นของสัตว์อสูร 9 หัวจากด้านหลัง และเขายังสัมผัสได้ถึงบางอย่าง… สายตาของสตรีบนรถที่ถูกสัตว์อสูร 9 หัวลากนั่น ดูเหมือนจะยังคงมองจ้องเขาไม่วางตา!