ตอนที่ 2,731 : เคล็ดอมตะขั้นปฐพี!

เป็นธรรมดาว่า คำพูดที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ยว่า ‘ในโรงเตี๊ยมหลิวเหนียนมีคนขององค์ชาย 13 อยู่นั้น’ ไม่ได้จะบอกว่าองค์ชาย 13 ส่งคนมาแฝงตัวในฐานะแขก แต่เป็นคนของสกุลเหนียนที่ถูกองค์ชาย 13 ซื้อตัวไป!

โรงเตี๊ยมหลิวเหนียน เป็นกิจการของตระกูลเหนียน

และตระกูลเหนียนนั้นก็มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดสนิทสนมกับองค์ชาย 7 ของประเทศเถิงหลง โดยปกติแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรับใช้องค์ชาย 13

ก็เลยมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

องค์ชาย 13 หลงเฟยอวิ๋น สมควรจัดแจงซื้อคน หรือไม่ก็ให้คนของตัวเองสวมรอยไว้ในโรงเตี๊ยมหลิวเหนียน และคอยสืบข่าวคราวแต่แรก…

“น้องต้วนมองขาดจริงๆ…ผู้ดูโรงเตี๊ยมหลิวเหนียน หวังเผิง เป็นคนของข้าเอง”

ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน องค์ชาย 13 ก็คลี่ยิ้มบางๆ กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเฉยๆ ไม่คล้ายกังวลอะไร

“อ้อ?”

ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ “องค์ชาย 13 นับเป็นคนเปิดเผยจริงๆ…แต่ท่านนำเรื่องเช่นนี้มาบอกข้า หรือท่านไม่กลัวว่าข้าจะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป? เกิดข้าแพร่งพรายออกไป ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมหลิวเหนียนคนนั้นหากไม่ตายก็ต้องถูกถลกหนังไม่ใช่รึ?”

“ที่สำคัญเลยก็คือ ท่านจะเสียหูตาอันมีค่าในตระกูลเหนียนไป”

ขณะเอ่ยประโยคนี้ สองตาต้วนหลิงเทียนก็มองจ้องหลงเฟยอวิ๋นอย่างลึกซึ้ง

“ท่านจะทำ?”

หลงเฟยอวิ๋นเลืกจะย้อนถามด้วยรอยยิ้มบางๆ

“ข้าไม่ได้ว่างพอจะทำอะไรพรรค์นั้น”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวพลางยักไหล่

ที่เขามาประเทศอมตะเถิงหลงนั้น เขาแค่มาพักอาศัยเป็นการชั่วคราว หากเขากำหนดเป้าหมายใหม่ที่จะไปต่อได้แล้ว…เขาก็จะออกเดินทางทันที!

เพราะสำหรับเขาแล้ว อย่าว่าแต่ประเทศอมตะเถิงหลงเลย ให้เป็นแดนร้างอะไรที่ว่า ก็ไม่ต่างอะไรจากจุดเริ่มต้นของเขาในแดนสวรรค์หลิงหลัวเทียนแห่งนี้ เขาคิดจะออกจากเขตอำนาจของแดนร้าง ขวนขวายไปยังดินแดนที่สูงยิ่งขึ้น เพื่อยกระดับพลังฝึกปรือของเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

เขามีเวลาแค่พันปีเท่านั้น…

หลังผ่านพ้นไปพันปี หากพลังฝีมือของเขายังไม่สูงพอจะถล่มได้ทั้งแดนสวรรค์เพียงลำพังดั่งผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน เช่นนั้นถึงแม้เขาจะบุกไปถึงดินแดนแห่งทวยเทพที่ตระกูลเซี่ยตั้งอยู่ เขาก็ไร้ซึ่งกำลังจะช่วยเหลือภรรยาอย่างเค่อเอ๋อให้หลุดพ้นบ่วงที่เรียกว่า ‘ตระกูล’ รวมถึงช่วยชีวิตญาติสนิทมิตรสหายทั้งหมดของเขาจากน้ำมืออวิ๋นชิงเหยียน!

แม้เขาจะขึ้นมายังหลิงหลัวเทียนแห่งนี้ได้ไม่ถึง 10 ปี และสามารถบรรลุระดับพลังขนาดนี้ได้…

แต่เขารู้ดีแก่ใจ

ว่านี่มันแค่ก้าวแรกเท่านั้น! หนทางเบื้องหน้ายังอีกยาวไกลนัก และยิ่งมายิ่งมีอุปสรรคขวากหนามมากขึ้นทุกขณะ!

เนื่องเพราะยิ่งด่านพลังฝึกปรือสูงขึ้นมากเท่าไหร่ ความก้าวหน้าก็ยิ่งยากเย็นขึ้นเท่านั้น!

ตอนนี้เขามันก็แค่จินเซียนคนหนึ่ง ยังไม่แม้แต่จะบรรลุถึงด่านพลัง ต้าหลัวจินเซียน ที่ได้ชื่อว่าเป็นกำลังรบขั้นต่ำของระนาบเทวโลกด้วยซ้ำ! เช่นนั้นนับประสาอะไรกับทั้งแดนสวรรค์หลิงหลัวเทียน เอาแค่เขตอำนาจของแดนร้าง ด่านพลังเท่านี้ของเขายังไม่อาจนับเป็นตัวอะไรได้!

ถึงแม้ตอนนี้พลังฝีมือที่แท้จริงของเขาจะก้าวข้ามขอบเขตพลังฝึกปรือไปหลายขั้น หากแต่ยังห่างชั้นถ้าจะไปวัดพลังกับตัวตนขอบเขตพลัง ยอดเซียนอมตะ!

และลำพังแค่ประเทศอมตะเถิงหลงแห่งนี้ ก็ไม่ได้ขาดชนชั้นยอดเซียนอมตะเลย!

ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงยอดเซียนอมตะของตระกูลราชวงศ์อันทรงพลัง ลำพังแค่ยอดเซียนอมตะของตระกูลเหนียนเขาก็ไม่ไหวจะสู้แล้ว…

ขอแค่ยอดเซียนอมตะคนใดสักคนในสกุลเหนียนลงมือเข่นฆ่าเข้ามา ให้เขาใช้ออกด้วยทุกสิ่งรวมถึงอดีตอุปกรณ์เทพอย่างกระบี่หลิงหลง 7 สมบัติลงมือแลกตาย ก็ไม่อาจรับมืออีกฝ่ายได้แม้ครึ่งกระบวน! หากพวกมันอยากให้เขาตาย เขาก็มีแต่ต้องตายอย่างไร้ซึ่งหนทางต่อต้าน!!

“ข้าก็เชื่อว่าอย่างน้องต้วนท่าน คงไม่ว่างไปทำเรื่องไร้สาระอะไรเช่นนั้น”

หลงเฟยอวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“น้องต้วน…”

หลังจากนั้นดวงตาของหลงเฟยอวิ๋นก็คล้ายจะเปล่งแสงสว่างขึ้นวาบหนึ่ง เอ่ยออกเสียงขรึม “เท่าที่ข้าทราบมา ดูเหมือนน้องต้วนท่านจะมาจากนิกายอมตะนอกแดนร้าง แต่ข้าสงสัยนักว่าไยน้องต้วนถึงได้ให้ความสนใจกับเคล็ดอมตะขั้นลี้ลับด้วยเล่า หรือเคล็ดอมตะขั้นลี้ลับอย่าง ‘ทมิฬลี้ลับรวมผสาน’ มีความลับยิ่งใหญ่อันใดซุกซ่อนอยู่?”

ตอนนี้ในใจหลงเฟยอวิ๋นมีข้อสันนิษฐานประการหนึ่ง

ชายหนุ่มในชุดม่วงเบื้องหน้า แท้จริงแล้วไร้ซึ่งภูมิหลังยิ่งใหญ่อันใดทั้งสิ้น และเพียงแค่เสแสร้งแสดง ทำเป็นวางมาดยอดฝีมือลึกลับความเป็นมาใหญ่โตปั่นหัวพี่ 4 ของมัน ให้บังเกิดอาการคิดเขวี้ยงมุสิกริ่งเกรงภาชนะเสียหาย เพื่อจบเรื่องราวความบาดหมางที่ลงมือสอนบทเรียนคุณหนู 4 กลางถนนโดยเฉพาะ!

“เจ้าหนุ่มนี่ ยังมีอายุมิถึงร้อยปีจริงๆ…”

ขณะเดียวกันกับที่หลงเฟยอวิ๋นกำลังคุร่นคิดถึงความเป็นไปได้เรื่องนี้ เสียงผ่านพลังของชายวัยกลางคนด้านหลัง ก็ดังขึ้นในหู

ด้วยความที่ชายวัยกลางคนเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ สำนึกเทวะของมันย่อมทรงพลังสุดที่ต้วนหลิงเทียนในตอนนี้จะหยั่งถึง

เช่นนั้นยามสำนึกเทวะของมันแผ่ซ่านออกมาตรวจสอบ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจรู้ตัวแม้แต่น้อย

“นอกจากนั้น…เจ้าหนุ่มผู้นี้สมควรมียอดวิชาบางอย่างที่สามารถปกปิดพลังฝึกปรือได้อย่างลึกล้ำ เพราะยามข้าแผ่สำนึกเทวะไปหมายหยั่งถึงแรงต้านทานพลังวิญญาณของมัน สำนึกเทวะของข้ากลับจมหายไปในร่างมันอย่างไร้ร่องรอย…”

ชายวัยกลางคนเอ่ยผ่านพลังเสียงหนัก แจ้งเรื่องราวที่ค้นพบต่อหลงเฟยอวิ๋น

เอ่ยถึงเรื่องนี้ ในระนาบเทวโลกนั้นมีเคล็ดวิชาอมตะเร้นพลังมากมาย ที่ทำให้ผู้อื่นมิอาจตรวจสอบพลังฝึกปรือของผู้ใช้ได้ ทำให้ต่อให้เป็นตัวตนอันทรงพลังเหนือกว่าผู้ใช้มากเพียงใด ก็ยากที่หยั่งถึงพลังฝึกปรือผ่านการตรวจสอบแรงต้านของพลังวิญญาณ

มีเพียงแต่ต้องรอให้อีกฝ่ายโคจรใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดออกมาเท่านั้น จึงจะกะประมาณด่านพลังฝึกปรือได้คร่าวๆ ไม่อาจสัมผัสจากกลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมาจากร่างกายตามปกติได้

และทั้งหมดเป็นเพราะชีพจรสวรรค์ มันกักเก็บพลังไว้ในร่างได้อย่างมิดชิด!

ดังนั้นในระนาบเทวโลกทั้งมวล หากคิดจะตรวจสอบพลังฝึกปรือของอีกฝ่าย โดยมากแล้วจะอาศัยการแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบเท่านั้น ด้วยความที่สำนึกเทวะก็คือการใช้พลังวิญญาณในแขนงหนึ่ง เช่นนั้นยามแผ่เข้าไปในดวงจิตอีกฝ่าย ก็ย่อมพบเจอกับแรงต้านทานของพลังวิญญาณตามธรรมดา และด้วยความที่พลังวิญญาณจะก้าวหน้าพร้อมด่านพลังฝึกปรือ จึงกะประมาณด่านพลังฝึกปรือได้จากแรงต้านทานของพลังวิญญาณนั่นเอง…

ในจุดนี้ก็ไม่แตกต่างอะไรจากการตรวจสอบพลังฝึกปรือของระนาบโลกียะ

ซัวว!

ทันใดนั้นเอง อยู่ๆบนโต๊ะไม้หรูหราพลันมีคลื่นพลังขุมหนึ่งแผ่พุ่งชำแรกมาตามเนื้อไม้ พาลให้ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงโดยพลัน ฝ่ามือค่อยๆวางทาบลงบนโต๊ะเบาๆ เปล่งพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดไร้สภาพแผ่พุ่งไปในโต๊ะไม้ ต้านทานสลายคลื่นพลังที่แผ่พุ่งดังกล่าวได้อย่างไม่ยากเย็น…

“ดูเหมือนองค์ชาย 13 ก็ชมชอบการละเล่นเล็กๆน้อยๆเหมือนกับองค์ชาย 4…”

หลังสลายคลื่นพลังไร้สภาพที่แผ่พุ่งผ่านโต๊ะได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ถอนรั้งพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดคืนกลับฉับไวสุดที่ใครจะสัมผัสได้ทัน ค่อยกล่าวออกมา แต่ทว่าการลงมือครานี้ก็ทำให้ลูกตาองค์ชาย 13 หดเล็กลงทันที

‘ต้าหลัวจินเซียน!’

‘อายุไม่ถึงร้อยปี แต่บรรลุถึงขอบเขตต้าหลัวจินเซียนได้จริงๆ!’

เรียกว่าวาจาที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวเมื่อครู่ ไม่ได้เข้าหูหลงเฟยอวิ๋นแม้แต่น้อย เพราะมันยังคงตกตะลึงอยู่!

มันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าที่อายุไม่ถึงร้อยปีนั้น จะเป็นต้าหลัวจินเซียนไปได้!

อีกทั้งจากการทดสอบเมื่อครู่ มันยังมั่นใจเรื่องหนึ่งได้เต็มสิบส่วน

ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องหน้าของมัน ไม่ได้มีพลังอ่อนด้อยไปกว่าชนชั้นยอดฝีมือขอบเขตต้าหลัวจินเซียนขั้นเหลืองเลย!

ที่สำคัญที่สุดคือ…

อายุของชายหนุ่มเบื้องหน้ายังไม่ถึงร้อยปี!

‘มิน่าแปลกใจเลยที่ไฉนพี่ 4 ถึงได้กังวลเรื่องมันนัก…ที่แท้ไม่ใช่แค่เพราะศิษย์น้องหญิงที่มันบอกว่ายังมีอายุน้อยกว่ามันเสียอีก แต่ที่แท้ยังเป็นเพราะตัวมันเองอีกด้วย’

‘ศิษย์น้องหญิงของงมันแม้ข้าจะไม่เคยพบเจอมาก่อน และไม่แน่ใจว่ามีพลังฝีมือเลิศล้ำถึงขั้นเข่นฆ่าชนชั้นอาวุโสของตระกูลโจวที่มีพลังฝึกปรือขอบเขตต้าหลัวจินเซียนขั้นปฐพีได้ง่ายดายจริงอย่างที่ร่ำลือหรือไม่…แต่ชายหนุ่มแซ่ต้วนผู้นี้ กลับมีอายุไม่ถึงร้อยปีและบรรลุขอบเขตพลังต้าหลัวจินเซียนขั้นเหลืองได้แล้วจริงๆ!’

ยามที่หลงเฟยอวิ๋นมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ในแววตามันก็ไม่อาจปกปิดความตกตะลึงได้มิด ยังคงตะลึงเช่นนั้นอยู่นานไม่หาย

ตอนนี้มันไม่สนอีกต่อไปว่าตัวตนที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียนจะเป็นใครมาจากไหน และใช่มีนิกายอมตะอันทรงพลังร้ายกาจอยู่เบื้องหลังหรือไม่…เพราะทั้งหมดที่ว่ามานั้น ในสายตาของมันตอนนี้ล้วนไร้ความสำคัญอีกต่อไป! และการที่อีกฝ่ายอายุไม่ถึงร้อยปีแต่มีพลังเทียบได้กับยอดฝีมือต้าหลัวจินเซียนขั้นเหลือง ก็ทำให้มันเริ่มคิด..

‘บางที…พวกเราอาจทำข้อตกลงกับมันได้’

เมื่อคิดถึงจุดนี้ สองตาหลงเฟยอวิ๋นก็เปล่งประกายสว่างวาบดั่งดวงดารากลางฟ้ายามราตรีกาล ช่างระยิบระยับสดใสนัก

“น้องต้วน พอดีข้ามีเคล็ดอมตะขั้นปฐพีอยู่ในมือ…ไม่ทราบว่าท่านสนใจหรือไม่?”

หลงเฟยอวิ๋นมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเร่าร้อน กล่าวถามออกไปเสียงห้วน

เคล็ดอมตะขั้นปฐพี!

เพียงวาจานี้เอ่ยเอื้อนออกมาจากปากหลงเฟยอวิ๋นจบคำ ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดแคบลงทันที

อย่างไรก็ตาม ไม่ทันไรเขาก็ฟื้นคืนสติ แววตายังกลายเป็นกระจ่างใสกว่าเดิม “เคล็ดอมตะขั้นปฐพีที่องค์ชาย 13 กล่าว…คือเคล็ดอมตะที่เป็นมรดกตกทอดของตระกูลราชวงศ์ประเทศอมตะเถิงหลงใช่หรือไม่?”

เท่าที่ต้วนหลิงเทียนทราบมา

ในประเทศอมตะเถิงหลงแห่งนี้ มีเคล็ดอมตะขั้นปฐพีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น และก็มีแค่ตระกูลราชวงศ์ของประเทศอมตะเถิงหลงเท่านั้นที่มีสิทธิ์ฝึกฝน…

“แต่เท่าที่ข้ารู้มา…ไม่ใช่ว่าเคล็ดอมตะที่สืบทอดกันในตระกูลราชวงศ์นั้น มีเพียงแต่ผู้ที่ได้รับเลือกในตระกูลไม่ใช่หรือที่ฝึกปรือได้…นอกจากนั้น หากเป็นผู้อื่นไม่ว่าจะใครหน้าไหนไม่เว้นแม้กระทั่งอ๋องหรือองค์ชาย หากส่งมอบมันให้คนอื่น ทั้งหมดจะถูกคนของตระกูลราชวงศ์ไล่ล่าสังหาร…

ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา “องค์ชาย 13 ท่านกล่าวถามข้าเรื่องนี้ ใช่คิดทดสอบดูว่าข้าสนใจอยากได้เคล็ดอมตะขั้นปฐพีไปฝึกฝนหรือไม่สินะ…”

“หากข้าตอบว่าอยากได้เคล็ดอมตะขั้นปฐพีที่ท่านกล่าว รวมถึงมองจากเรื่องที่เมื่อครู่ข้าพึ่งจะประมูลเคล็ดอมตะขั้นลี้ลับมา องค์ชาย 13 คงได้ข้อสรุปในใจทันทีใช่หรือไม่ ว่าข้าไม่ได้มาจากนิกายอมตะอันทรงพลังนอกแดนร้าง?”

ในสายตาของต้วนหลิงเทียน

สิ่งนี้สมควรเป็นเหยื่อที่หลงเฟยอวิ๋นคิดล่อให้เขาติดกับ

สำหรับ ‘วัตถุประสงค์’ ที่ไฉนมันทำแบบนั้น ก็อย่างที่เขาพึ่งกล่าวไปเมื่อครู่

และการที่เขาเลือกจะประมูลเคล็ดอมตะขั้นลี้ลับนั้น บางทีอาจเป็นเพราะมันมีความลับอันยิ่งใหญ่อะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่จริงๆ ไม่ใช่เพราะเขาประมูลไปเพื่อฝึกฝนใช้เอง

คนที่มาจากนิกายอมตะอันทรงพลังนอกแดนร้าง ทั้งสามารถบรรลุด่านพลังฝึกปรือขอบเขตต้าหลัวจินเซียนได้โดยที่อายุไม่ถึงร้อยปี ยังขาดแคลนเคล็ดอมตะขั้นปฐพีไว้ฝึกปรือได้หรือ?

“น้องต้วน เป็นท่านคิดมากเกินไปแล้ว…”

ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน หลงเฟยอวิ๋นก็ส่ายหัวไปมาทันที “ตอนนี้น้องต้วนท่านจะมาจากนิกายอมตะทรงพลังอันใดนอกแดนร้างหรือไม่ก็ช่าง สำหรับข้าเรื่องนั้นมันไม่มีความสำคัญอะไรอีกต่อไป”

“กระทั่งตอนนี้ในใจข้ายังหวังเป็นอย่างยิ่งว่า…น้องต้วนท่านจะไม่ได้มาจากนิกายอมตะอันทรงพลังนอกแดนร้างจริงๆ…”

“และก่อนที่ข้าจะเอ่ยเหตุผลว่าเป็นเพราะอะไร มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะแจ้งให้น้องต้วนทราบก่อน…เคล็ดอมตะขั้นปฐพีในมือข้านั้น มันมิใช่เคล็ดอมตะขั้นปฐพีที่สืบทอดต่อกันมาในตระกูลราชวงศ์”

“ข้าขอกล่าวตามตรงอย่างที่ไม่กลัวน้องต้วนจะหัวเราะเยาะข้าเลยก็ได้ แต่ตัวข้านั้นตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยได้แตะคัมภีร์เคล็ดอมตะขั้นปฐพีของตระกูลราชวงศ์เลยด้วยซ้ำ เรื่องที่ข้าฝึกฝนมันยิ่งไม่ต้องพูดถึง!”

กล่าวถึงจุดนี้มือที่วางอยู่บนโต๊ะไม้หรูหราของหลงเฟยอวิ๋นก็กำหมัดแน่นจนข้อขาว ยังแลเห็นเส้นเลือดขอดเต้นตุบๆบนหลังมือชัดเจน เห็นได้ชัดว่ายามนี้อารมณ์ของมันพุ่งพล่านถึงขนาดไหน

“ทั้งหมดเป็นเพราะ…จนบัดนี้เสด็จพ่อยังรู้สึกว่าข้าอาจไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ!”

พอกล่าวออกมาอีกครั้ง สองตาของหลงเฟยอวิ๋นก็ฉายชัดถึงความหม่นหมองทำนองเศร้าหนึ่ง ทว่าไม่ทันไรสายตาที่สลดก็ฉายประกายแหลมคมเรืองวาบ

“องค์ชาย 13 นี่ท่านยังไม่ได้รับถ่ายทอดเคล็ดอมตะขั้นปฐพีของตระกูลราชวงศ์อีกหรือ?”

ต้วนหลิงเทียนต้องตกใจแล้วจริงๆ!

ถึงแม้เขาจะทราบมาแต่แรกว่า จนบัดนี้นี้ฮ่องเต้เถิงหลงยังไม่แน่ใจว่าองค์ชาย 13 ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของมันจริงๆหรือไม่ จึงไม่ได้ดูดำดูดีอะไรองค์ชาย 13…

อย่างไรก็ตามเขาคิดไม่ถึงเลย

ว่าความแคลงใจของฮ่องเต้เถิงหลงเรื่องที่องค์ชาย 13 อาจไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของมัน ยังรุนแรงถึงขั้นไม่แม้แต่จะถ่ายทอดเคล็ดวิชาที่สืบทอดกันในตระกูลราชวงศ์ให้องค์ชาย 13! สิ่งนี้ยังต่างอะไรกับตีตราไว้บนหน้าผากองค์ชาย 13 ว่าเป็นคนนอกตระกูล?

จึงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจินตนาการได้ออก ว่าองค์ชาย 13 นั้นบังเกิดความอัดอั้นตันใจขนาดไหน!