เล่ม 1 ตอนที่ 389-2 วั่งซูออกศึก!

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 389-2 วั่งซูออกศึก!

เขาหยิบค้อนเหล็กอันใหญ่ออกมาจากห้องเก็บเครื่องมือ จากนั้นวางธนูจันทร์โลหิตลงบนพื้นหินเขียวตรงทางเดิน แล้วเหวี่ยงค้อนทุบลงไปอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย!

โครม! หัวค้อนหลุดกระเด็น

ใต้เท้าเจ้าสำนักมองด้ามจับหัวโล้นในมือ “…”

ค้อนใช้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเปลี่ยนอาวุธ

“นางยักษ์ ขอยืมกริชใช้หน่อย!”

กริชของเฉียวเวยเคยฟันอาภรณ์ไหมฟ้าแดนหิมะของผู้อาวุโสสามขาดมาแล้ว แค่ธนูคันเดียว คิดว่าคงไม่ใช่ปัญหา

ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือแม้แต่กริชเฟิ่นเทียนก็ตัดสายธนูไม่ขาด!

ใต้เท้าเจ้าสำนักโยนมันลงไปในน้ำ

ใต้เท้าเจ้าสำนักโยนมันลงในกองไฟ

ใต้เท้าเจ้าสำนักกระทืบมันอย่างคลุ้มคลั่ง!

“อารอง ท่านกำลังทำอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”

เสียงงัวเงียเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง

ใต้เท้าเจ้าสำนักหันกลับไปเห็นเจ้าตุ้ยนุ้ยที่เดินออกมาจากห้องตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ นางสวมอาภรณ์ตัวจ้อยสีชมพูทำให้ดูเหมือนซาลาเปาน้อยสีชมพูนุ่มนิ่ม

นางขยี้ตา สภาพเหมือนยังไม่ตื่นดี

ใต้เท้าเจ้าสำนักชักเท้ากลับมาเงียบๆ แล้วถามด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าออกมาทำอะไร”

วั่งซูงึมงำฟังไม่ค่อยชัด “ฉิ้งฉ่องเจ้าค่ะ”

“แล้วฉิ้งฉ่องเสร็จแล้วหรือยัง” ใต้เท้าเจ้าสำนักถามอย่างดุๆ

“ฉิ้งฉ่องเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” วั่งซูอ้าปากหาวเบาๆ

ใต้เท้าเจ้าสำนักจึงเท้าสะเอว ถามด้วยท่าทางเข้มงวด “ถ้าอย่างนั้นยังไม่รีบกลับไปนอนอีก”

“เจ้าค่ะ” วั่งซูเดินไปทางห้องของตนเองเงียบๆ

คนเดินจากไปไกลแล้ว แต่แล้วก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงถอยกลับมาทีละก้าวๆ แล้วโคลงศีรษะน้อยๆ ของตน แล้วมองธนูที่ถูกเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าของใต้เท้าเจ้าสำนักอีกหน ก่อนจะถามอย่างสงสัยว่า “เอ๋ นี่มันธนูของท่านผู้เฒ่าไม่ใช่หรือ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักกะพริบตาอย่างแปลกใจ “ท่าน…ท่านผู้เฒ่าหรือ”

คนในห้องต่างถูกคำพูดของวั่งซูดึงความสนใจ พวกเขาพากันหันมามองนาง

นางผายมือ “ใช่แล้วเจ้าค่ะ! ก็ท่านผู้เฒ่า ท่านผู้เฒ่า…ที่มีผมขาวหน่อยๆ คนนั้นอย่างไรเล่าเจ้าคะ! หนก่อนข้าพบเขาที่วังหลวงด้วย!”

ผู้เฒ่าผมขาวที่พบในวังหลวงไม่ใช่ราชครูเยี่ยหลัวหรอกหรือ

แต่วันนั้นที่วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นเข้าวัง ราชครูถูกมือสังหารฝีมือร้ายกาจคนหนึ่งทำร้ายจนบาดเจ็บหนักไม่ใช่หรือไร

มือสังหารคนนั้นจวบจนวันนี้ก็ยังจับไม่ได้

ในชั่วเวลาเท่าสะเก็ดไฟแลบนั่น เฉียวเวยก็ตระหนักถึงอะไรขึ้นมาได้ ดวงตาของนางเบิกโต…

ราชครูถูกเจ้าอ้วนตัวจ้อยคนนี้ทุบตีจนเจ็บหนักอย่างนั้นหรอกหรือ!

หลังพ้นเที่ยงคืน ฝนฤดูใบไม้ร่วงก็พร่างพรมทั่วเมืองหลวง อากาศเย็นลงอย่างฉับพลัน ทว่าพอฟ้าสาง สายฝนกลับหยุด ดวงตะวันแย้มหน้า ท้องนภาใสกระจ่างราวถูกชะล้าง ความอบอุ่นและความสว่างไสวเล็ดลอดผ่านอากาศเย็นฉ่ำ

ลึกเข้าไปในพระราชฐานชั้นนอก เสียงผู้คนดังเอะอะบนสนามหญ้า การประลองรอบที่สองระหว่างตำหนักราชครูแห่งเยี่ยหลัวกับตระกูลจีแห่งต้าเหลียงกำลังจะเปิดม่านขึ้นแล้ว

หนนี้เป็นสุดยอดการดวลระหว่างธนูจันทร์โลหิตสมบัติปกปักษ์สำนักของตำหนักราชครูกับกระบี่โหราจารย์จิตวิญญาณแห่งตำหนักโหราจารย์

เล่ากันว่าบนโลกใบนี้ผู้ที่ง้างธนูจันทร์โลหิตได้มีเพียงผู้ครองตำแหน่งราชครูแต่ละรุ่นเท่านั้น ส่วนผู้ที่ชักกระบี่โหราจารย์ออกมาได้ก็มีเพียงทายาทของโหราจารย์ ดังนั้นการประลองศึกนี้ ถูกลิขิตให้เป็นการประลองอันโหดร้ายระหว่างราชครูเยี่ยหลัวกับจีหมิงซิว

ทุกคนต่างตั้งตาคอยการประลองรอบนี้อย่างยิ่ง ฟ้ายังไม่สางก็เข้าวังมาแล้ว เหลือเวลาก่อนจะเปิดฉากอีกหนึ่งชั่วยาม ลานประลองก็มีคนนั่งเต็มจนไม่มีที่นั่งเหลือ

เพียงแต่ว่า…นี่ก็รอมาตั้งนานแล้ว เหตุใดยังไม่เห็นเงาของท่านราชครูอีกเล่า

หรือว่าเขาจะหนีศึกเสียแล้ว

“อาจารย์ ท่านตัดสินใจดีแล้วหรือ จะไปจริงหรือขอรับ มิสู้เลื่อนเวลาไปอีกวันสองวัน รออาการบาดเจ็บภายในของท่านหายดีแล้วค่อยไปเถิด!”

ในตำหนักฉางฮวน ศิษย์เอกมองราชครูที่แต่งตัวพร้อมรบ แล้วเอ่ยจากใจจริง

เมื่อวานหลังจากส่งยาให้อาจารย์แล้ว เขาก็ไม่กล้ารบกวนยามท่านอาจารย์กินยาจึงรีบกลับไปที่ห้อง ตอนเที่ยงคืนจู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเขาลืมลูกสุนัขตัวนั้นของตัวเองไว้ที่ห้องของอาจารย์ เขาจึงรีบไปพาตัวมันมา

คิดไม่ถึงว่าพอก้าวเข้าไปในห้องก็เห็นอาจารย์หมดสติอยู่บนพื้น

ตอนนั้นเขามีเวลาสนใจลูกสุนัขอะไรเสียที่ไหน เขารีบประคองอาจารย์ขึ้นมาแล้วช่วยปฐมพยาบาลอยู่พักใหญ่กว่าอาจารย์จะได้สติกลับมา

ความจริงสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก สูตรยาที่ต่อชีวิตให้อาจารย์ได้สูตรนั้นขาดหายไปบางส่วน อาจารย์ทดลองมาหลายครั้งก็ยังผสมสูตรที่ถูกต้องออกมาไม่ได้ เม็ดยาเมื่อวานมีกลิ่นหอมตลบอบอวล สีสันก็สุกใส ดูตามความรู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับยามาหลายปี ทำให้เขาเข้าใจไปว่ามันเป็นยาชั้นยอดเม็ดหนึ่ง

เขาคิดว่าคงประสบความสำเร็จแล้ว

ไหนเลยจะคิดว่าเกิดข้อผิดพลาด!

อาจารย์กินโอสถเก้าหยกพิสุทธิ์ลงไป แล้วใช้ลมปราณรักษาตัวอยู่ครึ่งคืน ในที่สุดจึงขจัดพิษได้หมด ทว่าเพราะต้องเหน็ดเหนื่อยมาหนึ่งคืนเต็มจึงสูญเสียปราณกำเนิดไปปริมาณมาก เวลานี้หากต้องสู้ศึก ไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดเลยจริงๆ

“อาจารย์…”

ท่านราชครูมองเขานิ่งๆ

แม้จะเพียงแววตา แต่เขาก็เข้าใจ

ต่อให้อาจารย์จะเหลือโอกาสทำสำเร็จเพียงเจ็ดแปดส่วนแล้วอย่างไร โหราจารย์ของตระกูลจีคนนั้นไม่มีโอกาสทำสำเร็จสักส่วนเดียวเสียด้วยซ้ำ ต่อให้ภายในร่างของเขามีกำลังภายในมหาศาลถูกผนึกเอาไว้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังของธนูจันทร์โลหิต เขาก็ถูกกำหนดให้ใช้ออกมาไม่ได้แม้แต่ส่วนเดียว ไม่เพียงเท่านั้นธนูจันทร์โลหิตยังกระตุ้นพิษฝ่ามือในร่างเขาได้อีกด้วย ภายในสามกระบวนท่าเขาต้องพิษกำเริบตายอย่างแน่นอน!

อาจารย์บดขยี้โหราจารย์ให้ถึงที่ตายได้ง่ายดายดุจบี้มดตัวหนึ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วยังมีอะไรน่ากลัวอีกเล่า

ศิษย์เอกติดตามราชครูไปอย่างมั่นอกมั่นใจ

ราชาครูมาถึงบนเวทีประลอง

สายตาของคนทั้งหมดเลื่อนไปจับบนร่างของเขาอย่างไม่อาจห้ามตนเองได้

องค์ชายสามกอดคอใต้เท้าเจ้าสำนักแล้วบอกว่า “ทำเช่นไรดีๆ ตาแก่หนังเหนียวคนนี้ออกโรงเองแล้ว พี่ใหญ่ต้องตายแน่! ข้าแต่สวรรค์! ข้าแต่ผืนปฐพี! ใครก็ได้มาจัดการปีศาจเฒ่าตนนี้ทีเถอะ”

ใต้เท้าเจ้าสำนัก “…”

ดีเลวคนก็เป็นราชครูของบ้านเมืองเจ้า เจ้าเห็นคนนอกดีกว่าคนในแบบนี้ คิดถึงความรู้สึกของราชครูแคว้นเจ้ากับบิดาแท้ๆ ของเจ้าบ้างหรือไม่

หลังจากราชครูก้าวขึ้นเวทีไปแล้ว ศิษย์เอกก็เดินนำลูกศิษย์สายตรงอีกหกคนของตำหนักราชครูขึ้นเวทีประลองไปอย่างองอาจผ่าเผย

โชคดีที่ตรงนี้ไม่มีหญิงสาวมากสักเท่าใด ไม่เช่นนั้นพวกนางคงถูกหนุ่มน้อยหล่อเหลากลุ่มนี้ทำเอาเคลิบเคลิ้มเป็นแน่

ทั้งเจ็ดคนยืนตามตำแหน่งของกลุ่มดาวกระบวยใหญ่อยู่ตรงฝั่งทิศใต้ของเวทีประลอง บนร่างแต่ละคนแผ่บรรยากาศน่าครั่นคร้าม หากแยกกันยังไม่เท่าไร แต่เมื่อยืนตามตำแหน่งครบถ้วนสมบูรณ์พลันบังเกิดขุมพลังราวกับจะถล่มฟ้าทลายดิน

ขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยของต้าเหลียงเริ่มนั่งไม่ติด

ลูกศิษย์เจ็ดคนนั่งลงบนพื้น

ศิษย์เอกตวาดกร้าว “ตั้งค่ายกล!”

ทั้งเจ็ดคนยกแขนสองข้างขึ้นประสานสองมือเป็นสัญลักษณ์ กำลังภายในอันแข็งแกร่งโถมทะลักออกมาประหนึ่งคลื่นสมุทร

ผู้คนด้านล่างของเวทีต่างกลั้นลมหายใจ

แต่เดิมพวกเขาคาดหวังกับกระบี่โหราจารย์และชนเผ่าลึกลับเอาไว้มาก แต่จู่ๆ พวกเขาก็เริ่มไม่มั่นใจแล้ว

ศัตรูแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ อัครมหาเสนาบดีจะต้านทานไหวจริงหรือ

เวลาหนึ่งก้านธูป ไม่สั้นเลยนะ!

ขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยต่างไม่กล้าทนดูต่อแล้ว

ในตอนที่เกือบจะไม่มีผู้ใดคาดหวังอีกแล้วนั่นเอง จีหมิงซิวก็ก้าวขึ้นไปบนเวทีอย่างเชื่องช้า เขาสวมอาภรณ์สีขาวทั้งร่าง ท่วงท่านิ่งสงบผ่อนคลายประหนึ่งเมฆาเหนือเทือกเขาสวรรค์ ละม้ายสายวาโยเหนือโตรกธาร ภายใต้หน้ากากหยกคือดวงตาอันนิ่งสงบลึกล้ำดุจห้วงนที

ผู้คนทั้งหลายเพียงมองสบดวงตาคู่นั้นก็ค่อยๆ สงบใจได้

ราชครูมองลึกลงไปในดวงตาของเขา จากนั้นสายตาก็เลื่อนไปจับบนมือที่ว่างเปล่าของเขา แล้วขมวดคิ้วน้อยๆ

จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ “จัดการเจ้า ไยต้องใช้มีดฆ่าโคมาเชือดไก่”

วาจาโอหังยิ่งนัก!

ศิษย์ตำหนักราชครูสีหน้าเปลี่ยนไปในพริบตา!

สายตาของราชครูจ้องเขม็งมองจีหมิงซิว เขาเดินกลับไปมาสองสามก้าว มือกำธนูจันทร์โลหิตไว้แน่น

จีหมิงซิวมองเขายิ้มๆ “พวกเจ้าเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่ หากใช่ ข้าก็จะเริ่มตั้งค่ายกลบ้างแล้ว”

อะไรนะ อัครมหาเสนาบดีก็จะตั้งค่ายกลด้วยหรือ

ไม่เคยได้ยินว่าอัครมหาเสนาบดีรู้ศาสตร์ค่ายกลด้วย!

ขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยทำหน้ามึนงงกันถ้วนหน้า

ชั่วพริบตาต่อมาพวกเขาก็ยิ่งสับสนมึนงงมากกว่าเดิม

ศีรษะน้อยๆ กลมดิกโผล่ออกมาจากด้านหลังของจีหมิงซิว ก่อนจะหันไปมองราชครูเยี่ยหลัวแล้วยิ้มเจิดจ้า “ท้าด๊า!”

ราชครูผู้ไม่หวั่นวายุอสนีบาตคำราม ไม่หวาดกลัวแม้แต่ยามฝูงปีศาจออกเริงระบำ พอได้ยินเสียงปานประหนึ่งมารร้ายเสียงนั้น มองเห็นใบหน้าที่แย้มยิ้มดุจมารร้ายดวงนั้น ก็มือสั่นจนคันธนูร่วงตกลงมา!