เล่ม 1 ตอนที่ 393-2 ผู้ร้ายหลังม่าน (2)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 393-2 ผู้ร้ายหลังม่าน (2)

พระสนมอานเฟยถอนหายใจบอกว่า “เจ้าเป็นพ่อคนแล้ว จะมาเที่ยวเสียเวลาอยู่ข้างนอกตลอดได้อย่างไร มารดาของเด็กๆ กลับไปที่เผ่าแล้วฝากฝังลูกน้อยไว้กับเจ้า เจ้าก็สมควรดูแลให้ดีจึงจะถูก”

ไม่เอ่ยถึงเจ้าเด็กน้อยพวกนั้นยังพอว่า พอเอ่ยถึงขึ้นมา ยิ่นอ๋องก็โมโหจนหัวโต

หากไม่ใช่ว่าเป็นบุตรแท้ๆ เขาคงหากรงมาขังพวกนางไว้แล้ว!

“กลับไปเถิด” พระสนมอานเฟยเอ่ยเร่ง

ยิ่นอ๋องกำลังจะเอ่ยปาก ด้านนอกก็มีเสียงเอะอะดังขึ้น

“ไปดูซิว่าเกิดอะไรขึ้น” ยิ่นอ๋องสั่งนางกำนัล

นางกำนัลรับคำอย่างเชื่อฟัง แล้วซอยเท้าเดินออกไป ไม่นานก็กลับมารายงานว่า “ทูลพระสนมกับท่านอ๋อง มีของของฝ่าบาทหายไป พระองค์จึงกำลังสั่งคนออกค้นหาเพคะ”

ยิ่นอ๋องขมวดคิ้วอย่างสงสัย “ของสิ่งใดกัน”

นางกำนัลตอบว่า “ดูเหมือนจะเป็นตำราโบราณภาษาเยี่ยหลัวที่ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีถวายแด่ฮ่องเต้ถูกขโมย จึงกำลังออกตามจับหัวขโมย ทวงตำราโบราณคืนมาเพคะ”

ยิ่นอ๋องบอกด้วยสีหน้าจริงจัง “ตำหนักเสด็จแม่ข้าไม่มีของที่เสด็จพ่อต้องการ เจ้าบอกให้พวกเขาออกไป อย่ารบกวนความสงบของเสด็จแม่ข้า”

นางกำนัลตอบด้วยสีหน้าลำบากใจ “ไม่ได้เพคะท่านอ๋อง แม้แต่ห้องบรรทมของฝ่าบาทพวกเขายังค้นมาแล้ว พระสนมกุ้ยเฟยเองก็ถูกค้นเหมือนกัน ตำหนักของพวกเราคงไม่อาจละเว้นได้”

“ตำราโบราณอันใดล้ำค่าปานนั้น แม้แต่ห้องบรรทมของเสด็จพ่อยังต้องค้น” ยิ่นอ๋องพึมพำครู่หนึ่ง แม้จะไม่พอใจนัก แต่ในเมื่อห้องบรรทมของเสด็จพ่อเองยังต้องค้น จะค้นตำหนักของพระสนมอานเฟยย่อมไม่ใช่ปัญหาอะไรแล้ว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไปเรียกพวกเขาเข้ามา…เสด็จแม่ ท่านเป็นอะไรไป”

พูดมาได้ครึ่งประโยค ยิ่นอ๋องก็ค้นพบว่าพระสนมอานเฟยผิดปกติ

พระสนมอานเฟยบอกกับนางกำนัลว่า “เจ้าออกไปก่อน บอกพวกเขาว่าข้ากำลังผลัดอาภรณ์ ให้พวกเขารอประเดี๋ยว”

“เพคะ พระสนม!” นางกำนัลเดินออกไปแล้วปิดประตูเบาๆ

ยิ่นอ๋องหันมามองพระสนมอานเฟย “เสด็จแม่ ท่านมีอะไรหรือ”

พระสนมอานเฟยมองประตูห้องที่ปิดสนิทอย่างไม่สบายใจแวบหนึ่ง

ยิ่นอ๋องเข้าใจความนัยจึงบอกนางว่า “นอกประตูไม่มีผู้ใดอยู่ ท่านต้องการพูดสิ่งใดก็พูดมาเถิด”

พระสนมอานเฟยคว้ามือของยิ่นอ๋อง แววตาฉายแววละอายใจจางๆ “ยิ่นเอ๋อร์…แม่ผิดต่อเจ้า…ผิดต่อเสด็จพ่อของเจ้า…”

ยิ่นอ๋องงุนงงเล็กน้อย “เสด็จแม่ ท่านพูดอะไรกัน”

พระสนมอานเฟยหลุบตาลง แล้วตอบด้วยสีหน้าลนลาน “จะให้พวกเขามาค้นไม่ได้…”

“เสด็จแม่ ข้ายิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจแล้ว มีสิ่งใดที่ถูกพวกเขาค้นเจอไม่ได้หรือ” ยิ่นอ๋องยิ้ม “ท่านอย่าบอกข้าเชียวว่าท่านเอาตำราโบราณเล่มนั้นมา”

พระสนมอานเฟยส่ายหน้า ลึกลงไปในดวงตาเผยแววตาลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็กัดฟันเอ่ยว่า “ในตู้ด้านนั้นมีกล่องน้อยอยู่ใบหนึ่ง เจ้าไปหยิบของด้านในออกมา”

ยิ่นอ๋องลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วเปิดกล่องหยิบอาภรณ์สีแดงตัวหนึ่งออกมา หลังจากพินิจให้ดีแล้ว ก็ดูเหมือนจะเป็นชุดแต่งงานของชาวบ้านตัวหนึ่ง เพียงแต่ว่ารูปแบบเรียบง่ายอยู่มากเท่านั้น

ในฐานะพระสนมคนหนึ่งของฮ่องเต้ ชั่วชีวิตนี้นางย่อมไม่จำเป็นต้องสวมอาภรณ์สีแดงสด ของเช่นนี้ออกจะเด่นเกินไปอยู่บ้าง

พระสนมอานเฟยพูดขึ้นเสียงเบา “ความลับเรื่องนี้ แต่เดิมข้าคิดจะฝังมันไว้ในใจ ตายไปก็ให้มันลงหลุมไปด้วยกันกับข้า แต่ในเมื่อถูกเจ้าล่วงรู้แล้ว…ข้าก็จะเล่าให้เจ้าฟัง”

“เสด็จแม่…”

พระสนมอานเฟยเล่าความ “ข้ามีชาติกำเนิดค่อนข้างยากจน บิดาเป็นเพียงขุนนางตำแหน่งเล็กๆ ในเมืองหลวงคนหนึ่ง ในเมืองหลวงที่อิฐก้อนหนึ่งร่วงมาทับท่านอ๋องสามคนตายได้ ฐานะของตระกูลข้าไม่นับเป็นอันใดทั้งสิ้น…

…ข้าไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้เข้าวัง ข้าคิดว่าชีวิตนี้ของข้าจะเป็นเหมือนสตรีนางอื่น แต่งงานกับสามี ให้กำเนิดลูกน้อยหลายๆ คน ใช้ครึ่งชีวิตที่เหลืออย่างสงบสุข…

…ปีที่ข้าปักปิ่น มีญาติห่างๆ ที่ถูกคัดเลือกให้เข้าวังมาพักที่บ้าน เพื่อปลุกปั้นนางให้กลายเป็นหญิงงามผู้โดดเด่น บิดาของข้าจึงเชิญอาจารย์มาสั่งสอนวิชาไม่น้อย พวกเราพี่น้องที่บ้านก็ได้ใบบุญ ร่ำเรียนวิชามาเล็กน้อยเพราะเหตุนี้ด้วย…

…อาจารย์ที่มาสอนวิชาคนหนึ่งในนั้น…เยาว์วัยและหล่อเหลา กิริยาท่าทางสง่างาม เปี่ยมความรู้ ข้า..ตอนนั้นข้า…”

พระสนมอานเฟยหยุดพูด ใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย “ข้าทราบว่าทำเช่นนี้ไม่ถูก แต่เรื่องของความรู้สึก…ไม่อาจหักห้ามกันได้จริงๆ”

ข้อมูลเหล่านี้ประหนึ่งอสนีบาตฟาดกลางฟ้าแจ้ง ผ่ายิ่นอ๋องให้ตะลึงงันอยู่กับที่

พระสนมอานเฟยสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง “พวกเรา…ลักลอบสัญญากันไว้ เขาบอกว่าจะสู่ขอข้า ข้าก็รับปาก เขาไปพบท่านตาของเจ้า แม้ท่านตาของเจ้าจะโกรธจัด แต่คนผู้นั้นมีชาติกำเนิดไม่เลวร้าย อีกทั้งยังจริงใจต่อข้า ท่านตาของเจ้าโกรธได้ไม่กี่วันก็ยอมรับการสู่ขอครั้งนี้…

…เขากำลังจะกลับบ้านเกิดเพื่อบอกเรื่องนี้กับบิดามารดา เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าข้ากลับไม่มีโอกาสได้รอเขากลับมา“

ยิ่นอ๋องถามอย่างไม่รู้ตัว “เกิดอะไรขึ้นกับเขา หรือว่า…บ้านของเขาไม่เห็นด้วย”

“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง” พระสนมอานเฟยตอบอย่างเศร้าเสียใจ “ญาติห่างๆ ที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าวังคนนั้น จู่ๆ ก็ล้มป่วยกะทันหันเข้าวังไม่ได้ ทางตระกูล…จึงส่งข้าไปแทน”

ยิ่นอ๋องบื้อใบ้

จริงๆ แล้วเรื่องราวน้ำเน่าเช่นนี้ในวังหลังใช่ว่าจะหายาก วังหลังมีคนงามสามพันนาง แต่มีคนสักเท่าใดแต่งเข้าวังด้วยใจจริง

เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงสักนิดว่าเสด็จแม่ของตนก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกบังคับมาเหล่านั้นด้วย

เขาไม่รู้ว่าสมควรจะบรรยายความรู้สึกในตอนนี้ว่าอย่างไร ตกตะลึง? ผิดหวัง? เศร้าใจ?

อารมณ์มากมายพัวพันกันยุ่งเหยิง ในหัวใจเขามีอารมณ์ซับซ้อนอันบรรยายไม่ถูก

พระสนมอานเฟยสะอื้น “ชุดแต่งงานตัวนี้เป็นของที่ข้าปักเองกับมือในตอนนั้น แต่เพิ่งปักได้ครึ่งเดียวก็ได้ยินว่าข้าต้องเข้าวัง…ข้านำมันเข้าวังมาด้วย ผ่านไปหลายปี ข้าก็ยังไม่ได้ปักอีกครึ่งหนึ่งจนเสร็จ…ยิ่นเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าคงโกรธมาก ข้าไม่สมควรคะนึงหาบุรุษอื่นหลังจากเป็นพระสนมของเสด็จพ่อเจ้าแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรความรักที่ข้ามีต่อเจ้าก็เป็นเรื่องจริง ต่อให้เรื่องระหว่างข้ากับเสด็จพ่อของเจ้าเป็นอย่างไร ข้าก็เป็นมารดาของเจ้า เจ้าเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของข้า!”

ยิ่นอ๋องกำหมัดแน่นอย่างอดกลั้น

น้ำตาของพระสนมอานเฟยเอ่อคลอ แต่นางฝืนกลั้นไม่ให้มันไหลร่วงลงมา “วสันต์ปีนี้ เขาจากไปแล้ว ชั่วชีวิตนี้เขาไม่ได้ตบแต่งกับผู้อื่นอีก เจ้า…เจ้านำชุดแต่งงานตัวนี้ไปฝังหน้าสุสานของเขาได้หรือไม่ ยามเป็นข้ามิอาจอยู่เคียงข้างเขา ยามตาย…ก็คงไม่อาจทำได้เหมือนกัน ขอให้อาภรณ์ชุดนี้…ได้เป็นตัวแทนจบความรักระหว่างข้ากับเขาเถิด!”

หมัดของยิ่นอ๋องส่งเสียงดังกรอด เส้นเลือดสีเขียวตรงขมับปูดนูนออกมา

พระสนมอานเฟยมองยิ่นอ๋องแล้วสูดจมูก ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา “แม่ทำให้เจ้าลำบากใจเกินไปสินะ”

พูดจบก็โยนชุดแต่งงานเข้าไปในอ่าง แล้วหาตะบันไฟมาอันหนึ่งมาเป่าจนติดไฟแล้วโยนลงไปบนอาภรณ์

ขณะที่อาภรณ์กำลังจะลุกติดไฟนั่นเอง ยิ่นอ๋องก็คว้ามันออกมาก่อน แล้วใช้มือเปล่าดับสะเก็ดไฟเล็กๆ ตรงแขนเสื้อ “เขาถูกฝังอยู่ที่ใด”