เล่ม 1 ตอนที่ 405 เป็นที่โปรดปรานอีกครั้ง

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 405 เป็นที่โปรดปรานอีกครั้ง

เหล่าพ่อครัวที่ไม่รู้ว่าเจ้าสำนักหอเมามายถูกเฉียวเวยถีบลงบ่อเกลอะไปยังคงคิดว่าเฉียวเวยเป็นแขกคนสำคัญของประมุขตน จึงกระตือรือร้นกันเสียยิ่งกว่าอะไร ไม่เพียงแค่ทำกับข้าวตามที่เฉียวเวยบอกเท่านั้น แต่ยังตุ๋นรังนกสีแดงที่เป็นของล้ำค่าให้อีกด้วย พวกเขายิ้มกว้างพลางเอาอาหารลงกล่องให้เฉียวเวยหิ้วกลับห้องไป

เฉียวเวยเดินขึ้นชั้นบนจากฝั่งห้องครัว ขากลับห้องพอดีเดินผ่านห้องใครบางคนเลยได้ยินเสียงน้ำดังซู่ซ่าออกมา เฉียวเวยเลิกคิ้วพลางส่งเสียงหือ อาบมาทั้งวันแล้วยังอาบไม่สะอาดอีกหรือ

เฉียวเวยหิ้วกล่องอาหารกลับห้อง ล้วนเป็นอาหารรสอ่อนอย่างผัดผักกะหล่ำ ผัดหลัวปัว กับน้ำแกงเต้าหู้… เวลานี้ยังไม่เหมาะที่จะบำรุงอะไรมากนัก เขาไม่มีอะไรตกถึงท้องมาสองวัน ต้องกินอะไรลงไปอุ่นกระเพาะเสียก่อน

“กินข้าวต้มขาวก่อนนะ” เฉียวเวยเอาข้าวต้มพุทราที่เหลืองวางไว้ให้ข้างๆ จีหมิงซิว

จีหมิงซิวกินไปคำหนึ่ง ปากไม่รู้รสใดๆ ทั้งสิ้นจึงไม่สู้จะอยากอาหารนัก

เฉียวเวยมองสามีด้วยสายตาดุเข้ม ท่าทางคล้ายกำลังบอกว่า “ลองทำให้อาหารข้าเสียของดูสิ” ใต้เท้าอัครเสนาบดีเลยต้องจำใจกินจนหมด

พอกินข้าวเสร็จเฉียวเวยก็ไปต้มยาให้เขา เขาบาดเจ็บไม่น้อย ทาแค่ยาสมานแผลอย่างเดียวไม่พอ ยังต้องดื่มสมุนไพรห้ามเลือดและลดอักเสบด้วย

หม้อยาเพิ่งขึ้นตั้งไฟ เงาใครบางคนก็ตามนางเข้ามา

เฉียวเวยอึ้งงันไปเล็กน้อย “ท่านมาทำอะไร ข้าไม่ได้ให้ท่านนอนรอที่ห้องหรอกหรือ”

ใต้เท้าอัครเสนาบดี “ในห้องมันอุดอู้”

“อุดอู้ก็เปิดหน้าต่างสิ จะลงมาทำไม”

เฉียวเวยยกเก้าอี้ตัวเล็กมาให้เขานั่ง บุรุษสูงหนึ่งเมตรแปดสิบเก้าเซนติเมตรขดตัวนั่งอยู่บนเก้าอี้ขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือ ท่าทางเช่นนั้นดูน่าขันมากแล้ว โดยเฉพาะหน้าตาเคร่งขรึมของเขา ช่างดูคล้ายเด็กน้อยที่ดุดันยิ่งนัก

เฉียวเวยอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เลยไปยกเก้าอี้มานั่งข้างเขาด้วยเลย

ใต้เท้าอัครเสนาบดีใช้สายตาที่แหลมคมวัดระยะห่างระหว่างเก้าอี้สองตัวนั้นแล้วจัดการเขยิบเก้าอี้ของตนเข้าไปให้อยู่ชิดติดกับเฉียวเวย

ยาต้มอยู่พักใหญ่ อยู่ๆ เฉียวเวยก็วางพัดลงแล้วลุเดินออกไป

ใต้เท้าอัครเสนาบดีตามนางไปประหนึ่งเงาตามตัวอีกครั้ง

เฉียวเวย “ข้าจะไปธุระเบา”

ใต้เท้าอัครเสนาบดี “ข้าก็ด้วย”

เฉียวเวย “…”

กว่าจะปรนนิบัติใต้เท้าอัครเสนาบดีผู้แสนจะขี้อ้อนให้เขากินยาเสร็จ เจ้าสำนักเฉียวก็ถึงกับเหนื่อยจนเหงื่อแตกพลั่ก! นางเอาถ้วยวางลงบนแท่นยกสูง ยกไหล่เบาๆ ก่อนบอกว่า “ลุก ลุกขึ้นมาหน่อย ข้าจะไปล้างชาม”

“ให้บ่าวไพร่ไปล้างก็ได้” ใต้เท้าอัครเสนาบดีไม่ยอมขยับตัว

เฉียวเวยระบายยิ้มด้วยความไม่พอใจ “อย่างไรก็ต้องลุกอยู่ดี ต้องกลับห้องแล้ว”

ใต้เท้าอัครเสนาบดีเลยยอมลุก ดึงนางขึ้นมาแล้วพาจูงขึ้นห้องไปทันที

พอเข้ามาในห้องแล้ว เฉียวเวยก็พูดเรื่องเป็นการเป็นงานกับเขา “วันนี้ข้าพบศิษย์เอกของราชครูมา เรื่องเมื่อวานไม่ใช่ฝีมือพวกเขา”

“อื้อ” จีหมิงซิวตอบรับคำหนึ่ง น้ำเสียงฟังดูไม่แปลกใจสักนิด ในบรรดานักฆ่ากลุ่มเมื่อวานมีคนที่เป็นลูกน้องของชางจิว แต่ชางจิวกับราชครูไม่ใช่คนในสายเดียวกัน ความน่าสงสัยเดียวก็คือนักรบมรณะกลุ่มนั้น แต่นักรบมรณะก็ไม่ได้มีแค่ของตำหนักราชครูแต่เพียงผู้เดียว

คำพูดต่อจากนั้นของเฉียวเวยช่วยยืนยันการคาดเดาของเขา “ไม่คิดเลยว่าในเยี่ยหลัวจะมีคนลอบฝึกนักรบมรณะเป็นการส่วนตัวด้วย ข้าเกือบคิดว่าเป็นฝีมือของตำหนักราชครูแล้วเชียว”

จีหมิงซิวถามว่า “เห็นหน้าคนร้ายผู้นั้นชัดหรือไม่”

เฉียวเวยส่ายหน้า “เห็นไม่ชัด แต่ข้ารู้สึกได้ว่าน่าจะเป็นสตรี ท่านว่า… นางจะใช่คนที่ขโมยคัมภีร์ลับไปจากมือราชครูหรือไม่ หากราชครูได้สติเสียทีก็คงดี เขาจะต้องรู้ทุกอย่างแน่!”

จีหมิงซิวเอ่ยเสียงเบาว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อนไป เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราอยู่ไม่ไกลจากความจริงแล้ว”

เฉียวเวยพยักหน้าอย่างว่าง่าย “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ลืมบอกให้ท่านฟัง ธนูจันทร์โลหิตที่แท้มีอยู่เป็นคู่ คันหนึ่งอยู่กับตำหนักราชครู อีกคันหนึ่งอยู่กับชาวบ้านสักคนหนึ่ง”

จีหมิงซิวเห็นสายตาอีกฝ่ายที่มองเขาอยู่มีแววกระหายอยากได้ขึ้นมาแวบหนึ่ง เขาระบายยิ้มด้วยความเอ็นดูแล้วบอกว่า “อยากได้หรือ ข้าจะไปช่วงชิงมาให้เจ้าเอง”

เฉียวเวยสูดน้ำลาย “ดี!”

หลายเดือนหลังจากนั้น เฉียวเวยกับจีหมิงซิวรักษาตัวอยู่ที่หอเมามาย

เจ้าของหอหลังจากตกลงไปในบ่อเกลาะครั้งหนึ่ง ก็อาบน้ำอยู่ในห้องถึงสามวันติด เรื่องรักสะอาดนี้ไม่มีผู้ใดเกินเขาแล้วจริงๆ

ช่วงที่เขาอาบน้ำอยู่นั้น เฉียวเวยก็แอบเข้าไปในห้องเขาเพื่อขโมยกระบี่โหราจารย์กลับมา

เจ้าของหอเรียกได้ว่าใจสลายไม่เหลือชิ้นดี!

เฉียวเวยหาเวลาพกเอากระบี่โหราจารย์กลับบ้านตระกูลจีไปรอบหนึ่ง พวกเด็กๆ มีท่านน้ากับอาจารย์ตาฮั่วคอยดูแล ทุกอย่างจึงเรียบร้อยดี

พอกลับออกจากบ้านตระกูลจี เฉียวเวยรีบกลับไปที่หอเมามายทันที ระหว่างทางกลับนั้นนางกลับได้รับข่าวที่ส่งมาจากในวัง – หรงเฟยกลับมาแล้ว

ไม่เพียงแค่กลับมา แต่ยังได้เป็นที่โปรดปรานอีกครั้งจนได้เข้าไปอยู่ในตำหนักกานลั่ว!

ตำหนักกานลั่วเป็นถึงตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ นอกจากฮองเฮาแล้วยังไม่เคยมีนางสนมผู้ใดได้พักอยู่ที่ตำหนักนั้นมาก่อน หากแค่พักค้างแรมเพื่อปรนนิบัตินั้นมี แต่พอปรนนิบัติเสร็จขันทีก็จะมายกตัวออกไป ยัยแก่อย่างหรงเฟยทำอีท่าไหนถึงได้เข้าไปพักอยู่ที่นั่นได้

เรื่องนี้คงต้องกล่าวถึงตั้งแต่วันที่หรงเฟยหายตัวไป

หนึ่งวันก่อนที่หรงเฟยจะหายตัวไป ซึ่งเป็นวันที่ยิ่นอ๋องถูกฮ่องเต้สั่งให้จับไปขังคุก หรงเฟยพอได้ยินว่ายิ่นอ๋องถูกจับก็นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงยากจะข่มตาให้หลับ ด้วยอารมณ์ที่ยากจะสงบ จึงออกเดินไปยังจุดที่ห่างไกลหูตาผู้คนที่สุดในวัง กระทำเรื่องผิดกฎวังหลวงด้วยการจุดธูปให้มารดาที่สิ้นชีพไปแล้วของตน ขอให้ท่านแม่ตนช่วยคุ้มครองยิ่นอ๋องให้ลบล้างมลทินได้ในเร็ววัน

ระหว่างทางกลับวังก้าวพลาดกลิ้งตกเนินจนสลบไสลไม่ได้สติ

ด้วยเพราะที่ตรงนั้นห่างไกลผู้คน จึงไม่มีใครรู้เรื่องที่หรงเฟยสลบไป เป็นตัวหรงเฟยเองที่ได้สติในวันต่อมา นางร้องตะโกนเสียงดัง ราชองครักษ์กับเหล่าขันทีที่ออกตามหาได้ยินเสียงเลยตามมาพบเข้า

ไม่รู้ว่าเพราะรอดพ้นจากเคราะห์ร้ายจึงได้ลาภก้อนโตหรือว่ามารดาที่เสียชีวิตไปแล้วของหรงเฟยรับรู้ ตอนที่หรงเฟยได้รับการช่วยเหลือกลับตำหนักนั้น ราชองครักษ์กับเหล่าขันทีไปพบจดหมายถึงบ้านตระกูลเฉินที่ตำหนักบรรทมของอดีตฮองเฮาเข้า

จดหมายฉบับนั้นฮองเฮาเป็นคนเขียนแต่ยังไม่ทันได้ส่งออกไป เนื้อความโดยสรุปเป็นการกล่าวถึงสุขภาพของตนที่ทรุดลงทุกวัน เกรงว่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน นางได้ยินว่าข้างนอกมียาจินตันยืดอายุ นางให้คนไปหาซื้อมาสองเม็ด หากรอดพ้นจากความตายมาได้ก็ถือเป็นเรื่องดี แต่หากไม่เกิดปาฏิหาริย์ หวังว่าคนทางบ้านจะช่วยคุ้มครองรัชทายาท อย่าให้สิงสาราสัตว์ในวังมาแย่งเอาตำแหน่งรัชทายาทไปได้

ฮ่องเต้กับฮองเฮาเป็นสามีภรรยากันมาหลายปี มองปราดเดียวก็รู้ว่านี่เป็นลายมือของฮองเฮา ช่วงที่ฮองเฮามีชีวิตอยู่ นางไปมาหาสู่กับหรงเฟยมากที่สุด ฮ่องเต้จึงเข้าใจมาตลอดว่ายาจินตันที่ว่านั่น หรงเฟยเป็นคนหามาให้ หรงเฟยเคยแก้ต่างให้ตนเองแล้ว แต่ฮ่องเต้ไม่เชื่อ

เป็นเพราะสมัยที่ฮ่องเต้ยังค้นหาวิชาไม่แก่ไม่ตายอยู่นั้น ก็เคยเกือบให้คนไปซื้อยาจินตันมาเช่นกัน แต่เป็นฮองเฮาที่ทัดทานเขาไว้ ดังนั้นสำหรับฮ่องเต้แล้ว ฮองเฮาไม่มีทางเป็นฝ่ายไปหาซื้อยาจินตันเหล่านั้นเอง จะต้องมีผู้ใดคิดร้ายกับนางอย่างแน่นอน

เมื่อเวลานี้ความจริงได้ปรากฏ ฮ่องเต้ถึงได้รู้ว่าตนปรักปรำหรงเฟย

หรงเฟยต้องทนทุกข์อยู่หลายปี ในใจฮ่องเต้รู้สึกผิดยิ่งนัก คล้ายคลื่นน้ำที่ซัดสาดอยู่ในแม่น้ำฮวงโหไม่มีวันจบสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้เขาถึงได้รับตัวหรงเฟยไปรักษาที่ตำหนักกานลั่ว

“ดูมารยาร้อยเล่มเกวียนของนางเข้า ไม่ยอมไม่ได้เลยจริงเชียว! ไปกันเถิด!” เฉียวเวยลดผ้าม่านลง

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยด้วยท่าทางอึ้งงัน “นี่จะไปแล้วหรือ ไม่เข้าวังไปสืบดูหน่อยหรือว่าจดหมายนั้นเป็นเรื่องอะไรกันแน่”

เฉียวเวยถอนหายใจช้าๆ “มีอะไรน่าสืบกัน หากนางกล้าเปิดไพ่ตายออกมาในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ไพ่นั้นจะเป็นของปลอมได้อย่างไร”

เวลานี้เฉียวเวยมั่นใจได้แล้วว่า ฐานะของหรงเฟยต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เรื่องเมื่อตอนนั้นแปดเก้าสิบส่วนต้องเป็นฮองเฮาที่ทำเองแน่ แต่ฮองเฮาทำไปด้วยความยินดีหรือเพราะถูกใครบังคับนั้น มิอาจรู้ได้

หรงเฟยเป็นที่โปรดปรานเหนือผู้ใดในวังหลังอยู่หลายปี สตรีที่เป็นที่โปรดปราน ไม่ว่าขยับตัวทำอะไรก็มีสายตามากมายนับไม่ถ้วนคอยจับจ้อง ต้องระวังเนื้อระวังตัวไปหมด สู้ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ ให้ฮ่องเต้เมินเฉยต่อตนไปจะดีกว่า

สตรีที่หมดสิ้นความโปรดปราน แค่หนึ่งหรือสองปีอาจจะยังมีคนคอยจับจ้องอยู่ แต่พอผ่านไปสิบปีแปดปี ต่อให้ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนด้วยท่าทางอาละวาดคล้ายมีผีเข้า ก็ไม่มีผู้ใดสนใจจะชายตามอง

ยิ่งไปกว่านั้นการทำเช่นนี้ยังมีข้อดีอีกนั่นคือ ในตอนที่นางได้รับการล้างมลทินจากทุกข้อกล่าวหาที่ผ่านมา นางยังสามารถใช้ประโยชน์จากความรู้สึกผิดของฮ่องเต้ เพื่อปิดบังความผิดมหันต์ของตนเอาไว้ได้ด้วย

คนอื่นลับคมขัดกระบี่กันสิบปี ส่วนหรงเฟยเสียเวลาวางแผนไปยี่สิบปี!