ตอนที่ 407-1 มารดาและบุตรได้พบหน้า (1)
ฮ่องเต้โบกมือ
เฉียวเวยหิ้วกระเป๋ายาตามออกไป หรงเฟยยังเดินไปไม่ไกล ไม่นานนางก็ตามทันและเอ่ยเรียกไว้ “พระสนม!”
หรงเฟยกับฝูหลิงหยุดฝีเท้าแล้วค่อยๆ หันกลับมา หรงเฟยใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาตรงข้างแก้มพลางเอ่ยถามด้วยความเกรงใจ “จีฮูหยินมีธุระอันใดหรือ”
เฉียวเวยระบายยิ้มบางๆ “เรื่องของท่านยิ่นอ๋องนั้น มีบางจุดที่ข้าไม่เข้าใจนัก จึงอยากขอคำแนะนำจากพระสนมสักนิด”
สายตาของหรงเฟยสั่นไหว ดึงมือที่ฝูหลิงจับอยู่กลับมาช้าๆ “เจ้าไปรอข้าข้างหน้าก่อน”
“เพคะ พระสนม” ฝูหลิงถอยห่างไปหนึ่งจั้งอย่างรู้งาน
เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พระสนมหาได้จำเป็นต้องตื่นเต้นเพียงนี้ไม่”
หรงเฟยดึงผ้าเช็ดหน้าแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้ามีอะไรก็รีบว่ามาเถิด”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ดี พระสนมให้ข้าถาม ข้าก็จะถามตรงๆ เลยแล้วกัน ท่านยิ่นอ๋องปิดปากเงียบไม่ยอมพูดอะไรเพราะผู้ใดนั้น พระสนมรู้ดีแก่ใจ พระสนมเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดเขา เมื่อเห็นบุตรชายตกระกำลำบากอยู่ในคุก ท่านไม่รู้สึกปวดใจเลยสักนิดจริงๆ หรือ พวกเราที่เป็นแม่คนมิได้หวังว่าให้ตนรับเคราะห์แทนบุตรอย่างนั้นหรือ เหตุใดถึงให้บุตรชายมาแบกรับความผิดแทนเช่นนี้”
หรงเฟยเชิดคางขึ้นมองท้องฟ้าที่ไร้ขอบเขต “เจ้าพูดเรื่องอะไร ข้าฟังไม่เข้าใจ”
“สวรรค์ไม่ละเว้นผู้ใด พระสนมแสร้งไม่รู้ต่อไปเรื่อยๆ เถิด ดูสิว่าจะเสแสร้งได้สักกี่น้ำ!” ธนูจันทร์โลหิตต่อให้ไม่ใช่นางยิง ก็ต้องเป็นพรรคพวกของนาง เมื่อนางถึงขั้นกล้าทำเช่นนี้กับตน เฉียวเวยก็ไม่กลัวที่จะฉีกหน้ากากนาง
หรงเฟยไม่ตอบ และไม่สนใจเฉียวเวยอีก เดินไปหาฝูหลิงด้วยสีเหน้าเยือกเย็นแล้วเดินออกไปพร้อมกับฝูหลิง
เฉียวเวยส่ายศรีษะด้วยความไม่เข้าใจ ในโลกนี้เหตุใดถึงมีสตรีเลือดเย็นเช่นนี้อยู่ด้วยนะ ยิ่นอ๋องไม่ใช่ว่าไม่กตัญญูเสียหน่อย เขาที่กตัญญูเพียงนี้นางก็ยังคิดใช้ประโยชน์ ใช้ประโยชน์เสร็จแล้วยังไม่คิดช่วยเหลือ น่าสงสัยยิ่งนักว่านางใช่มารดาแท้ๆ ของยิ่นอ๋องรึไม่!
ตอนเดินออกจากวังนั้นดึกมากแล้ว เดิมทีประตูวังลงกลอนไปนานแล้ว แต่ด้วยรับสั่งของฮ่องเต้จึงอนุญาตให้เฉียวเวยเข้าออกได้
ระหว่างทางไม่เห็นเงาผู้ใดเลยสักคน
เฉียวเวยอยู่คนเดียวมาตั้งแต่เด็ก เดิมทีไม่เคยรู้สึกไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมเช่นนี้นัก แต่ตั้งแต่มีบุตร มีสามี ดูเหมือนนางจะเริ่มไม่คุ้นกับสภาพแวดล้อมเช่นนี้
นางคิดถึงบุตร คิดถึงหมิงซิวแล้ว
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพิงกำแพงรถหลับไปแล้ว เฉียวเวยไม่ได้ปลุกเขาให้ตื่น เดินย่องขึ้นรถม้าไปเงียบๆ
พอเลิกผ้าม่านขึ้นกลับได้กลิ่นโยวเซียงกับกลิ่นอายบุรุษที่คุ้นเคย ในใจจึงพลันมีความอบอุ่นขึ้นมาเติมเต็ม นางนั่งลงข้างกายคนบนรถ เอ่ยอย่างยากจะปกปิดความยินดีกว่า “ท่านมาได้อย่างไร”
จีหมิงซิวเอากล่องยาไปวางไว้ด้านข้าง แล้วเอามือที่เย็นจัดของนางไปจับกระชับไว้ในมือ สายตาเขาอบอุ่นกระทั่งท้องฟ้ายามราตรียังแทบจะละลาย “นอนไม่หลับ เลยออกมาเดินเล่นน่ะ”
เฉียวเวยบอกว่า “หอเมามายกับวังหลวงที่หนึ่งอยู่เหนือ ที่หนึ่งอยู่ใต้ ท่านก็ช่างเดินเล่นเก่งจริงนะ”
จีหมิงซิวผายมือออก
เฉียวเวยคลุมผ้าคลุมกันลมให้เขา “ท่านต้องรักษาอาการบาดเจ็บให้ดี อย่าเอาแต่ออกไปไหนมาไหน”
จีหมิงซิวลูบมือภรรยา “เช่นนั้นคงมิได้ ข้าห้ามขาข้าไม่ได้”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ขาข้างที่สาม?”
จีหมิงซิว “…”
ถูกเอ่ยล้อเลียนโดยไม่ทันได้ตั้งตัว!
ข้าถึงกับไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไร!
เฉียวเวยมองใต้เท้าอัครเสนาบดีที่ทั้งงุนงงและเคร่งขรึม จึงทนไม่ไหวหงายท้องลงไปหัวเราะงอหาย!
ใต้เท้าอัครเสนาบดีพลันสะบัดค้อนใส่!
ไม่ได้เล่นบทคนเถื่อนมานานเกินไป ชักจะไม่ไหลรื่นเสียแล้ว!
เฉียวเวยหัวเราะจนปวดท้อง หน้าใต้เท้าอัครเสนาบดีก็บึ้งลง
“นี่ เจ้าสองคนนี่นะ… เอ๋?”
มีเสียงเยี่ยนเฟยเจวี๋ยดังมาจากนอกรถ
เฉียวเวยกลั้นหัวเราะเอาไว้ เลิกผ้าม่านออกไปถามว่า “มีอะไรหรือ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยชะเง้อคอยาว “ทางนั้นมีคนเดินผ่านไป เหตุใดข้าถึงคุ้นตากับรูปร่างเขานักนะ”
“เช่นนั้นหรือ ข้าขอดูหน่อย!” เฉียวเวยพูดพลางกระโดดลงจากรถม้า ตามหลังคนในยามค่ำคืนไป
เจ้าของร่างนั้นทำลับๆ ล่อๆ ไปตรงกำแพงวัง คนผู้นั้นหยิบเก้าอี้พับตัวเล็กออกมาจากห่อผ้า ตามด้วยยกหินหลายก้อนมาวางด้านบน จากนั้นเขาก็เหยียบเก้าอี้ ปีนก้อนหินแล้วกระโจนขึ้นไปจับยอดกำแพง!
แต่ยอดกำแพงสูงเกินไป และกำลังแขนนางก็ดูจะไม่พอ นางปีนอยู่นานจนหน้าตาแดงก่ำ แต่กลับปีนขึ้นไปไม่ได้
เฉียวเวยเอามือกอดอก “ท่านน้า ท่านทำอะไรน่ะ”
“อ๊า…”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวตกใจจนไถลตกลงมา!
เฉียวเวยรับอีกฝ่ายไว้ด้วยมือเดียว เอามือปิดปากพร้อมเอ่ยเตือนว่า “หากยังร้องอีกแล้วองครักษ์มาที่นี่ ท่านจะกลายเป็นนักฆ่าแล้วนะ!”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวปิดปากฉับทันที!
เฉียวเวยประคองนางให้ยืนขึ้น ช่วยนางจัดระเบียบแขนเสื้อพลางถามด้วยความไม่เข้าใจ “ท่านน้าดึกดื่นค่ำคืนไม่ยอมนอน ออกมาปีนกำแพงวังทำไมหรือ”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวท่าทางคล้ายเด็กที่ทำผิดแล้วถูกจับได้ นางก้มหน้าใช้เท้าเตะหินก้อนเล็กๆ บนพื้นแต่ไม่ยอมพูดอะไร
เฉียวเวยนิ่งไป “ท่านน้าอยากเข้าไปเยี่ยมยิ่นอ๋อง?”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวพยักหน้า ก่อนจะตามด้วยเบิกตาโตพร้อมส่ายหน้าแรงๆ อย่างรวดเร็ว!
เฉียวเวยเขยิบเข้าไปใกล้แล้วมองตานาง “ไม่ต้องส่ายหน้าแล้ว ท่านคิดอะไรอยู่มันเขียนอยู่บนหน้าท่านหมดแล้ว”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวทำแก้มป่อง
เฉียวเวยถอนหายใจ “ข้าไม่เข้าใจเอาเสียเลย ดีร้ายอย่างไรท่านก็เป็นคนมีสามีแล้ว เหตุใดท่านถึงหมายใจในบุรุษที่อายุน้อยกว่าท่านมากเช่นนั้นได้”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวอ้อมแอ้มตอบว่า “ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด”
เฉียวเวยถลึงตาใส่นาง “เช่นนั้นคืออย่างไร ท่านกับเขาไม่เคยรู้จักมักจี่กันมาก่อน แต่กลับคอยตามมาพัวพันเขาไม่หยุดไม่หย่อน เวลานี้เพื่อให้ได้พบหน้าเขาสักครั้ง ท่านถึงขั้นกระทำเรื่องอันตรายเช่นนี้ หากหมิงซิวรู้เข้าคงได้โกรธท่านแย่!”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวกอดแขนเฉียวเวยไว้ “เจ้าๆๆ… เจ้าอย่าบอกหมิงซิวนะ”
เฉียวเวย “ไม่บอกก็ได้ แต่รีบตามข้ากลับไปเดี๋ยวนี้”
“ข้า…ข้าไม่กลับ”
“เพราะเหตใด ยังคิดจะเข้าไปอีก?”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวทำใจกล้า ยืดอกบอกว่า “ข้าคิดถึงฮ่องเต้ ข้าจะไปพบเขา!”
เฉียวเวยรู้ทันอีกฝ่าย “ท่านคิดถึงยิ่นอ๋องมากกว่ากระมัง!”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวร้อนรนจนน้ำเสียงเจือแววสะอื้น “เขาถูกคนจับตัวไป…ข้าก็แค่อยากจะไปเยี่ยมเขาหน่อยจะเป็นอะไรไป เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ยอมให้ข้าไป”
ยังร้องไห้เสียด้วย! เฉียวเวยเอามือกุมหน้าผาก “ท่านน้า…”