ตอนที่ 412-1 ท่านแม่เฉียวมาถึง
คนเราเมื่อยามอยู่ในสถานการณ์คับขันมักแสดงพลังที่แฝงอยู่ออกมาอย่างสุดกำลัง ศิษย์เอกก็เช่นกัน พอเขาคิดได้ว่าหากตนไม่รีบตามเฉียวเวยไป ตนเองมีสิทธิ์จะสิ้นชีพอยู่ในคุกใต้ดินนั้น เขาก็วิ่งเร็วปานจะเหาะได้ทันที!
ระหว่างทางจากตำหนักกานลั่วมายังวังเย็นนั้น เฉียวเวยได้สำรวจพื้นที่โดยรอบเอาไว้แล้ว เผื่อไว้หากเกิดถูกจับขึ้นมาจะได้มีที่ให้หลบหลีก
นางเลี้ยวเข้าไปยังเรือนเก่าๆ พังๆ แห่งหนึ่งแล้วออกไปทางประตูหลัง พอเร้นกายไปทางขวา ก็เข้าไปยังโรงเก็บของที่ถูกทิ้งร้างไว้นานแล้ว
ศิษย์เอกช่วงแรกก็ตามกันมาดีๆ แต่แค่ชั่วพริบตาคนข้างหน้าก็หายไปเสียแล้ว!
ศิษย์เอกอึ้งงันตาโตอ้าปากกว้าง ถ้าเขาจำไม่ผิด สตรีนางนั้นแบกบุรุษคนหนึ่งไว้ด้วยกระมัง (กล่องยาถูกทิ้งลืมไปนานแล้ว) เหตุใดถึงยังวิ่งเร็วกว่าเขาได้
นี่นางเป็นสตรีจริงๆ หรือ
เฉียวเวยยื่นศีรษะกลมๆ ของนางออกมาจากห้องเก็บของ เอ่ยกับศิษย์เอกว่า “ทำอะไรอยู่นะ ยังไม่รีบเข้ามาอีก”
ศิษย์เอกรีบตะลีตะลานเข้าไปทันที
ภายในห้องข้าวของระเกะระกะ เต็มไปด้วยกลิ่นเชื้อรา ตรงมุมกำแพงมีชั้นวางของสองแถว บนชั้นมีหีบหลายอันที่ดูไม่ออกแล้วว่าเป็นสีอะไรวางกระจัดกระจายอยู่
เฉียวเวยค้นเอาชุดเสื้อผ้าสองชุดออกมาจากในหีบแล้วให้ตนเองกับศิษย์เอกเปลี่ยน
ศิษย์เอกมองชุดนางกำนัล “สีชมพูสดใส” ในมืออีกฝ่ายแล้วขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ “ไม่ใส่ได้ไหม?”
“ไม่ใส่ก็รอตายเอาแล้วกัน! วังหลวงทั้งหมดถูกทหารหลวงล้อมไว้หมดแล้ว เจ้าคิดว่าตัวเองเก่งกล้าสามารถถึงขั้นหลบหลีกสายตาคนเหล่านั้นไปได้หรือ”
“แต่ว่า…ต่อให้ใส่ชุดนี้ ตอนออกจากวังก็ต้องมีคนดูออกอยู่ดี!”
“ใครบอกว่าจะออกทางประตูกันเล่า พวกเราจะปีนกำแพงออกไป แต่กำแพงวังอยู่ไกลจากที่นี่มากเกินไป ระหว่างทางอาจเจอราชองครักษ์เข้าก็ได้ เพื่อความปลอดภัย อย่างไรปลอมแปลงการแต่งกายไว้ก่อนก็ดีกว่า”
ศิษย์เอกเดินไปเปลี่ยนชุดด้านหลังชั้นวางของด้วยความไม่เต็มใจ
ชุดของเฉียวเวยตัวใหญ่ เลยไม่จำเป็นต้องถอดชุดเดิมออกก่อน สวมทับลงไปได้เลย นางใส่เสร็จไม่เท่าไร ศิษย์เอกก็เดินกระมิดกระเมี้ยนออกมา
ศิษย์เอกพอหันไปเห็นนางก็ถึงกับเบิกตาโต “เหตุใดเจ้าถึงใส่ชุดบุรุษ แต่กลับเอาชุดสตรีมาให้ข้าเล่า”
เฉียวเวยเอ่ยน้ำเสียงดุดัน “ที่ข้าใส่นี่หาใช่ชุดบุรุษไม่! เป็นชุดขันทีต่างหาก! ขันทีเจ้ารู้จักไหม”
วังของเยี่ยหลัวไม่มีขันที ศิษย์เอกเพิ่งเคยได้ยินก็เมื่อตอนมาถึงที่นี่ว่าบุรุษทุกคนในวังหาใช่บุรุษจริงๆ ไม่ พวกเขาไม่มี “แท่ง”
บุรุษที่ไม่มีแท่งก็ไม่ต่างกับสตรีเท่าไรนัก พอคิดเช่นนี้ในใจศิษย์เอกก็ค่อยสงบขึ้น
เฉียวเวยให้ศิษย์เอกปล่อยผมลงมาด้วย นางหาผ้าผืนหนึ่งมารวบให้เขา ถึงแม้จะไม่เรียบร้อย แต่หากจะปลอมตัวเป็นนางกำนัลใช้แรงงานชั้นต่ำก็นับว่าพอถูไถ
จากนั้นเฉียวเวยก็ค้นเอาถุงผ้าป่านออกมาจากในหีบแล้วใส่ตัวยิ่นอ๋องเข้าไป นางเอาเศษฟางยัดเข้าไปด้วยแล้วจัดการมัดปากถุงให้เรียบร้อย พอเสร็จนางก็ไปหาหีบใบใหญ่มาใส่ยิ่นอ๋องกับกล่องยาของตนลงไป
“กระบี่ของเจ้าด้วย” เฉียวเวยเอ่ยเตือน
ศิษย์เอกรีบเอากระบี่ชาดของตนยัดลงหีบไป
เฉียวเวยปิดหีบเรียบร้อยกลับไม่รู้นึกอะไรได้ เปิดมันขึ้นอีกครั้ง แล้วเอาทองฝังหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากในกล่องยา
นัยน์ตาศิษย์เอกมีแววประหลาดวาบผ่าน คนกำลังหนีเอาชีวิตรอด เอาของสิ่งนี้ออกมาทำอะไรกัน
เขาสงสัยก็ส่วนสงสัยแต่กลับไม่ได้ถามออกมา
หลังจากนั้นไม่เท่าไร เฉียวเวยก็โชคดีไปเจอรถเข็นที่ล้อพังไปสองล้อเข้าคันหนึ่ง นางย่อตัวลงใช้เข็มเงินกับมีดผ่าตัดที่อยู่ในกล่องยาจัดการซ่อมล้ออย่างคล่องแคล่ว
ศิษย์เอกยิ่งตาโตอ้าปากค้างเข้าไปใหญ่ “เหตุใดเจ้าถึงทำเป็นทุกอย่างเช่นนี้”
“เจ้าทำไม่เป็นหรือ” เฉียวเวยย้อนถาม
ศิษย์เอกส่ายหน้าทันที “ ข้าเป็นศิษย์ที่วรยุทธ์สูงส่งที่สุดของตำหนักราชครู ข้าถูกเลือกให้เข้ามาอยู่ที่ตำหนักราชครูตั้งแต่เล็กๆ คนในตำหนักราชครูของพวกเราไม่จำเป็นต้องทำงานใช้แรงงานเหล่านี้”
เฉียวเวยปรายตามองอีกฝ่าย “มิน่าเล่า คุณชายที่โตมาพร้อมช้อนเงินช้อนทองนี่เอง!”
ความหมายของประโยคนี้ศิษย์เอกฟังเข้าใจแล้ว นางต้องการจะบอกว่าเกิดมาพร้อมชาติตระกูล เติบโตอย่างมีอันจะกินสินะ แต่นางก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันมิใช่หรือ
“เจ้าเป็นคุณหนูตระกูลเฉียว เป็นจั๋วหม่าน้อยแห่งชนเผ่าลึกลับ หรือว่างานใช้แรงงานเหล่านี้ไม่มีคนทำแทนเจ้างั้นหรือ” ศิษย์เอกถามด้วยความสงสัย
เฉียวเวยขยับปากคล้ายอยากพูดบางอย่าง สุดท้ายก็เพียงถอนหายใจเบาๆ “พูดไปก็เรื่องยาว ช่างเถิดๆ อย่าพูดเรื่องไร้สาระอีกเลย รีบไปกันเถิด!”
ศิษย์เอกกระแอมเบาๆ ด้วยความขัดเขิน เขาเป็นถึงศิษย์เอกแห่งตำหนักราชครู แต่กลับมาใส่ชุดสตรีเดินไปตามท้องตลาด หากให้ศิษย์น้องทั้งหลายรู้เข้า เขาคงไม่ต้องมีชีวิตอยู่หลังจากนี้แล้ว
เฉียวเวยเอาหีบใบโตวางลงบนรถเข็นแล้วเข็นรถเดินออกไป พอคิดอะไรได้จู่ๆ ก็หันกลับไปมองประเมินศิษย์เอกขึ้นลงทีหนึ่ง
ศิษย์เอกถูกสายตาของนางมองจนรู้สึกไม่เป็นตัวเอง “เจ้า เจ้าเดินของเจ้าไปสิ”
เฉียวเวยขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด นางแหวกฟางออก เปิดกล่องยาหยิบสำลีออกมาสองก้อนใหญ่ ดึงเปิดสาบเสื้อแล้วจับยัดลงไปข้างละก้อน
ศิษย์เอก “…”
…
แล้วก็เป็นอย่างที่เฉียวเวยคาดเดา ทั่วทั้งวังหลวงเริ่มมีการป้องกันอย่างแน่นหนา ราชองครักษ์ทั้งหลายไล่หาร่องรอยของพวกเขาสามคนไปทั่วทุกที่ โชคดีที่วังหลวงของต้าเหลียงกว้างใหญ่มากพอ มีที่ให้หลบซ่อนมาก ไม่อย่างนั้นช่วงที่พวกเขาแปลงการแต่งกายกันคงถูกราชองครักษ์พบตัวไปแล้ว
เฉียวเวยเข็นรถ มุ่งหน้าไปยังกำแพงวังตรงที่ฮองเฮาเยี่ยหลัวปีนเข้ามาเมื่อคืน
ตรงจุดนั้นเป็นกำแพงวังช่วงที่การคุ้มกันหละหลวมที่สุด ขอแค่ไปถึงตรงนั้นได้ก็แทบจะหนีออกไปได้แล้ว
เฉียวเวยเข็นรถ ศิษย์เอกแสร้งทำท่าว่าตามอยู่ด้านหลังนาง
ระหว่างนั้นมีนางกำนัลและขันทีเดินผ่านไปเป็นครั้งคราว ศิษย์เอกทั้งประดักประเดิดทั้งเขินอาย มือไม้ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหน พอหันกลับไปมองเฉียวเวย อีกฝ่ายก็ทำคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากรวมกับการกระทำหลายอย่างก่อนหน้า เขาล่ะนึกสงสัยนักว่าแท้จริงแล้วนางเป็นขันทีจริงๆ!
“มีคนมา!” เฉียวเวยทำหน้าเคร่ง
ศิษย์เอกรีบก้มหน้าลง
ทั้งสองพยายามให้ตนเองมีตัวตนน้อยที่สุด ให้ตนเองดูแล้วเหมือนขันทีกับนางกำนัลมากที่สุด แต่การตรวจตราวันนี้แน่นหนาเกินไปจริงๆ บ่าวไพร่ที่เดินผ่านไปมาทุกคนต้องถูกราชองครักษ์ซักถามทุกคนไป
“พวกเจ้าสองคน มานี่!” ราชองครักษ์คนหนึ่งเอ่ยขึ้น
เฉียวเวยกับศิษย์เอกเดินตรงเข้าไปทันที
“มาจากตำหนักใด” ราชองครักษ์ถาม
เฉียวเวยบีบเสียงให้ทั้งเล็กแหลมและแหบแห้งว่า “พี่ชายองครักษ์ พวกเรามาจากตำหนักพระสนมหรงเฟย ได้รับคำสั่งจากพระสนมหรงเฟยให้มาเอาของบางอย่างจากตำหนักบรรทมเดิม”
ราชองครักษ์เพ่งมองทั้งสองอีกครั้ง “บนรถเข็นนั่นอะไร”
เฉียวเวยตอบ “ของเก่าของพระสนมหรงเฟย”
ราชองครักษ์เดินอ้อมรถเข็น เมียงมองหีบใบใหญ่บนรถเข็นอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เปิดออก”
เฉียวเวยระบายยิ้มด้วยสีหน้าคงเดิม “พี่ชายองครักษ์ นี่เป็นถึงหีบของพระสนมหรงเฟยเชียวนะ ด้านในใส่อะไรไว้ กระทั่งพวกเราก็ยังไม่รู้ ท่านมาตรวจเสียแบบนี้… หากรู้ไปถึงหูพระสนมเข้า ไม่กลัวพระสนมจะกล่าวโทษเอาหรือ”
หรงเฟยเป็นพระสนมคนแรกที่ได้เข้าไปอยู่ในตำหนักกานลั่ว คำกล่าวของเฉียวเวย ทำให้องครักษ์นึกหวั่นใจขึ้นมาเล็กน้อยจริงๆ
แต่องครักษ์ก็ไม่ใช่คนที่หลอกได้ง่ายๆ ระหว่างที่เดินวนไปนั้น สายตาก็หยุดมองเฉียวเวยกับศิษย์เอกไปด้วย “วันนี้มีนักฆ่าจะจับตัวท่านยิ่นอ๋องไป ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเจ้าใช่พวกเดียวกับนักฆ่าเหล่านั้นหรือไม่ หากที่อยู่ในหีบเกิดเป็นยิ่นอ๋องขึ้นมา การที่ข้าปล่อยพวกเจ้าไปต่างหากกระมัง ถึงจะถูกพระสนมกล่าวโทษเอาได้”
เช่นนี้ก็เท่ากับสงสัยในฐานะของพวกเขาอย่างนั้นสิ
โชคดีที่ตนเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว
เฉียวเวยหยิบทองฝังหยกชิ้นนั้นออกมาจากอกเสื้อ ทำท่าทางคล้ายกลัวผู้อื่นเห็นเข้าก่อนจับใส่มือองครักษ์ไป “น้ำใจเล็กน้อยจากพระสนมหรงเฟย อยู่ในวังมานานเพียงนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนมีของที่ไม่อยากให้ผู้อื่นพบเห็น หวังว่าพี่ชายองครักษ์จะเข้าใจในความลำบากใจของพระสนมเรา”
ทองฝังหยกชิ้นนี้เป็นของที่เมื่อเช้านางหยิบมาจากหีบไม้พุทราของหรงเฟย ด้านบนสลักเป็นตราเฉพาะของสำนักพระราชวัง ซึ่งตราแต่ละแบบที่ทำให้ฮองเฮาพระสนมแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ชิ้นนี้เป็นตรามังกรประจำพระองค์ของฮ่องเต้
องครักษ์มิใช่คนโง่ แค่ดูก็รู้แล้วว่าทองฝังหยกชิ้นนี้เป็นของที่ฮ่องเต้พระราชทานให้แก่หรงเฟย ของสำคัญเพียงนี้หากหรงเฟยไม่หยิบออกมาด้วยตนเอง ขันทีตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะได้มาอยู่ในมือได้อย่างไร
องครักษ์จึงเชื่อในฐานะของพวกเฉียวเวย รับทองฝังหยกมาใส่ไว้ในอกเสื้อแล้วปล่อยให้พวกเฉียวเวยผ่านไปได้
ศิษย์เอกเหลือบมองเฉียวเวย ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี นางคิดอะไรรอบคอบเพียงนี้ ตระเตรียมไว้พร้อมทุกสถานการณ์ ขันทีคนหนึ่งยังฉลาดเพียงนี้ ศิษย์ตำหนักราชครูอย่างพวกเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด
ทั้งสองพอผ่าน “ด่านตรวจ” นี้ไปแล้ว ตอนหลังก็ไม่ได้เจอกับองครักษ์ลาดตระเวนกลุ่มใดอีก เดินต่อไปจนถึงอุทยานเล็กๆ ที่เมื่อวานมาพูดคุยกับท่านน้าได้อย่างราบรื่น ถ้าเดินตัดอุทยานนี้ไปได้ก็จะถึงกำแพงวังแล้ว
ศิษย์เอกเห็นกำแพงวังแล้ว เขารีบเอามือล้วงเข้าไปในอกเสื้อ “เอาออกมาได้แล้วกระมัง”
เฉียวเวยปรายตามองอีกฝ่าย “เจ้าจะรีบร้อนไปไย ก็แค่อกคู่หนึ่งเท่านั้นมิใช่หรือ ใช่เรื่องใหญ่เมื่อไรกัน”
ศิษย์เอกนึกโกรธ “เก่งนักเจ้าก็ห้อย ‘น้องชาย’ สักอันสิ!”
เฉียวเวยรีบเอามือปิดปากเขา
เขาเบิกตาโต ไอบ้าขันทีนี่ เจ้าคิดจะทำสิ่งใด!
เฉียวเวยทำท่าบอกให้อีกฝ่ายเงียบแล้วลากเขาไปอยู่ด้านหลังกำแพง
อีกด้านหนึ่งของกำแพง ทหารลาดตระเวนสองคนเดินผ่านมา
ทั้งสองกลั้นหายใจกลัวว่าองรักษ์จะเดินเข้ามาในอุทยานแห่งนี้ หากเป็นอย่างนั้นพวกเขาต้องถูกพบเข้าไปแน่
โชคดีก็คือ องครักษ์สองคนนั้นเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง ไปตรวจตราทางเดินอีกเส้นหนึ่ง
ทั้งสองถอนหายใจด้วยความโล่งออก
เฉียวเวยเปิดฝาหีบ อุ้มยิ่นอ๋องขึ้นมาแล้วส่งกระเป๋ายาให้ศิษย์เอกถือไว้
ศิษย์เอกถามว่า “หากข้าไปเสียเช่นนี้ อาจารย์กับพวกศิษย์น้องของข้าจะทำเช่นไร”
เฉียวเวยกระซิบบอก “เจ้าวางใจได้ ขอเพียงเจ้าไม่ถูกจับตัวไปได้ พวกเขาก็ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า “นักรบมรณะ” นั้นเป็นฝีมือตำหนักราชครูของพวกเจ้า”
ศิษย์เอกจึงโล่งใจ แต่ก็ได้ยินเฉียวเวยพูดต่อว่า “พวกเขาจะคิดเพียงว่าเป็นฝีมือเจ้าคนเดียว”
ศิษย์เอก “!”
…
ที่นี่อยู่ใกล้กำแพงวังมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้รถเข็นอีก เฉียวเวยแกะปากถุงผ้าป่านแล้วแบกยิ่นอ๋องขึ้นไหล่ ก่อนจะโยนเชือกวงหนึ่งให้ศิษย์เอก
“เหตุใดต้องเอาสิ่งนี้ไปด้วย อีกเดี๋ยวพวกเราก็จะออกไปแล้ว” ศิษย์เอกถามอย่างไม่เข้าใจ
เฉียวเวยบอกว่า “ไม่ว่าในเวลาใดก็จะประมาทไม่ได้ หากเกิดอีกเดี๋ยวต้องปีนกำแพงแล้วเจ้าปีนไม่ไหว มิใช่ว่าข้าต้องเป็นคนดึงเจ้าหรือ”
ศิษย์เอกกระแอมเบาๆ
เอาเถิด พวกเขายอมรับว่าอาจารย์ไสยไวทอย่างพวกเขาไม่ได้เกิดมาเพื่อปีนกำแพง
ทั้งสองเดินออกจากอุทยานไปที่กำแพงวัง
ระหว่างนั้นทุกอย่างนับว่าราบรื่นดี เฉียวเวยวิ่งส่งสามสี่ก้าวก่อนจะกระโดดลอยตัวขึ้นไปเหยียบยอดกำแพง นางนั่งคร่อมอยู่ด้านบน ยื่นมือไปหาศิษย์เอก ระยะห่างนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เชือก แต่ศิษย์เอกถือคติว่าบุรุษสตรีห้ามใกล้ชิดกัน เขาจึงเอาเชือกส่งให้นางแทน
เฉียวเวยพูดไม่ออกไปเลยทีเดียว นางจับเชือกแล้วดึงเบาๆ ให้ตัวศิษย์เอกเลื่อนขึ้นมา
ศิษย์เอกมองพื้นดินที่ปลายเท้า ลูบหน้าอก ลูบใบหน้าตนเองราวกับอยู่ในฝัน นี่เขาออกมาแล้วหรือ ออกมาแล้วจริงๆ หรือ
“ถอยหน่อย” เฉียวเวยบอก
ศิษย์เอกขยับหลบไปด้านหนึ่ง
เฉียวเวยเอาขาอีกข้างที่ยังอยู่ข้างในวาดออกไป ใช้สองมือยันตัวขึ้นแล้วกระโดดลงกำแพงไป
แต่ผู้ใดจะคิดว่าพอนางกระโดดลงมา ยิ่นอ๋องที่อยู่บนไหล่กลับหายไปเสียแล้ว!
สายตาเฉียวเวยพลันดุดัน กระโดดปีนกำแพงวังอีกครั้ง จึงเห็นยิ่นอ๋องถูกนักรบมรณะคนหนึ่งที่ผมไหม้เกรียมไปทั้งศีรษะจับตัวไว้อยู่
ด้านข้างนักรบมรณะผู้นั้น ยังมีอีกสามคนที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยควัน เผาเกรียมราวกับเป็นสหายของเปาบุ้นจิ้นอย่างไรอย่างนั้น
ไอเจ้าผีร้ายน่ารังเกียจทั้งสี่นี่ ถึงขั้นดับไฟจนหมดโดยไม่ถูกเผาตายอีกหรือ!
สองแขนของเฉียวเวยกดหนักๆ ลงบนกำแพง ยันตัวกระโดดเข้าไปในกำแพงวัง
ศิษย์เอกงงงวย “นี่? เจ้าจะทำอะไรน่ะ กว่าจะออกมาได้ เหตุใดถึงกลับเข้าไปอีกเล่า”
เฉียวเวยทำหน้าขรึม ก้าวยาวๆ เข้าไปยกเท้าถีบนักรบมรณะคนหนึ่งจนกระเด็นแล้วแย่งตัวยิ่นอ๋องมา
แต่นางกลับเข้ามาแล้ว นักรบมรณะไม่มีทางปล่อยให้นางออกไปง่ายๆ อีก
ทั้งสามเข้ามาล้อมนางไว้ ชักกระบี่พุ่งเข้าใส่นาง
เฉียวเวยสู้ตัวคนเดียวได้อย่างคล่องแคล่ว แต่พอต้องแบกใครคนหนึ่งไว้กับตัว จึงไม่ง่ายดายเพียงนั้นอีก
นักรบมรณะเหล่านั้นถึงคราวต้องต่อสู้มีหรือจะสนใจว่าผู้ใดคือยิ่นอ๋อง พวกเขาสนแต่จะฆ่าฟันให้ตาย กระบี่ยาวของนักรบมรณะคนหนึ่งพุ่งตรงมาที่หัวไหล่เฉียวเวย หนำซ้ำหัวไหล่ด้านนั้นยังเป็นด้านที่แบกยิ่นอ๋องอยู่เสียด้วย
อีกนิดจะแทงถูกยิ่นอ๋องแล้ว เฉียวเวยจำเป็นต้องยอมสละอีกข้างหนึ่งของตน เปลี่ยนไปใช้กริชขวางกระบี่นักรบมรณะผู้นั้นไว้
อาภรณ์ของนางถูกแทงเป็นรูเสียแล้ว
ความสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เขย่าจนยิ่นอ๋องค่อยๆ ได้สติ ยิ่นอ๋องขยับริมฝีปากที่แห้งผาก เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ปล่อยข้าลง…”
“ไม่ปล่อย!” เฉียวเวยใช้กริชกันกระบี่ที่พุ่งเข้ามาเอาไว้
มือซ้ายนางคอยปกป้องยิ่นอ๋อง เหลือเพียงมือขวาที่ใช้การได้ เป็นข้อจำกัดที่สาหัสมากจริงๆ!
“เชือก!” นางตะโกนเสียงก้อง
ศิษย์เอกโยนเชือกให้นาง