เล่ม 1 ตอนที่ 413-1 สังหารราชันอสูร! (1)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 413-1 สังหารราชันอสูร! (1)

ศิษย์เอกตกใจจนพูดอะไรไม่ออกไปเลยทีเดียว คนที่หยิ่งพยองเพียงนี้เป็นใครกันนะ เหตุใดกระทั่งกำแพงวังยังกล้าทำลายได้ นางไม่กลัวว่า…

“อา…”

จังหวะที่ได้เห็นหน้าเฮ่อหลันชิงนั้น ความนึกคิดของศิษย์เอกก็ถึงกับขมวดปมไปเลยทีเดียว

เขาไม่เคยเห็นผู้ใดเช่นนี้มาก่อน คล้ายว่านางคลุมแสงอาทิตย์เดินเข้ามา เสื้อคลุมด้านนอกสีดำด้านในสีแดงนั้น ตัวหมวกตกลงมาปิดใบหน้าเอาไว้ เผยให้เห็นเพียงริมฝีปากที่งดงามจนผู้คนต้องตกตะลึง ปากแดงสวยนั้นยกขึ้นสบายๆ ท่วงท่ากิริยาที่ดูสบายๆ นั้น กลับทำให้ลมหายใจผู้พบเห็นพลันหยุดชะงัก

ลึกลับ เยือกเย็น แต่รัศมีกลับคล้ายแผ่ไอปีศาจออกมากระนั้น

ใจของเขาคล้ายกระเด้งกระดอนขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม

เขายกมือจับหน้าอก มองอีกฝ่ายที่นั่งอยู่บนหลังม้าสูงใหญ่ ม้าตัวนั้นมีลักษณะเช่นเดียวกับเจ้าของ คล้ายเป็นฮ่องเต้ที่ไม่สนใจโลกหล้า

เฉียวเวยก็รู้สึกว่ามารดาตนเท่ห์เกินรับไหว เหล่าเทพเซียนทั้งหลายหากเปรียบเทียบกับมารดานางแล้วเรียกได้ว่ากระจอกงอกง่อย มารดานางต่างหากที่เท่ห์ระเบิดอย่างบ้าคลั่งโดยแท้จริง!

เฉียวเวยดีใจยิ่งนัก รีบวิ่งเข้าไปหามารดา “ท่านแม่!”

มือที่เรียวยาวประหนึ่งหยกของเฮ่อหลันชิงลูบใบหน้าบุตรสาว “อื้อ ไม่ผอมลง”

เฉียวเวยระบายยิ้มด้วยความยินดี “ข้าย่อมต้องไม่ผอมลงสิ!” มีเพื่อนกินข้าวเป็นเจ้าเด็กอ้วนวั่งซู พอเห็นที่เจ้าเด็กอ้วนกินแล้ว ตนก็อยากเติมอีกชามเสมอ จะผอมลงได้อย่างไร

“เขาเป็นใครกัน” เฮ่อหลันชิงหยุดมองยิ่นอ๋องที่สงบไสลไม่ได้สติอยู่บนหลังเฉียวเวย

เฉียวเวยรีบบอกว่า “เขามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นน้องชายลูกพี่ลูกน้องของหมิงซิว เรื่องของเขาจะให้เล่าก็คงยาว ไว้วันหน้าข้าค่อยเล่าให้ท่านแม่ฟังโดยละเอียดอีกที”

เฮ่อหลันชิงพยักหน้า

พอคิดอะไรได้ เฉียวเวยเลยถามว่า “ท่านแม่ ท่านมาได้อย่างไร”

ริมฝีปากแดงฉ่ำของเฮ่อหลันชิงยกขึ้นเล็กน้อย “หากยังไม่มา เจ้าจะไม่ถูกพวกกเฬวรากของเยี่ยหลัวพวกนั้นรังแกเอาหรือ”

พอเอ่ยถึงพวกกเฬวรากเหล่านั้นแล้ว เฉียวเวยก็หัวเสียขึ้นมาทันที! นางที่เป็นถึงจั๋วหม่าน้อยของชนเผ่าลึกลับ ถึงขั้นถูกนักรบมรณะคนหนึ่งควบคุมจนไม่อาจต่อกรได้ มันช่างน่าโมโหยิ่งนัก!

ที่น่าโมโหยิ่งกว่านั้นก็คือ ไอเจ้าคนบนเสลี่ยงนั่นยังทำอาจารย์ตาฮั่วบาดเจ็บอีกด้วย!

“ท่านแม่ อาจารย์ตาได้รับบาดเจ็บ!”

อาจารย์ตาฮั่วเจ็บหนักจนสลบไปแล้ว องครักษ์เกราะทมิฬหิ้วปีกเขาเข้าไปหา เฮ่อหลันชิงจับชีพจรให้อาจารย์ตาฮั่ว สกัดจุดชีพจรเขา ไม่ให้พลังชี่แล่นสะเปะสะปะไปทั่วร่างกาย จากนั้นก็เอ่ยกับเฉียวเวยว่า “คอยดูอาจารย์ตาของเจ้าไว้ แม่จะไปจัดการเจ้าบ้านั่นเอง”

เฉียวเวยก็คิดเห็นเช่นนั้น ที่บอกว่าเป็นเจ้าบ้านั้นถูกต้องเลย เขาฝึกวรยุทธ์จนได้ขนาดนั้น ไม่นับว่าเป็นคนธรรมดาทั่วไปแล้วจริงๆ เพียงแต่เมื่อคิดถึงความเก่งกาจของอีกฝ่าย เฉียวเวยจึงเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “อาจารย์ตาบอกว่าคนผู้นั้นคือราชันอสูร ท่านแม่โปรดระวังด้วย”

เฮ่อหลันชิงยกนิ้วมือที่ผอมเรียวขึ้น เป่าเล็บที่ทาสีแดงสดเบาๆ “ราชันอสูร? หึ น่าสนใจ”

เสลี่ยงนั้นยังคงแบกอยู่บนไหล่ของนักรบมรณะทั้งแปดคนเหมือนเดิม หอกยาวเป็นประกายสีดำเมี่ยมครึ่งหนึ่งเสียบอยู่ในเสลี่ยง อีกครึ่งหนึ่งค้างอยู่กลางอากาศ หอกเล่มนี้ทำขึ้นจากเหล็กกล้าทั้งแท่ง น้ำหนักเป็นร้อยจิน คนทั่วไปอย่าว่าจะขว้างเลย แค่ถือก็ยังลำบาก หากถูกเจ้าอาวุธร้ายนี้เสียบเข้าไป ผลจะเป็นเช่นไรคงไม่ยากจะจินตนาการ

ภายในเสลี่ยงไร้การเคลื่อนไหว บรรยากาศโดยรอบก็เป็นไปด้วยความสงบเงียบ ลมเย็นอ่อนๆ พัดมา ผ้าโปร่งบนเสลี่ยงก็โบกสะบัดเบาๆ

สถานการณ์เช่นนี้แค่เพียงได้มองก็พอให้ใจเต้นระรัวแล้ว

ศิษย์เอกเขยิบเข้าไปใกล้เฉียวเวย

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “นิ่งเงียบไปนานแล้วนะ ทำอะไรอยู่น่ะ คงไม่ใช่ว่าตายไปแล้วกระมัง”

ศิษย์เอกไม่คิดเช่นนั้น “เป็นไปไม่ได้! ราชันอสูรไม่มีทางตาย ในโลกหล้านี้ไม่มีผู้ใดสังหารราชันอสูรได้!”

พอสิ้นเสียงศิษย์เอก หอกเหล็กกล้าที่ปักอยู่บนเสลี่ยงนั้นก็พุ่งกระเด็นออกมาราวกับลูกธนู ความเร็วของมันทำให้คนยากจะตอบสนองได้ทันท่วงที

ศิษย์เอกยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หอกยาวนั้นก็พุ่งเฉียดหน้าเขาไปหาเฮ่อหลันชิงพร้อมไอสังหารท่วมท้นแล้ว

ทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วพริบตา

ใจของศิษย์เอกกระดอนขึ้นมาถึงลูกกระเดือกแล้ว

หอกยาวพุ่งตรงไปทางหน้าอกของเฮ่อหลันชิง เฮ่อหลันชิงกลับไม่ขยับเปลือกตาสักนิด ปลายนิ้วดีดเบาๆ หอกเหล็กกล้าหนักเป็นร้อยจินก็ถูกผลักกระเด็นไปทันที หอกยาวหมุนคว้างอยู่กลางอากาศหลายรอบก่อนจะปักฉึกลงกับพื้น!

เป็นเสียงดังสนั่น

เฮ่อหลันชิงนั่งอยู่บนหลังม้า เสื้อคลุมถูกลมอ่อนๆ พัดปลิวขึ้นมา นางมิได้แสดงสีหน้าอะไรมากมาย แต่รังสีอันยิ่งใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์ของนางบดขยี้รังสีของอีกฝ่ายจนไม่เหลือชิ้นดี!

เฉียวเวยแปลงร่างเป็นน้องน้อยผู้เลื่อมใสในทันที “ว้าว!”

ศิษย์เอกเอามือกุมหน้าอก หัวใจเต้นระรัวอย่างหนัก เขารู้สึกเหมือนว่าตนเองใกล้จะตายแล้วกระนั้น…

คนผู้นั้นบนเสลี่ยงดูเหมือนจะถูกกระตุ้นจนเดือดดาลถึงขีดสุดแล้ว กำลังภายในมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากในเสลี่ยง นักรบมรณะมีดยาวที่แบกเสลี่ยงอยู่ทั้งหกคนทนรับกำลังภายในอันกล้าแข็งเช่นนี้ไม่ไหว ตรงมุมปากจึงมีเลือดไหลออกมา

เฉียวเวยยืนอยู่ด้านหลังมารดาของตน ยื่นออกมาเพียงศีรษะ กำลังภายในของอีกฝ่ายถูกมารดาของนางขวางกั้นไว้หมดแล้ว นางไม่รู้สึกอะไรสักนิด แต่ดูจากอาการของพวกที่แบกเสลี่ยงนั่นอยู่แล้ว ราชันอสูรคงจะปล่อยพลังเต็มที่แล้วกระมัง

เฮ่อหลันชิงยิ้มเยาะ “ราชันอสูรในตำนานนั่น มีความสามารถเท่านี้เองงั้นหรือ”

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายโกรธเกรี้ยวกับคำกล่าวนี้จึงมีเสียงคำรามต่ำๆ ลอดออกมา เสลี่ยงก็เริ่มสั่นไหว พู่ที่ห้อยอยู่กับผ้าม่านแกว่งไกวแทบจะถึงฟ้าอยู่แล้ว นักรบมรณะที่แบกเสลี่ยงอยู่กระอักเลือดกันออกมามากขึ้น

เฮ่อหลันชิงหัวเราะเสียงเย็น กดน้ำหนักลงบนที่วางเท้าก่อนจะพุ่งทะยานเข้าไปหาเสลี่ยงนั้น

“ท่านแม่!” เฉียวเวยตะโกนเสียงก้อง

เฮ่อหลันชิงพุ่งทะลุผ่านเสลี่ยงเข้าไปคว้าตัวบุรุษในชุดเกราะเงิน สวมหน้ากากเหล็กแล้วทะยานออกมา ก่อนจะจับเขาโยนลงกับพื้น!

ส่วนตัวนางพลิกตัวกลางอากาศแล้วลงกลับลงนั่งบนหลังม้าอย่างสง่างาม

ศิษย์เอกขยี้ตา สงสัยว่าตนเองมองผิดไป สตรีนางนี้ทำอันใด บนพื้นถึงได้มีคนเพิ่มเข้ามาอีกคนในชั่วพริบตาได้

ชุดเกราะตรงหน้าอกไม่รู้ถูกอะไรคว้านเป็นรูจนกลายเป็นบ่อเลือดสีดำเมี่ยม

ศิษย์เอกมองหอกยาวที่อยู่อีกด้าน คงไม่ใช่ว่า…คนผู้นี้…คือคนบนเสลี่ยง บนเสลี่ยงที่เป็น…ราชันอสูรกระมัง

ราชันอสูรถูกแทงได้รับบาดเจ็บจริงๆ อย่างนั้นหรือ เป็นไปได้อย่างไร

แน่นอนว่าต่อให้เขาได้รับบาดเจ็บ เขาก็ยังเป็นราชันอสูรอยู่ดี รัศมีของราชันอสูรยังคงทำให้ผู้คนหวาดหวั่น เมื่อสายตาดุดันมองมา ขาศิษย์เอกก็พลันอ่อนยวบ!

ราชันอสูรลุกขึ้นยืน เขาคิดอยากสังหารเฮ่อหลันชิงในฝ่ามือเดียว แต่เขายังไม่ทันลงมือ เฮ่อหลันชิงก็ลอยตัวถีบเขาจนกระเด็นไกลไปหนึ่งร้อยแปดสิบเมตรแล้ว!

ตัวเขากระแทกกับก้อนหิน ก้อนหินส่งเสียงแล้วค่อยๆ ปริแตก ก่อนจะถล่มลงมาทับตัวเขา

เขาแหวกหินออก ยื่นมือออกมาจากเศษซากหิน

เฮ่อหลันชิงพุ่งฝ่ามือออกไปทันที เขาเลยต้องรีบชักมือกลับ!

เฮ่อหลันชิงดึงหอกยาวที่ปักอยู่บนพื้นขึ้นมา บังคับม้าให้เดินเข้าไปหาอีกฝ่ายช้าๆ

เฉียวเวยรู้ว่านี่นางตั้งใจจะสังหารราชันอสูรแล้ว

แต่ผู้ใดจะคิดว่าเฮ่อหลันชิงเดินเข้าไปได้ครึ่งทาง ตรงทางเดินที่ห่างไปไม่ไกลก็มีเสียงแหลมสูงของขันทีขานบอกว่า “พระสนมหรงเฟยเสด็จ”

เฉียวเวย หึหึ นังปีศาจเฒ่านี่ ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ต้องเปิดเผยตัวแล้วสินะ

ก็จริงอยู่ หากนางยังไม่ออกมาอีก ราชันปีศาจคงได้ถูกมารดานางสังหารแน่

“นักฆ่า” ฝีมือเก่งกาจเพียงนี้ หากพอออกโรงก็ถูกทำลายทิ้งทันที หรงเฟยคงได้เจ็บปวดไปอีกหลายปีแน่

เฉียวเวยปลดตัวยิ่นอ๋องที่อยู่บนหลังลงมาส่งให้องครักษ์เกราะทมิฬ จากนั้นก็ก้าวเข้าไปตรงทางเดินกรวด มองเกี้ยวอันแสนหรูหราที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาด้วยสายตาราบเรียบ

เกี้ยวหยุดอยู่ห่างจากเฉียวเวยไปสองจั้ง ขันทีวัยกลางคนผู้นั้นค่อยๆ แหวกเปิดม่าน หรงเฟยนั่งอยู่ด้านใน กวาดตามองสภาพเละตุ้มเป๊ะด้วยสายตาเย็นยะเยือก พอกวาดไปเห็นกำแพงวังที่พังราบไปแถบหนึ่ง สายตานางก็เปลี่ยนเป็นดุดัน จากนั้นก็คล้ายมองเมินคนอื่นๆ ที่เหลือไป เพ่งเล็งไปที่เฉียวเวยคนเดียว “จีฮูหยินนี่เจ้าคิดจะก่อการกบฏอย่างเปิดเผยงั้นหรือ”

เมื่อมีมารดาแท้ๆ คอยให้ท้าย เฉียวเวยจึงยืดตัวตรงอกตั้ง สองมือไพล่อยู่ด้านหลัง เดินอย่างเย่อหยิ่งเข้าไปสองสามก้าว มองคนในเกี้ยวอย่างไม่มีเกรงใจ “ข้าก่อการกบฏอย่างไรหรือ”