ตอนที่ 416-1 หรงเฟยบาดเจ็บหนัก (1)
ประโยคนี้เล่นเอาเฉียวเจิงขนลุกไปหมด มีแวบหนึ่งที่เฉียวเจิงรู้สึกไม่อยากเข้าไป แต่พอมาคิดว่าท่านยายผู้นี้น่าสงสาร ถูกรถม้าชนเข้ากลางวันแสกๆ หนำซ้ำรถม้ายังแล่นหนี ถึงอย่างไรตนก็ควรพานางกลับไปส่งกระมัง!
เฉียวเจิงแบกท่านยายเข้าไปในร้านขายโลงศพ
ในร้านไม่มีใครอยู่ ที่โถงใหญ่มีโลงศพสีดำเมี่ยมตั้งอยู่ ลมเย็นพัดมาจากหน้าประตู ช่างดูวังเวงจนน่าขนลุก
เฉียวเจิงวางตัวท่านยายลง หาเก้าอี้ให้นางนั่งแล้วกวาดตามอง “ท่านยาย คนในบ้านเจ้าเล่า”
ท่านยายยิ้มบอกว่า “ในบ้านมีข้าแค่คนเดียว”
ประโยคนี้ตีความได้มากมายนัก จะบอกว่าทุกคนออกไปกันหมด หรือว่าทุกคนตายกันหมดแล้วเหลือนางคนเดียวกันแน่ เฉียวเจิงเกรงว่าจะเป็นอย่างหลัง เช่นนั้นก็น่ากระอักกระอ่วนแล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไม่ถามอะไรต่ออีก แต่บอกว่า “ข้าต้องช่วยประคองเข้าไปในห้องหรือไม่”
ท่านยายระบายยิ้ม “ไม่ต้องหรอก เจ้าช่วยรินน้ำให้ข้าสักแก้วก็พอ”
เฉียวเจิงกวาดมองในห้องโถงรอบหนึ่งจึงเห็นกาน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะ เขารินชาเย็นๆ ใส่แก้วส่งให้นาง “ท่านยาย เอ้า”
ท่านยายรับถ้วยชาไปแล้วก็ไม่รีบร้อนยกดื่ม มองเฉียวเจิงด้วยสายตาใจดี “พ่อหนุ่ม เจ้าช่างใจดีนัก”
บุตรสาวของเฉียวเจิงยังเป็นสาวแล้วเลย พอได้ยินผู้อื่นเรียกตนว่าพ่อหนุ่มจึงรู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย แต่อายุของอีกฝ่ายก็เห็นๆ กันอยู่ เขายังไม่อยากจะโต้แย้งอะไร “ท่านยายหากเจ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าไปก่อนล่ะ”
“เจ้ารอเดี๋ยว อย่าเพิ่งรีบร้อนสิ” ท่านยายวางถ้วยชาลง เอ่ยกับเขาว่า “เจ้าส่งข้ากลับมา ข้ายังไม่ทันขอบคุณเจ้าเลย”
เฉียวเจิงบอกด้วยความเกรงใจว่า “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ต้องขอบคุณหรอก เจ้าพักรักษาตัวให้ดี ไว้วันหน้าข้าจะนำยามาให้เจ้าขวดหนึ่ง”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร แค่มาส่งข้าก็ลำบากเจ้ามากแล้ว หากข้ายังรับยาเจ้าอีก…ข้าจะกลายเป็นคนเช่นไร เจ้ามานี่” ท่านยายกวักมือให้เฉียวเจิง
เฉียวเจิงเดินเข้าไป “ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือ”
ท่านยายยิ้มบอกว่า “จะให้เงินเจ้าอย่างไรเล่า ข้าจะให้เจ้ากลับมาส่งเฉยๆ ไม่ได้ ให้เจ้าให้ยาข้าเฉยๆ ไม่ได้หรอก”
เฉียวเจิงมักไม่เก็บค่ารักษาคนไข้ เฉียวเวยบอกว่านิสัยเช่นนี้ต้องปรับปรุง คำพูดของบุตรสาวนับว่าเขาฟังเข้าหูแล้ว แต่ครั้งนี้ตนเป็นฝ่ายจะให้ยาอีกฝ่ายเอง หากจะรับเงินนางอีก ตนยังไม่เหมือนพวกบังคับขายเอาเงินหรือ เฉียวเจิงจึงบอกว่า “ไม่ต้องหรอก แค่ยาขวดเดียวเท่านั้น ไม่เท่าไรหรอก”
ท่านยายเอ่ยเย้าว่า “เจ้าน่ะ คงไม่ได้รีบร้อนจะกลับหรอกกระมัง ทำไมกัน ฮูหยินที่บ้านรออยู่หรือ”
พอเอ่ยถึงเฮ่อหลันชิง บนหน้าเฉียวเจิงก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นอย่างยากจะควบคุม นับว่ายอมรับคำพูดของอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ
มุมปากท่านยายยกขึ้น “พวกเจ้าช่างรักกันดีเหลือเกิน หากเกิดเจ้ามาเป็นอะไรข้างนอกเข้า ภรรยาเจ้าก็คงเสียใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่เช่นกันกระมัง”
เอ๋?
พูดอย่างกับว่ามีอีกคนที่เสียใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่กระนั้น
เฉียวเจิงยังจำได้ว่าต้องไปซื้อขนมกุ้ยฮวาให้เฮ่อหลันชิง จึงไม่คิดจะอยู่พูดคุยกับท่านยายต่ออีก
แต่อยู่ๆ ท่านยายกลับจับมือเขาไว้ เขาอึ้งไป “ท่านยาย ท่านเป็นอะไรหรือ”
เฉียวเจิงมองหน้าอีกฝ่าย
ดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยย่นของท่านยายดูดุดันขึ้นเล็กน้อย ลูกนัยน์ตาพลันดำมืด
เฉียวเจิงอึ้งมองนางอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยถามว่า “ท่านยายเป็นอะไรไปหรือ”
คราวนี้เปลี่ยนเป็นอีกฝ่ายที่อึ้งไปบ้าง นางขมวดคิ้ว กะพริบตาแรงๆ จ้องตาเฉียวเจิงนิ่ง ก่อนที่นัยน์ตาจะกลับมามีประกายอ่อนๆ อีกครั้ง
แต่กระนั้นครั้งนี้ก็ไม่ต่างอันใดกับครั้งก่อนหน้า
เฉียวเจิงดึงมือตนเองออก ตัวโงนเงนต่อหน้าตา “ท่านยาย ท่านยาย!”
ท่านยายเหงื่อแตกเต็มตัว พึมพำเสียงเบาว่า “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”
เฉียวเจิงยิ่งงุนงงหนักเข้าไปใหญ่ “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้อะไรกัน”
ท่านยายไม่ตอบเขา แต่จับหัวไหล่เขาไว้ นางประสานสายตากับเฉียวเจิงอีกครั้ง พยายามดึงความอดทนทั้งหมดออกมา
เมื่อท่านยายจับจ้องอยู่เช่นนี้ มากน้อยอย่างไรก็ต้องรู้สึกอึดอัดกันบ้าง เฉียวเจิงจึงบอกว่า “ท่านยาย เจ้าเหนื่อยแล้วใช่หรือไม่ เจ้ารีบพักผ่อนเถิด ข้าไปล่ะ”
พูดจบเขาก็ลุกขึ้นเดินออกไปทันที
ท่านยายทะลึ่งตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ มองเฉียวเจิงด้วยสายตาดุดันพลางเงื้อมือข้างหนึ่งขึ้นช้าๆ
เฉียวเจิงรีบร้อนจะออกไป จึงไม่รู้ถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาสักนิด
อีกฝ่ายใช้วิชาตัวเบาเคลื่อนตัวมาใกล้แล้วเอามือตะปบหัวใจเฉียวเจิงทันที!
ฝ่ามือนางแทงเนื้อเขาไม่ทะลุ จึงไม่อาจควักหัวใจของเขาออกมาได้
ในขณะที่กรงเล็บพิษของนางกำลังจะข่วนด้านหลังเฉียวเจิงให้เป็นแผลนั้น เงาวูบหนึ่งก็พุ่งเข้ามาราวกับภูตผี เงานั้นคว้าคอนางเอาไว้ก่อนจะจับตัวนางกดเข้ากับกำแพง!
นางถูกบีบคอแล้วจับยกขึ้น ด้านหลังแนบกับผนังแข็งๆ และเย็นยะเยือก นางพยายามง้างมือนั้นออก แต่กระนั้นมือที่แข็งแรงประหนึ่งเหล็กกล้าก็ไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด
เฮ่อหลันชิงมองอีกฝ่ายพร้อมไอชั่วร้าย ริมฝีปากแดงฉ่ำยกขึ้นเป็นรอยยิ้มสบายๆ “บุรุษของข้าเจ้ายังกล้าแตะต้อง คงหน่ายชีวิตแล้วสิท่า”
เฉียวเจิงเดินเข้ามาด้วยความตกใจ เขามองเฮ่อหลันชิงแล้วมองท่านยายที่ถูกนางบีบคอยกขึ้นเหนือพื้น ชั่วแวบนั้นเขาพลันนึกได้ว่า “นางเป็นคนไม่ดีงั้นหรือ!”
“นางทำอะไรเจ้าหรือไม่” เฮ่อหลันถามเสียงเรียบ
เฉียวเจิงคิดแล้วตอกบว่า “ไม่ได้ทำอะไรนะ แค่เอาแต่บอกให้ข้ามองนางเท่านั้น”
เฮ่อหลังชิงมองเข้าไปนัยน์ตาอีกฝ่าย “แค่วิชากระจอกๆ อย่างเจ้ายังคิดจะหลอกให้สามีข้าลุ่มหลงงั้นหรือ ประมาณตนหน่อย!”
อีกฝ่ายขยับริมฝีปาก คล้ายกำลังคิดจะทำบางอย่าง เฮ่อหลันชิงถอดกรามอีกฝ่ายออก จากนั้นตัวอีกฝ่ายก็กระตุก สายตาพลันเปลี่ยนเป็นเลื่อนลอย
เฮ่อหลันชิงหรี่ตามากเสน่ห์ของตนก่อนจะยกมือขึ้น อ้อมไปด้านหลังใบหูอีกฝ่าย บิดเบาๆ หน้ากากหนังคนก็หลุดออกมา
ด้านหลังหน้ากากเป็นใบหน้าของหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่ง มีเพียงสีหน้าที่ขาวซีดจนน่าประหลาด แต่ที่น่าประหลาดยิ่งกว่าสีหน้าของนางก็คือสายตาที่ดูจะเลื่อนลอยขึ้นเรื่อยๆ ของนาง
“หุ่นเชิดงั้นหรือ” เฮ่อหลันชิงพึมพำพลางยิ้มเยาะ นิ้วมือเรียวยาวคลำไปยังจุดที่ห่างจากหัวใจนางสามนิ้วแล้วซัดฝ่ามือเข้าใส่!
พรวด
ในวังหลวง หรงเฟยกระอักเลือดสดๆ ออกมา
ฝูหลิงที่เฝ้าอยู่หน้าประตูได้ยินเสียงเลยรีบผลักประตูเข้ามาจึงเห็นหรงเฟยเอามือกุมหน้าอก บนอาภรณ์เต็มไปด้วยคราบเลือด สีหน้านางขาวซีด “พระสนม! พระสนมท่านเป็นอะไรไป”
หรงเฟยยื่นมือที่สั่นระริกออกมา
ฝูหลิงรีบจับแขนนางไว้ “พระสนม!”
เหงื่อเย็นๆ ของหรงเฟยผุดพราย
ฝูหลิงไม่เข้าใจว่าอยู่ดีๆ เหตุใดหรงเฟยถึงกระอักเลือดได้ “พระสนม บ่าวจะไปตามหมอหลวงมานะเพคะ!”
“ไม่ต้อง…ข้า…”
หรงเฟยยังไม่ทันพูดจบ สองตาก็ลอยคว้างพิงซบสลบอยู่กับอกฝูหลิง
…
เมืองหลวงเกิดเหตุประหลาดขึ้นติดต่อกันในหนึ่งวัน เริ่มด้วยเฉียวเวยเกือบถูกหรงเฟยเล่นงาน หลังจากนั้นหรงเฟยฉวยโอกาสไม่สำเร็จ ซ้ำร้ายยังทำตัวเองเจ็บหนักอีก ทั้งหมดของทั้งหมดนี้น่าตกใจเสียยิ่งกว่าเรื่องตลอดสิบปีรวมกันเสียอีก
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือ จีหมิงซิวที่อยู่ไกลถึงค่ายใหญ่ตะวันออกก็ได้พบเรื่องที่ผิดไปจากธรรมดาเช่นกัน
“ที่นี่งั้นหรือ” จีหมิงซิวหยุดอยู่หน้าเนินเขาแห่งหนึ่ง ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากค่ายใหญ่ตะวันออกแล้ว ประมาณหกเจ็ดลี้เห็นจะได้ ทิวเขาทอดยาว ยอดเขามากมาย ตามปกติเวลาเหล่าทหารฝึกซ้อมต้องผ่านเส้นทางเช่นนี้บ้าง แต่เพราะค่ายทหารมีกฎเกณฑ์เข้มงวด ห้ามเด็ดขาดไม่ให้ทหารออกจากค่ายโดยพลการ ดังนั้นตามปกติจึงไม่มีใครมาที่นี่กัน
แต่เมื่อสามวันก่อน ทหารใหม่นายหนึ่งทนความลำบากในค่ายไม่ไหวจึงลอบหนีทหารออกมา เขาหนีเข้าไปทางเดินเขานี้
หลังเกิดเรื่อง ค่ายทหารได้ส่งทหารจำนวนหนึ่งไปจับตัวเขา แต่คนกลุ่มนั้นไม่กลับมาอีกเลย
หัวหน้าหน่วยรู้สึกแปลกใจ จึงนำทหารกลุ่มหนึ่งเข้าไปแต่ก็เหมือนเอากระดูกโยนเข้าปากหมา ไม่ได้กลับออกมาอีกเลย
วันนี้คนที่มาต้อนรับจีหมิงซิวเป็นคนสนิทของแม่ทัพตัวหลัว คือรองแม่ทัพสวี
รองแม่ทัพสวีมองเนินเขาตรงหน้า “ที่นี่แหละ ข้าเห็นกับตาว่าหัวหน้าหน่วยซุนนำคนเข้าไป เขาข้ามภูเขาลูกนี้ จากนั้นก็ไม่ได้ออกมาอีกเลย”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทะยานข้ามเนินเขาไป กวาดตามองทิวเขาที่ทอดยาวไปไม่มีที่สิ้นสุด
จีหมิงซิวก็จะเดินไปทางเนินเขาเช่นกัน
รองแม่ทัพสวีก้าวเข้าไปขวางเขาไว้ ประสานมือบอกว่า “ใต้เท้า ช้าก่อน ให้ข้าน้อยกับจอมยุทธเยี่ยนเข้าไปก็พอ”
จีหมิงซิวเอ่ยสบายๆ ว่า “มาก็มาแล้ว เป็นผีหรือคนก็ต้องไปดูให้เห็นกับตาสักหน่อย”
รองแม่ทัพสวีเอ่ยด้วยความหนักใจว่า “ป่านี้แปลกประหลาดเกินไป ใต้เท้ารอฟังข่าวอยู่ด้านนอกจะดีกว่า”
จีหมิงซิวบอกว่า “ในเมื่อข้ารับปากแม่ทัพพวกเจ้าแล้วว่าจะรักษาค่ายทหารใหญ่ตะวันออกไว้ วันนี้ค่ายทหารใหญ่ตะวันออกเกิดเรื่อง ข้าจะอยู่เฉยไม่สนใจคงไม่ได้ หากเจ้านึกกลัวก็รออยู่ที่นี่เถิด”