ตอนที่ 2,920 : หวางตันเฟิ่ง
“ต้วนหลิงเทียน?”
เมื่อเสียงต้วนหลิงเทียนดังก้องไปทั่วนิกายอมตะสือหัง หนานกงซิ่ว ผู้เป็นประมุขนิกายอมตะสือหังก็ย่อมได้ยินด้วยเป็นธรรมชาติ
ครู่ต่อมาลูกตานางก็หดหยีเล็กลง สีหน้ายังเริ่มมืดคล้ำดำลง!
ถึงแม้นางจะเป็นคนกล่าวบอกศิษย์น้องอย่างหวางตันเฟิ่งด้วยตัวเอง ว่าข่าวจากนิกายอมตะสราญรมย์ของพื้นที่ก้าวข้ามนั้น มันไร้ความน่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ตามในใจของนางเอง กลับเชื่อข่าวดังกล่าว
สุดท้ายแล้วคงไม่มีคลื่นหากไร้ลม
ด้วยเหตุนี้นางจึงเกลียดต้วนหลิงเทียนนัก!
เกลียดต้วนหลิงเทียนที่มาหลอกนางจนเชื่อ! สุดท้ายหลังกลับมานิกายอมตะสราญรมย์ นางก็ได้นำเรื่องนี้ไปพูดกับหวางตันเฟิ่งเรียบร้อย ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างมู่หรงปิงกับต้วนหลิงเทียน!!
กลับกลายเป็นภัยซ่อนเร้นไปเสียฉิบ!
ถึงต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้หลอกนาง และไม่ช้าก็เร็วหวางตันเฟิ่งก็ต้องค้นพบเรื่องนี้อยู่ดี แต่นั่นหมายความว่านางยังพอมีเวลาคิดหาวิธีแก้ไข
ทว่าตอนนี้หลานสาวของนางถูกหวางตันเฟิ่งกักบริเวณไปแล้ว หวางตันเฟิ่งเองก็ได้ส่งคนไปสืบหาความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนเรียบร้อย และถ้าเกิดพบว่าอีกฝ่ายไร้ภูมิหลังจริงๆ หลานสาวของนางไม่ถึงคราวเคราะห์แล้วหรือไร!?
‘มัน…มันถึงขั้นท้าผู้พิทักษ์สูงสุดของนิกายอมตะสือหังข้าเชียวหรือ?’
หนานกงซิ่วที่ได้ยินก็บอกได้ทันทีว่าเสียงประกาศเมื่อครู่ คือเสียงของต้วนหลิงเทียนที่นางพบเจอในงานสมัชชาเต๋าโอสถไม่ผิดแน่!
อย่างไรก็ตาม นางก็ไม่อาจเข้าใจได้จริงๆว่าต้วนหลิงเทียนจะมาท้าผู้พิทักษ์สูงสุดทำไม
ผู้พิทักษ์สูงสุดของนิกายอมตะสือหัง เป็นตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศ พลังฝีมือกล้าแข็งมาก ให้มองไปทั่ว 6 พื้นที่ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงใต้ หรือแม้กระทั่งพื้นที่ชายแดนทั้งหมด ก็คือตัวตนที่อยู่ในระดับต้นๆ
ทว่าตอนนี้ ต้วนหลิงเทียนที่มีอายุไม่ถึงร้อยปี แม้จะมีพรสวรรค์ในเต๋าโอสถสูงส่ง แต่จะอย่างไรก็แค่เด็กน้อยขนอุยขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับคนหนึ่ง กลับหาญกล้าท้าทายผู้พิทักษ์สูงสุดของนิกายอมตะสือหัง?
“มันเสียสติไปแล้วหรือไร!?”
ตอนนี้กระทั่งหนานกงซิ่วเอง ยังคิดว่าต้วนหลิงเทียนเสียสติไปแล้ว ไม่งั้นคงไม่ประกาศอะไรบ้าคลั่งแบบนั้นออกมาแน่นอน!
ฟุ่บบ!
ทันใดนันชุดเสื้อของหนานกงซิ่วก็เริ่มโบกสะบัดแม้ไร้ลม จากนั้นร่างนางก็วูบหายไปจากสถานที่บ่มเพาะ บึ่งตรงไปหาต้วนหลิงเทียนทันที
“ต้วนหลิงเทียน?”
ภายในลานบ้านติดผาบนยอดเขาสูงชันหลังหนึ่ง ร่างหญิงงามแต่เดิมที่ยืนอยู่ใกล้ๆหน้าผาคอยชี้แนะดรุณีน้อยฝึกกระบี่ อยู่ๆก็ชะงักค้างไป หลังได้ยินเสียงประกาศที่ดังมาแต่ไกล
ใบหน้าของนางแต่เดิมที่เย็นชาไร้อารมณ์อยู่แล้ว บัดนี้คล้ายจะมีม่านน้ำแข็งฉาบทับไปอีกชั้น
‘ต้วนหลิงเทียนหรือ…มัน…มาทำทำบ้าอะไรที่นี่แถมยังไปท้าทายผู้พิทักษ์สูงสุดแบบนั้นอีก’
ด้านดรุณีน้อยชุดเขียวที่ฝึกกระบี่ตามคำชี้แนะอยู่ พอได้ยินเสียงดังกล่าวลูกตานางก็หดหยี สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ลุ่ยหลัว นั่นใช่เสียงของหัวหน้าปรมาจารย์โอสถขอนิกายอมตะไท่อี ต้วนหลิงเทียน ผู้นั้นหรือไม่?”
หญิงงามอันมีใบบหน้าเย็นชาถึงที่สุด หันกลับมาจับจ้องมองถามดรุณีน้อยชุดเขียวด้วยสายตาที่ทำราวกับมีอัสนีวาบลั่นเสียงเย็น
โดนถามไถ่ด้วยสายตาดุดันเช่นนี้ ร่างดรุณีน้อยชุดเขียวก็สะท้านไปทันใด จากนั้นนางก็ค่อยๆกล่าวตอบออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ “ท่านอาจารย์…เป็นเสียงของมัน”
ดรุณีน้อยชุดเขียวนางนี้ก็คือลุ่ยหลัวศิษย์นิกายอมตะสือหังที่เคยเจอกับต้วนหลิงเทียนที่เมืองเต๋าโอสถของพื้นที่แห้งแล้งนั่นเอง
และเมื่อลุ่ยหลัวเรียกขานหญิงงามหน้าเย็นออกมาว่าอาจารย์ เช่นนั้นตัวตนของนางก็เปิดเผยให้ได้รู้…
ผู้พิทักษ์ลำดับ 2 ของนิกายอมตะสือหัง หวางตันเฟิ่ง!
ยังเป็นอาจารย์ของลุ่ยหลัวและมู่หรงปิง!
ขณะเดียวกัน หวางตันเฟิ่งผู้นี้ยังเป็นลูกสาวแท้ๆของผู้พิทักษ์สูงสุดแห่งนิกายอมตะสือหัง ยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศเพียงหนึ่งเดียวของนิกายอมตะสือหัง หวางชิวขวง!
“ประเสริฐ ประเสริฐ ประเสริฐนัก! คิดไม่ถึงจริงๆว่ามันจะพาตัวเองมาส่งถึงหน้าประตู!!”
หลังได้รับคำยืนยันจากลุ่ยหลัว สองตาหวางตันเฟิ่งก็ทอประกายเยียบเย็นอำมหิต จากนั้นร่างนางก็พร่ามั่วไปดั่งเงาเลือน ก่อนจะอันตรธานหายไปจากสายตาล่ยหลัวทันที
“ท่านอาจารย์รอข้าด้วย!”
ถึงแม้ลุ่ยหลัวจะมองไม่เห็นร่องรอยของสตรีงาม แต่นางย่อมเดาได้ไม่ยากว่าไม่พ้นอาจารย์ต้องไปยังจุดที่เสียงต้วนหลิงเทียนดังออกมาเมื่อครู่แน่!
ครู่ต่อมาร่างบางก็เหินทะยานขึ้นฟ้า แล้วมุ่งตรงไปยังทิศทางต้นเสียงของต้วนหลิงเทียนทันที
‘ตอนนี้ศิษย์พี่หญิงสาม ก็สมควรได้ยินเสียงของมันแล้วใช่ไหม…แต่น่าเสียดาย ต่อให้ศิษย์พี่หญิงสามจะได้ยินเสียงมัน แต่ก็ไม่อาจออกมาจากที่นั่นได้’
ในขณะที่ลุ่ยหลัวเหินร่างไปตามเสียงของต้วนหลิงเทียน ในใจนางก็ปรากฏร่างบางในชุดม่วงหนึ่งขึ้นมา อดทอดถอนใจไม่ได้
“เขา…เขามาทำอะไรที่นี่…ทั้งยังไปท้าผู้พิทักษ์สูงสุดอีก?”
ที่เชิงเขาอีกลูกของนิกายอมตะสือหัง มีลานเล็กๆแลดูทรุดโทรมแห่งหนึ่ง ร่างสตรีที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะไม้เก่าๆจะพังแหล่มิพังแหล่ในลานนั้น พอได้ยินเสียงที่ดังมาแต่ไกล คนก็ผุดลุกขึ้นมายืนพรวด สองตาที่ฉายแววตื่นเต้นได้วาบหนึ่งก็เริ่มถูกความกังวลเข้ามาแทนที่
สตรีดังกล่าวมาในชุดกระโปรงแลดูธรรมดาสีม่วงอ่อน หว่างคิ้วโค้งดั่งขนนก ผิวกายขาวกระจ่างปานหิมะแรกฤดูหนาว เอวคอดกิ่วแลดูอรชรอ้อนแอ้นนัก
แม้นจะมีผ้าโปร่งแสงบดบังใบหน้าครึ่งล่างเอาไว้ หากแต่แค่เพียงดวงตาดั่งสารทฤดูแสนเย็นชา พร้อมด้วยความรู้สึกเลือนลางไม่อาจจับต้องราวหมอกควันที่ปกคลุมทั่วกายนั่น ก็ทำให้สีสันรอบกายของนางคล้ายซีดจางลงไปถนัดตา
นอกจากนั้นแม้ครึ่งใบหน้านางจะถูกบดบังไว้ด้วยม่านผ้า
แต่ด้วยม่านผ้าปิดหน้าผืนน้อยของนางนั้นโปร่งแสงทั้งเบาบาง จึงทำให้เห็นเรียวคางทั้งความโค้งมนของพวงพักตร์ได้ชัดเจน
เรียกว่ามองชมแล้ว ช่างพาลให้ผู้คนบังเกิดความรู้สึกอย่างพุ่งไปเลิกผ้าผืนบางนี่ออกเสียให้ได้…
กระทั่งมีม่านผ้าบดบังยังชวนให้ฝันละเมอเพ้อพกถึงเพียงนี้…
แล้วหากเลิกผ้านั่นออกเสียเล่า จะทำให้ล่องลอยไปถึงสวรรค์ชั้นใด?
สตรีนางนี้ย่อมไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นศิษย์นิกายอมตะสือหัง มู่หรงปิง!
และบ้านลานทรุดโทรมหลังนี้ ก็คือสถานที่ๆหวางตันเฟิ่งอาจารย์ของนาง กักขังนางเอาไว้ โดยรอบเต็มไปด้วยค่ายยกลปิดกั้นมากมาย ยากที่มู่หรงปิงจะฝ่าออกไปได้
“หรือเขามีภูมิหลังในกาคกลางจริงๆ แต่ด้านนิกายอมตะสราญรมย์ไม่อาจตรวจสอบได้?”
“แต่หากพาคนมาช่วย…ไฉนถึงประกาศว่าจะท้าทายผู้พิทักษ์สูงสุดออกมาด้วยตัวเองแบบนั้น”
ตอนนี้ในใจของมู่หรงปิงเต็มไปด้วยความสับสน ทั้งไม่เข้าใจ
นางมั่นใจว่าเมื่อครู่เป็นเสียงของบุรุษผู้นั้นไม่ผิดแน่
นางก็เลยไม่เข้าใจว่าไฉนอีกฝ่ายถึงประกาศออกมาแบบนั้น
เท่าที่นางทราบ
ชายคนนั้นแม้พรสวรรค์ในเต๋าอมตะจะไม่ใช่ชั่วเช่นกัน แต่ตอนนี้อีกฝ่ายดูเหมือนจะเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับไม่ใช่หรือไร? ต่อหน้าขุนนางอมตะ 10 ทิศ ยังต่างอะไรจากมดตัวกระจ้อยแสนเปราะบาง?
ลึกเข้าไปในถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสือหัง บนยอดเขาสูงชันตระหง่านดั้นเมฆ
และขุนเขาลูกนี้ยังเป็นขุนเขาที่สูงที่สุดของถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสือหังอีกด้วย
อีกทั้งบนยอดเขาแห่งนี้ยังเป็นสถานที่บ่มเพาะที่ดีที่สุดขอนิกายอมตะสือหัง มันตั้งอยู่ ณ ใจกลางสายแร่ผลึกอมตะระดับต่ำที่นิกายอมตะสือหังครอบครองอยู่
ยังเป็นสถานที่บ่มเพะพลังของขุนนางอมตะ 10 ทิศแห่งนิกายอมตะสือหัง ผู้พิทักษ์สูงสุด…หวางชิวขวง!
เดิมทีหวางชิวขวงก็นั่งขัดสมาธิบ่มเพาะพลังดั่งภิกษุชราเข้าฌานสมาธิ พอได้ยินเสียงที่ดังก้องไปทั่วนิกายอมตะสือหัง สองตาที่ปิดอยู่ก็ลืมตื่นขึ้นมาทันที
แววตายังฉายประกายเยียบเย็นเหลือเกิน แลดูดุร้ายปานจะกลืนกินเลือดเนื้อผู้คน
“ท้าข้ารึ?”
หวางชิวขวงนั้นมีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคน รูปร่างหน้าตาแลดูธรรมดา หลังจากที่ได้ยินเสียงประกาศท้าทายของต้วนหลิงเทียน มันก็พึมพำเบาๆกับตัว มุมปากยังยกยิ้มแสยะเผยให้เห็นความดูแคลนหยันหยาม
มันหวางชิวขวงหาใช่แมวสุนัขไม่ อีกฝ่ายอาศัยคุณสมบัติอะไรมาท้าทายมัน?
ต้วนหลิงเทียน?
มันไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
ดังนั้นมันจึงมั่นใจมาก ว่าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่ขุนนางอมตะ 10 ทิศใน 6 พื้นภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่มันรู้จักแน่นอน กระทั่งให้เป็นทั้งพื้นที่ชายแดนทั้งหมดก็ตามที
ครู่ต่อมาหวางชิวขวงก็หลับตาลงอีกครั้ง เริ่มบ่มเพาะสั่งสมพลังสืบต่อ ทำราวกับเสียงประกาศท้าทายของต้วนหลิงเทียนเป็นแค่เรื่องตลกที่ไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง
ส่วนอีกด้าน
หลังจากที่เสียงต้วนหลิงเทียนดังก้องไปทั่วทั้งนิกายอมตะสือหัง ไม่นานนักต้วนหลิงเทียนกับพวกทั้ง 3 ก็ถูกกลุ่มสตรีมากมายของนิกายอมตะสือหังปิดล้อม
กลุ่มคนที่มาปิดล้อมพวกต้วนหลิงเทียนแรกสุดก็คือหน่วยลาดตระเวนของนิกายอมตะสือหัง
หลังจากนั้นไม่นานชนชั้นอาวุโสของนิกายอมตะสือหังก็เริ่มทยอยกันมาถึง พวกนางยังหอบหิ้วศิษย์ส่วนตัวรวมถึงศิษย์ในนิกายที่สนิทสนมกันมาด้วย
หลังเวลาผ่านไปนานเข้า เหล่าศิษย์ทั่วไปในนิกายก็เริ่มทยอยกันมาชมดูเรื่องราวสนุกสนานมากึ้นทุกขณะ
“นั่นน่ะหรือ บุรุษเสียสติที่ประกาศถ้อยคำโอหังเมื่อครู่? น่าเสียดายหน้าต่อหล่อเหลาเช่นนี้มิน่าสติไม่ดีเลย…”
หลังทยอยกันมาถึง แต่ละคนก็พากันจับจ้องมองไปยังต้วนหลิงเทียนทันที
“อ๊ะ…มันคงไม่ใช่ต้วนหลิงเทียน หัวหน้าปรมจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีจากพื้นที่รกกร้างตัวจริงหรอกนะ?”
ทันใดนั้นศิษย์นิกายอมตะสือหังนางหนึ่งก็อุทานออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ เพราะตอนนี้สายตาของนางได้เหลือบไปเห็นฮ่วนเอ๋อที่อยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียนเข้า จึงอดไม่ได้ที่จะมองต้วนหลิงเทียนใหม่อีกรอบ
“เอ๊ะ?”
เช่นเดียวกันกับศิษย์นิกายอมตะสือหังอีกหลายคน เมื่อเห็นฮ่วนเอ๋อข้างๆต้วนหลิงเทียนแล้ว ทั้งหมดก็พากันขมวดคิ้วมองต้วนหลิงเทียนด้วยความสงสัยทันที
“ข้าได้ยินมานานแล้ว ว่าข้างกาย ต้วนหลิงเทียน หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีมีสตรีที่งดงามถึงขั้นใต้หล้าไร้เทียมทานอยู่นางหนึ่ง…นับว่าเป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่ข้าเห็นใครมีรูปโฉมงดงามสมบูรณ์แบบขนาดนี้ กระทั่งศิษย์พี่มู่หรงปิง โฉมงามอันดับ 1 ของนิกายยอมตะสือหังเรา เมื่อเทียบกับนางแล้วยังด้อยกว่าถนัดตา…”
ศิษย์นิกายอมตะสือหังหลายคนที่สังเกตเห็นฮ่วนเอ๋ออดไม่ได้ที่จะยกมือป้องปากอุทานออกมาตาโต “มีนางอยู่ด้วยแบบนี้ ย่อมบ่งชี้ว่าชายผู้นั้นสมควรเป็นต้วนหลิงเทียน หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีตัวจริง!”
“สวรรค์…นางช่างงดงามยิ่ง…โอย ข้าไม่เหลือความมั่นใจอันใดเลยต่อหน้านาง…”
“พระช่วย! น้องสาวผู้นั้น…หากนางบอกว่าตัวเองงดงามเป็นอันดับ 2 ข้าเกรงว่าใต้หล้าคงไม่มีผู้ใดกล้าอ้างตัวเป็นอันดับ 1 กระมัง?”
“ชายหนุ่มหล่อเหลาชุดม่วงผู้นั้น สิบในสิบไม่พ้นเป็นต้วนหลิงเทียนจากกนิกายอมตะไท่อีของพื้นที่รกร้างตัวจริง!”
…
เดิมทีเหล่าศิษย์นิกายอมตะสือหังหลายคนคิดว่า ผู้มาคงเป็นคนบ้าที่เสแสร้งเป็นต้วนหลิงเทียน ทว่าพอมาเห็นฮ่วนเอ๋อที่อยู่เคียงข้างต้วนหลิงเทียน พวกนางก็เริ่มเชื่อไปโดยไม่ทันรู้ตัวว่าอีกฝ่ายคือต้วนหลิงเทียน
“มันคือหัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น?”
“เป็นมันจริงๆหรือ?”
…
เมื่อเหล่าอาวุโสของนิกายอมตะสือหังที่มาถึงแล้วสังเกตเห็นฮ่วนเอ๋อ พวกนางก็อดไม่ได้ที่จะมองต้วนหลิงเทียนใหม่อีกครั้ง ในแววตายังเผยความประหลาดใจออกมาให้เห็น
“เจ้าคือต้วนหลิงเทียน?!”
ในขณะที่ศิษย์และอาวุโศของนิกายอมตะสือหังเริ่มยืนยันตัวตนต้วนหลิงเทียนได้ พลันปรากฏเสียงตะโกนเยียบเย็นอันท่วมท้นไปด้วยโทสะเกรี้ยวกราดหนึ่งดังมาแต่ไกล
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ทุกคนได้ยินเสียงตะโกนดังกล่าว ร่างสตรีงดงามหมดจดนางหนึ่งพลันผุดโผล่ขึ้นมาเบื้องหน้ากลุ่มคนของนิกายอมตะสือหังปานภูตผี!
“ผู้พิทักษ์หวางตันเฟิ่ง!”
สตรีงามหมดจดดังกล่าวปรากฏตัวขึ้นได้ไม่ทันไร คนของนิกายอมตะสือหังก็จดจำนางได้ทันที!