ตอนที่ 420-2 ความจริงของสุสานองค์หญิง (2)
องค์เทพยังคอยคุ้มครองนางอยู่ ขณะที่ใจนางกำลังคิดว่าต้องรอนานเท่าไรกว่าจะได้เจอฝูกงกงนั้น ฝูกงกงก็เดินออกมาจากห้องเครื่องพอดี ในมือฝูกงกงถือกล่องอาหารอยู่กล่องหนึ่ง คล้ายว่าตั้งใจไปที่ห้องเครื่องเพื่อของสิ่งนี้
เพียงแต่ว่า ฝูกงกงไม่ได้อยู่คนเดียว ด้านหลังเขายังมีขันทีชั้นผู้น้อยตามมาด้วยอีกสองคน
เฉียวเวยไม่เคยเห็นสองคนนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าทั้งสองเป็นคนที่ฝูกงกงชุบชูมา หรือเป็นคนที่หรงเฟยจับยัดมาให้
พอมีความคิดนี้แวบเข้ามา เฉียวเวยก็หยิบก้อนเล็กขึ้นมาจากพื้นแล้วโยนไปที่เท้าของขันทีชั้นผู้น้อยคนหนึ่ง ขันทีชั้นผู้น้อยคนนั้นเหยียบถูกหินที่กำลังกลิ้ง เลยเสียหลักล้มใส่ตัวองครักษ์ชั้นผู้น้อยอีกคนหนึ่ง
องครักษ์ชั้นผู้น้อยผู้นั้นไม่ทันได้ตั้งตัว เลยล้มลงพื้นไปกับเขาด้วย
ฝูกงกงได้ยินเสียงพวกเขาก็หันไปมองด้วยสีหน้าดุดัน ในขณะที่กำลังจะว่ากล่าวให้นั้น ก็พอดีเหลือบไปเห็นเฉียวเวยที่อยู่ด้านหลังต้นไม้
เฉียวเวยทำท่าบอกให้อีกฝ่ายเงียบไว้ แล้วกวักมือเรียก
ฝูกงกงถึงกับสูดหายใจได้อากาศเย็นๆ หันมองซ้ายขวา ข่มความตื่นเต้นที่เอ่อล้นขึ้นมาลงไป เอ่ยกับขันทีชั้นผู้น้อยสองคนนั้นว่า “แค่จะเดินดีๆ ยังไม่ได้ ยังไม่ไปยืนสำนึกผิดหน้ากำแพงอีก!”
ทั้งสองรีบลนลานไปทันที
ฝูกงกงเดินไปหาเฉียวเวยด้วยความระมัดระวัง “ฮูหยิน ท่านยังกล้าเข้าวังอีกหรือ”
เฉียวเวยมองเขาด้วยความระแวง “ทำไมหรือ”
ฝูกงกงพูดเสียงกระซิบ “ในวังลือกันให้แซ่ดว่าท่านเป็นคนลักพาตัวยิ่นอ๋องไป”
เฉียวเวยถามอย่างเห็นขัน “ไม่บอกว่าข้าสมคบคิดกับตำหนักราชครูแล้วหรือ”
ฝูกงกงอึ้งงันไป “อ๋า? ท่านยังสมคบคิดกับตำหนักราชครูด้วยหรือ ข้าน้อยไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าน้อยกำลังคิดว่าเมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดในวังถึงมีข่าวลือเช่นนี้ ฮูหยินโปรดวางใจ ข้าน้อยเชื่อใจฮูหยินแน่นอน”
เฉียวเวยยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าก็บอกเองว่าเป็นเพียงข่าวลือ ไม่ต้องถือเป็นจริงจังใหญ่เลย”
ฝูกงกงยิ้มแหยๆ “ฮูหยินกล่าวถูกต้องยิ่งนัก หากเป็นความจริงศาลต้าหลี่คงได้จับตัวท่านไปสอบสวนแล้ว” พูดจบก็นึกขึ้นได้ว่าตุลาการศาลต้าหลี่คือสามีของจีหว่าน เลยหุบปากฉับไป
เฉียวเวยรู้ว่าอีกฝ่ายอยากพูดอะไร แต่ที่พี่เขยหลินไม่มาจับตัวนางหากใช่เพราะนางเป็นญาติเป็นเชื้อไม่ เรื่องเมื่อวานหรงเฟยหาหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ เลยทำให้ได้ใช้ข่าวลือมากล่าวหานางแทน
“ในวังยังลือกันว่าอย่างไรอีก” นางถาม
ฝูกงกง “บอกว่า… มีนักฆ่าฝีมือร้ายกาจเข้ามาสิบกว่าคน ไม่เพียงสังหารนักรบมรณะของตำหนักราชครูไปหกนายเท่านั้น แต่ยังสังหารราชองครักษ์ไปอีกสิบกว่าคนด้วย”
“ราชองครักษ์อีกสิบกว่าคน?” เฉียวเวยจำไม่ได้ว่าตนสังหารราชองครักษ์ไปด้วย หรือจะเป็นฝีมือหรงเฟย?
“ฮูหยิน ท่านเข้าวังมามีธุระอันใดหรือ” ฝูกงกงเอ่ยขัดความคิดของเฉียวเวย
เฉียวเวยจึงบอกว่า “ข้าอยากถามถึงสถานการณ์ของฝ่าบาท ฝ่าบาททรงทราบว่าในวังมีนักฆ่าเข้ามาหรือไม่”
ฝูกงกงลังเลก่อนจะบอกว่า “เรื่องนี้…ข้าน้อยก็ไม่มั่นใจ”
“คงไม่ใช่ว่าเจ้ายังไม่ได้พบหน้าฝ่าบาทหรอกนะ” เฉียวเวยเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ฝูกงกงยิ้มแหยๆ “ได้พบนั้นได้พบแล้ว เพียงแต่…ข้าน้อยก็ไม่กล้าถามนี่! อีกอย่างข้างกายฝ่าบาทมีหรงเฟยคอยปรนนิบัติ ข้าน้อยได้แต่เฝ้าอยู่ด้านนอก พูดอะไรไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ด้วย”
เฉียวเวยขมวดคิ้ว “เช่นนั้นเจ้าก็ช่วยข้านำความไปบอกไม่ได้สิ”
ฝูกงกง “หากท่านไม่ถือสาหาหรงเฟยจะรู้ล่ะก็ ข้าน้อยก็พอนำความไปบอกให้ได้”
ทั้งสองตัวติดกันตลอดเวลา หากเอ่ยให้ฝ่าบาทได้ยินก็เท่ากับเอ่ยให้หรงเฟยได้ยินด้วย แต่นางแตกหักกับหรงเฟยไปแล้ว หรงเฟยยอมให้ตนได้พบหน้าฝ่าบาทสิแปลก
เฉียวเวยใช้ความคิดก่อนบอกว่า “เช่นนั้น…เจ้าหาทางให้ข้าแฝงตัวเข้าไป”
ฝูกงกงตกใจจนหน้าซีด “อย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด! หากให้พระสนมหรงเฟยรู้เข้า ข้าน้อยคงรักษาชีวิตไว้ไม่ได้แน่!”
เฉียวเวยหรี่ตาลงอย่างอันตราย “ดูท่าคงต้องใช้ท่าไม้ตายเสียแล้ว”
“อะไรหรือ” ฝูกงกงฟังไม่ถนัด
เฉียวเวยสายตาพลันเปลี่ยน อมยิ้มถามว่า “นางกำนัลข้างกายหรงเฟยอยู่หรือไม่”
ฝูกงกง “ไม่อยู่ นางไปเด็ดส้มให้หรงเฟยที่สวนผลไม้”
…
เฉียวเวยไปที่สวนผลไม้ แล้วก็เจอฝูหลิงถือตะกร้าใบเล็ก กำลังตั้งใจเก็บผลส้มที่สุขแล้วอยู่จริงๆ
ในสวนดอกไม้ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย
เฉียวเวยยกมุมปากเดินเข้าไป
ฝูหลิงพอเห็นนาง รูม่านตาก็พลันหดตัว นางกำลังจะหันหนีแต่กลับถูกเฉียวเวยใช้สันมือสับท้ายทอยจนสลบไป!
เฉียวเวยลากตัวฝูหลิงที่ไม่ได้สติเข้าไปในห้องเก็บเครื่องมือ นางเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าของฝูหลิง แล้วเอา “ของรักของหวง” อย่างหน้ากากหนังคนที่พกติดมาด้วยออกมาใส่
หลังจากนั้นครึ่งเค่อ เฉียวเวยก็เดินอย่างผึ่งผายเข้าไปในตำหนักกานลั่ว
“พี่ฝูหลิง!”
“พี่ฝูหลิง!”
ในตำหนัก มีนางกำนัลชั้นผู้น้อยเอ่ยทักทายอย่างประจบสอพลอเป็นระยะ
ดีร้ายอย่างไรเฉียวเวยก็เคยถูกฝูหลิงวางอำนาจใส่มาก่อน รู้ว่าสาวใช้ผู้นี้จองหองอวดดี เลยไม่สนใจคนเหล่านั้น หิ้วตะกร้าเดินจากไป
แล้วก็ไม่มีใครนึกสงสัยนางจริงๆ
เพียงแต่นางกำนัลชั้นผู้น้อยยังหลอกได้ง่าย แต่หรงเฟยกลับหลอกไม่ง่ายเช่นนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้หรงเฟยเห็นพิรุธอะไร ทางที่ดีนางเลี่ยงหรงเฟยไว้สักหน่อยจะดีกว่า
“พี่ฝูหลิง เจ้ากลับมาเสียที พระสนมรอเจ้าอยู่นานแล้ว!” นางกำนัลชั้นผู้น้อยส่งยิ้มพร้อมเดินเข้ามาหา
พอเห็นนางถือตะกร้าผลไม้ “ข้าช่วยเจ้าถือนะ!”
นางกำนัลชั้นผู้น้อยผู้นี้ไม่ใช่จะได้พบเจอหรงเฟยทุกวัน จึงคิดอยากใช้โอกาสนี้ไปโผล่หน้าให้หรงเฟยเห็นสักหน่อย ตนทำให้อีกฝ่ายสมประสงค์ก็แล้วกัน
เฉียวเวยสายตาพลันเป็นประกาย เอามือกุมท้อง เค้นเสียงร้องด้วยความทรมานออกมา “โอ้ย ข้าปวดท้อง… รบกวนเจ้าช่วยเอาของนี่ไปให้ทีก็แล้วกัน…”
นางกำนัลชั้นผู้น้อยตาพลันเป็นประกาย “ได้ๆๆ! ข้าช่วยเจ้าเอาเข้าไปให้!”
เฉียวเวยส่งตะกร้าให้อีกฝ่ายเสร็จ นางก็เดินตัวปลิวออกไปทันที ประหนึ่งกลัวว่าอีกเดี๋ยวเฉียวเวยจะเปลี่ยนใจไม่ให้โอกาสนางเข้าไปให้เจ้านายเห็นหน้ากระนั้น
นางกำนัลชั้นผู้น้อยเอาตะกร้าผลไม้เข้าไปให้อย่างนอบน้อม หรงเฟยกลับไม่เหลือบมองนางสักนิด เพียงปอกเปลือกส้มส่งไปป้อนให้ฮ่องเต้เฉยๆ
เฉียวเวยหลบอยู่หลังกำแพง รอจังหวะที่ฮ่องเต้จะประทับอยู่คนเดียว แต่ผู้ใดจะคิดว่าฮ่องเต้อยู่คนเดียวแล้วก็จริง แต่หรงเฟยก็ดันเดินมาทางที่นางอยู่
เฉียวเวยพลันหันหนี เดินตามระเบียงทางเดินออกไปจากตรงนั้น เฉียวเวยคิดว่าห้องของหรงเฟยอยู่ทางตะวันออก ตนจึงเดินไปทางตะวันตก น่าจะเลี่ยงกันได้พอดี คิดไม่ถึงว่าพอหรงเฟยหักเลี้ยว ก็ดันเดินมาทางเดียวกับนางเสียนี่!
ด้วยอารามรีบร้อน เฉียวเวยเลยหลบเข้าไปยังห้องห้องหนึ่ง
อากาศในห้องนี้เย็นกว่าข้างนอกเล็กน้อย ไอเย็นส่งขึ้นมาจากใต้ไม้กระดาน
เฉียวเวยดึงไม้กระดานออก ข้างล่างนั้นเป็นห้องน้ำแข็งเสียด้วย
เฉียวเวยปิดไม้กระดาน แล้วเดินตามขั้นบันไดลงไป
ภายในห้องน้ำแข็งมืดสนิทจนมองไม่เห็นมือ เฉียวเวยเดินไปได้ไม่กี่ก้าว หัวเข่าก็กระแทกเข้ากับบางอย่าง นางเลยถลาไปข้างหน้าทั้งตัว
พูดให้ชัดก็คือ โผตกลงมาในอะไรบางอย่าง
นางรู้สึกกระแทกเข้ากับบางอย่างที่แข็งกระด้าง รอบด้านมีแต่กำแพง
อยู่ๆ เฉียวเวยก็นึกขึ้นได้ว่าตนพกไต้ไฟมาด้วย นางรีบควักไต้ไฟออกมาจากอกเสื้อ เป่าให้ติดไฟแล้วเอาส่องลงด้านล่าง
แม่เจ้า…
นั่นเป็นคน!
เฉียวเวยรีบยกตัวกระโดดออกจากโลงที่เย็นจัด!
ขนร่วงกราวเต็มพื้น เหงื่อก็ผุดขึ้นมาเต็มไปหมด
นางมองโลงศพอันนี้อย่างเย็นยะเยือก รวมถึงคนที่อยู่ในโลงศพด้วย ในใจเหมือนมีม้านับหมื่นตัววิ่งกรูผ่านไป ในสถานที่เช่นวังหลวงนี้ กระทั่งจุดธูปก็ยังไม่ได้ เหตุใดถึงมีศพคนเก็บไว้อยู่ด้วย
ช้าก่อน เหตุใดคนผู้นี้ถึงดูคุ้นหน้านัก
เฉียวเวยยื่นไต้ไฟส่องลงไปข้างล่างอีกนิด คราวนี้ได้เห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดเจนเสียที แต่ก็เล่นเอานางอึ้งงันไปเลยทีเดียว
ราชันอสูรหรือนี่!
ราชันอสูรใส่ชุดเกราะและหน้ากาก ตรงส่วนหน้าผากของหน้ากากถูกหอกยาวแทงทะลุเป็นรูใหญ่
เฉียวเวยไม่รู้นึกอย่างไร อยู่ดีๆ ก็เกิดอยากเห็นว่าราชันอสูรแท้จริงแล้วหน้าตาเป็นอย่างไรขึ้นมา
พอนางคิดเช่นนี้ ก็ทำเช่นนั้นจริงๆ ยื่นมือออกไปถอดหน้ากากราชันอสูรออก